Google Earth Engine สำหรับการวางแผนและการจัดการเมืองอัจฉริยะ
Google Earth Engine (GEE) เป็นแพลตฟอร์ม การประมวลผลภูมิสารสนเทศบนคลาวด์ ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงและประมวลผลภาพถ่ายดาวเทียมและข้อมูลภูมิสารสนเทศอื่นๆ จำนวนมาก GEE เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์และความสามารถในหลายด้าน สำหรับการออกแบบและการจัดการแผนเมืองอัจฉริยะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในหลายด้าน เช่น
- การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (Geospatial Data Analysis) ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่จำนวนมหาศาลได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการวางผังเมืองอัจฉริยะ เนื่องจากช่วยให้นักวางผังเมืองสามารถวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม ข้อมูลภูมิประเทศ และข้อมูลเชิงพื้นที่อื่นๆ เพื่อทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาด
- ความสามารถในการรับรู้ระยะไกล (Remote Sensing Capabilities) สามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียม (access and analyze satellite imagery) ได้ในเวลารวดเร็วหลายข้อมูลเข้าถึงได้ใกล้เคียงเวลาเรียลไทม์ สิ่งนี้เป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับการติดตามการเปลี่ยนแปลงในเขตเมือง (monitoring changes in urban areas) เช่น การใช้ที่ดิน (land use) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure development) หรือการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม (environmental changes) ช่วยให้ตัดสินใจได้ทันท่วงที
- การวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time-Series Analysis) แพลตฟอร์มดังกล่าว ช่วยให้สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในอดีตได้ ช่วยให้นักวางผังเมืองเข้าใจแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป (trends and changes over time) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพยากรณ์หรือคาดหมาย ความต้องการที่จะมีในอนาคต การระบุรูปแบบ และการประเมินผลกระทบของมาตรการหรือนโยบายต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการติดตามการเปลี่ยนแปลงในเขตเมืองเมื่อเวลาผ่านไป มีประโยชน์สำหรับการติดตามการเติบโตของเมือง (tracking urban growth) การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน (land use changes) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure development) ช่วยให้นักวางผังเมืองเข้าใจแนวโน้มและการเปลี่ยนแปลงเมื่อเวลาผ่านไป (understand trends and changes over time) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพยากรณ์หรือคาดหมายความต้องการที่จะมีในอนาคต การระบุรูปแบบ และการประเมินผลกระทบของมาตรการหรือนโยบายต่างๆ
- การสนับสนุนการเรียนรู้ของเครื่อง (Support for Machine Learning) ผสานรวมความสามารถในการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning capabilities) เพื่อให้สามารถพัฒนาแบบจำลองการคาดการณ์ (development of predictive models) ซึ่งช่วยให้สามารถพัฒนาแบบจำลองการคาดการณ์ (predictive models) การจัดหมวดหมู่ภาพ (image classification) และแนวทางที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (data-driven approaches) เป็นต้น ช่วยระบุแนวโน้ม (trends) รูปแบบ (patterns) และความผิดปกติของข้อมูล (anomalies in the data) ที่อาจไม่ปรากฏให้เห็นทันทีหากทำการวิเคราะห์ด้วยตนเอง ซึ่งนับได้ว่าเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มากในงานการวางผังเมืองอัจฉริยะ เนื่องจากสามารถช่วยคาดการณ์การเติบโตของเมือง (forecast urban growth) รูปแบบการจราจร (traffic patterns) การใช้พลังงาน (energy consumption) หรือแม้แต่อันตรายต่อสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นได้ (potential environmental hazards)
- ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและแบ่งปัน (Collaboration and Sharing) Google Earth Engine อำนวยความสะดวกในการทำงานร่วมกันโดยอนุญาตให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันข้อมูล (share data) การวิเคราะห์ (analyses) และการแสดงภาพ (visualizations) ซึ่งทำให้มีการมองเห็นของข้อมูลร่วมกัน ส่งเสริมการทำงานความร่วมมือระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในงานโครงการเมืองอัจฉริยะได้ใช้งานข้อมูลร่วมกัน
- การติดตามการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม (Monitoring Environmental Changes) ช่วยในการติดตามการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการพัฒนาเมืองที่ยั่งยืน (sustainable urban development) ซึ่งรวมถึงการติดตามการตัดไม้ทำลายป่า (tracking deforestation) การเปลี่ยนแปลงพื้นที่ปกคลุม (changes in land cover) การติดตามคุณภาพอากาศและน้ำ (monitoring air and water quality) และการประเมินผลกระทบของการขยายตัวของเมืองต่อสิ่งแวดล้อม (impact of urbanization on the environment)
- เครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision Support Tool) Google Earth Engine ทำหน้าที่เป็นเครื่องมือสนับสนุนการตัดสินใจ โดยให้ข้อมูลเชิงลึกที่มีค่า (providing valuable insights) สำหรับนักวางผังเมือง (for urban planners) ผู้กำหนดนโยบาย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเมือง ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดสรรทรัพยากร การวางแผนโครงสร้างพื้นฐาน และการจัดการภัยพิบัติ
- ติดตามและวิเคราะห์การเติบโตและการเปลี่ยนแปลงของเมือง (Monitor and analyze urban growth and change) สามารถใช้เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของสิ่งปกคลุมดิน การใช้ที่ดิน และโครงสร้างพื้นฐานเมื่อเวลาผ่านไป ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อระบุพื้นที่ของการเติบโต การลดลง และการเปลี่ยนแปลง และเพื่อพัฒนาแผนการจัดการการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ประเมินความเสี่ยงและอันตรายในเมือง (Assess urban risks and hazards) สามารถใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงของอันตรายทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินถล่ม และไฟป่า นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อประเมินความเสี่ยงของอันตรายที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น มลพิษทางอากาศ และความแออัดของการจราจร ข้อมูลนี้สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาแผนการลดความเสี่ยงเหล่านี้และปกป้องสาธารณะ
- เพิ่มประสิทธิภาพโครงสร้างพื้นฐานและบริการในเมือง (Optimize urban infrastructure and services) สามารถใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพตำแหน่งและการออกแบบโครงสร้างพื้นฐานของเมือง เช่น เครือข่ายการขนส่ง ระบบโครงข่ายพลังงาน และระบบน้ำ นอกจากนี้ยังสามารถใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการในเมือง เช่น การจัดการขยะ ความปลอดภัยสาธารณะ และการดูแลสุขภาพ
- มีส่วนร่วมกับพลเมืองในชุมชน ในการวางแผนและการจัดการเมืองอัจฉริยะ (Engage citizens in smart city planning and management) สามารถใช้เพื่อสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบและการแสดงภาพข้อมูลที่สามารถใช้เพื่อดึงดูดพลเมืองในกระบวนการวางแผนและการจัดการเมืองอัจฉริยะ ข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อรวบรวมคำติชมจากประชาชนเกี่ยวกับโครงการและความคิดริเริ่มที่เสนอ และเพื่อให้แน่ใจว่าความต้องการของชุมชนจะถูกนำมาพิจารณาด้วย
- การเข้าถึงข้อมูลภูมิสารสนเทศขนาดใหญ่ (Access to Massive Geospatial Data) สามารถให้การเข้าถึงคลังภาพถ่ายดาวเทียม (satellite imagery) ที่กว้างขวางและทันสมัย ตลอดจนแหล่งข้อมูลภูมิสารสนเทศ (geospatial data sources) อื่นๆ ข้อมูลนี้สามารถประเมินค่ามิได้สำหรับการวางผังเมือง (urban planning) การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (infrastructure development) และการตรวจสอบสิ่งแวดล้อม (environmental monitoring) ในเมืองอัจฉริยะ
- เป็นแพลตฟอร์มที่ทำงานบนระบบคลาวด์ (Cloud-Based Platform) ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถเข้าถึงและทำการประมวลผลชุดข้อมูลเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่ (access and process large geospatial datasets) โดยไม่จำเป็นต้องใช้ทรัพยากรหรือโครงสร้างพื้นฐานในการคำนวณที่สำคัญ ซึ่งสามารถประหยัดเวลาและทรัพยากรสำหรับนักวางผังเมืองอัจฉริยะ
- ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability) Google Earth Engine สามารถปรับขนาดได้สูง ทำให้ผู้ใช้สามารถวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลในระดับต่างๆ ตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับโลก (from local to global) ความสามารถในการปรับขนาดนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำความเข้าใจพลวัตของเมือง (understanding urban dynamics) และการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล (making informed decisions)
- การรวมข้อมูล (Data Fusion) Google Earth Engine ช่วยให้สามารถรวมข้อมูลจากหลายแหล่ง (fusion of data from multiple sources) รวมถึงภาพถ่ายดาวเทียม (satellite imagery) ข้อมูลสภาพอากาศ (weather data) โซเชียลมีเดีย (social media) และอื่นๆ การบูรณาการข้อมูล (integrated data) แบบนี้สามารถให้มุมมองที่ครอบคลุมเกี่ยวกับสภาพเมืองและช่วยในการตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลมากขึ้น
- การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ (Real-Time Monitoring) เมืองอัจฉริยะมักต้องมีการตรวจสอบพารามิเตอร์ต่างๆ แบบเรียลไทม์ เช่น การจราจร (traffic) คุณภาพอากาศ (air quality) และสภาพอากาศ (weather) โดย Google Earth Engine จะสามารถช่วยอำนวยความสะดวกในการบูรณาการและการวิเคราะห์ข้อมูลแบบเรียลไทม์ (real-time data integration and analysis) ช่วยให้การจัดการเมืองอัจฉริยะตอบสนองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว (respond swiftly to emerging issues)
- ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) เมืองอัจฉริยะมักให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) โดย Google Earth Engine สามารถใช้ในการติดตามและประเมินผลกระทบของการพัฒนาเมืองที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติ (natural resources) ความสมบูรณ์ของระบบนิเวศ (ecosystem health) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) โดยมีส่วนช่วยในการพัฒนานโยบายเมืองสีเขียว (green urban policies)
- การเข้าถึงและการทำงานร่วมกัน (Accessibility and Collaboration) โดย Google Earth Engine สามารถเข้าถึงได้โดยผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลาย (stakeholders) รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ นักวางผังเมือง นักวิจัย และประชาชนทั่วไป การเข้าถึงนี้ส่งเสริมการทำงานร่วมกันและการแบ่งปันข้อมูลและข้อมูลเชิงลึก (encourages collaboration and the sharing of data and insights)
- การปรับแต่ง (Customization) แพลตฟอร์มนี้สามารถปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการเฉพาะของโครงการเมืองอัจฉริยะได้ ความยืดหยุ่นนี้ช่วยให้สามารถพัฒนาโซลูชันที่ปรับให้เหมาะกับงานการวางผังเมืองและการจัดการต่างๆ
สรุป Google Earth Engine เป็นเครื่องมือที่มีค่าสำหรับการออกแบบและการจัดการแผนเมืองอัจฉริยะ เนื่องจากให้การเข้าถึงข้อมูลเชิงพื้นที่อันกว้างใหญ่ ความสามารถในการประมวลผลบนคลาวด์ที่ปรับขนาดได้ การผสานรวมกับการเรียนรู้ของเครื่อง และความสามารถในการวิเคราะห์อนุกรมเวลา คุณสมบัติเหล่านี้ช่วยให้ตัดสินใจได้ดีขึ้น การวางผังเมืองมีประสิทธิภาพมากขึ้น และความสามารถในการรับมือกับความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนซึ่งมีความสำคัญต่อการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ
ความสามารถของ Google Earth Engine ในการจัดการและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ (geospatial data) มีหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการรับรู้ระยะไกล (remote sensing) และการสนับสนุนการเรียนรู้ของเครื่อง (machine learning) ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสำหรับการออกแบบและจัดการแผนเมืองอัจฉริยะ (managing smart city plans) ความสามารถในการให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่า (provide valuable insights) และสนับสนุนการตัดสินใจ (support informed decision-making) อย่างมีข้อมูลเป็นสิ่งที่ประเมินค่าไม่ได้ในงานที่ซับซ้อนของการวางผังเมืองและการจัดการ
ตัวอย่างการใช้ GEE ในการออกแบบและจัดการเมืองอัจฉริยะทั่วโลก
- ในลอสแอนเจลิส GEE ถูกใช้เพื่อติดตามเกาะความร้อนในเมือง (track urban heat islands) ข้อมูลถูกนำมาใช้เพื่อจัดทำแผนเพื่อทำให้เมืองเย็นลงและลดความเสี่ยงของการเจ็บป่วยจากความร้อน
- ในนิวยอร์กซิตี้ GEE กำลังถูกใช้เพื่อติดตามการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและน้ำท่วม (monitor sea level rise and flooding) ข้อมูลถูกนำมาใช้เพื่อจัดทำแผนเพื่อปกป้องเมืองจากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- ในลอนดอน GEE ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลเวียนของการจราจรและลดความแออัด (optimize traffic flow and reduce congestion) ข้อมูลถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแผนการปรับปรุงเครือข่ายการคมนาคมของเมือง
- ในสิงคโปร์ GEE ถูกนำมาใช้ในการตรวจสอบคุณภาพอากาศและระบุแหล่งที่มาของมลภาวะ (monitor air quality and identify sources of pollution) ข้อมูลถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาแผนการปรับปรุงคุณภาพอากาศของเมือง
โดยรวมแล้ว GEE เป็นเครื่องมืออันทรงพลังที่สามารถใช้เพื่อสนับสนุนทุกด้านของการวางแผนและการจัดการเมืองอัจฉริยะ เป็นแพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นและปรับขนาดได้ซึ่งสามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมาก และเพื่อสร้างแผนที่เชิงโต้ตอบและการแสดงภาพข้อมูลที่สามารถใช้เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการวางแผน
นอกจากประโยชน์ที่ระบุไว้ข้างต้นแล้ว GEE ยังใช้งานง่าย และไม่ต้องใช้ความรู้ด้านการเขียนโปรแกรมเฉพาะใดๆ ทำให้เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจในการใช้งานในหลายด้าน รวมถึงหน่วยงานภาครัฐราชการ องค์กรทางธุรกิจ รวมถึงองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร
.
-------------------------------------------------
ที่มา
- https://earthengine.google.com/
รวบรวมข้อมูลและภาพ
-------------------------------------------------
Google Earth Engine (GEE) รวมข้อมูล-------------------------------------------------