Supplier Position and Preference Matrix ตารางตำแหน่งและความสัมพันธ์กับชัพพลายเออร์
ในงานโลจิสติกส์และชัพพลายเชน ฝ่ายจัดซื้อ (Source) ถูกมองว่าเป็นหน่วยงานสำคัญ โดยจะเห็นว่าได้รับการจัดแบ่งให้เป็น 1 ใน 6 กลุ่มงานหลักในระบบ SCOR (คลิกดูข้อมูล SCOR เพิ่มเติม) ในงานโลจิสติกส์ให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดซื้อจัดหามาก เพราะกิจกรรมในการจัดซื้อจะมีส่วนช่วยให้องค์กร มีความสามารถทางการแข่งขันในธุรกิจได้ดีขึ้นเช่น ในเรื่องของการลดต้นทุน การผลิตที่ต่อเนื่อง การสร้างความแตกต่าง และการตอบสนองความต้องการผู้บริโภค
การดำเนินการของฝ่ายจัดซื้อในยุคปัจจุบันมีหลายวิธีที่ได้ถูกนำมาใช้ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วเช่น รูปแบบการแบ่งกลุ่มซัพพลายเออร์ (Supplier Positioning Model) หรือ รูปแบบความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ (Supplier Preference Model) จากที่กล่าวเมื่อเราได้ดำเนินการจัดแบ่งกลุ่มชัพพลายเออร์ใน 2 เรื่องแล้ว เรายังอาจนำเอาผลสรุปของทั้งสองกลุ่มมาทำการประเมินร่วมกันได้อีก โดยที่นิยมพบมากคือการใช้รูปแบบ ตารางเมตริกการวางตำแหน่งและความสัมพันธ์กับชัพพลายเออร์ (Supplier Position and Preference Matrix)
ผลจากการประเมินจัดกลุ่มชัพพลายเออร์ที่ดี จะมีประโยนช์มากเพื่อที่เราจะสามารถจัดลำดับความสำคัญชัพพลายเออร์ และวางแผนกลยุทธ์ในการติดต่อหรือดำเนินความสัมพันธ์กับชัพพลายเออร์ให้เกิดความเหมาะสมทั้งสองฝ่าย บางครั้งจัดซื้ออาจต้องทำถึงการเข้าไปสังเกตการณ์และการให้ความช่วยเหลือกับซัพพลายเออร์ในเรื่องต่างๆ เช่น
- การเข้าไปเป็นที่ปรึกษาแนะนำในการผลิตที่ดี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตได้ของในราคาที่ถูกลง โดยอาจเข้าสังเกตการณ์ในบริษัทชัพพลายเออร์เพื่อช่วยวิเคราะห์กระบวนการผลิต วิธีการผลิต การใช้เทคโนโลยี วิธีการทำงาน ฯลฯ เพื่อหาข้อแนะนำชัพพลายเออร์อีกทาง เนื่องจากบางครั้งการที่มีคนนอกเข้าไปดูอาจจะมองเห็นปัญหาของต้นทุนที่เกิดขึ้น ได้ดีกว่าคนในกระบวนการที่มีความคุ้นเคยในแบบเดิม ในขั้นตอนนี้อาจช่วยให้เป็นข้อแนะนำหรือเสนอแนะปรับปรุงเพื่อให้สามารถลดต้นทุนได้ต่อไป
- การสื่อสารพูดคุยที่ดีมีการทำกิจกรรมร่วมกันเพื่อสร้างความสัมพันธ์ในโซ่อุปทานการผลิต โดยอาจเริ่มจากอธิบายให้ชัพพลายเออรเข้าใจในเป้าหมายของฝ่ายจัดซื้อในแง่ที่ดี ให้ชัพพลายเออร์เข้าใจถึงความจำเป็นที่จะต้องทำลดราคา (Cost Down) ในงานจัดซื้อ เพราะว่าหากสินค้าคู่แข่งขันของชัพพลายเออร์สามารถจำหน่ายได้ในต้นทุนที่ถูกกว่าซัพพลายเออร์ ทางจัดซื้อก็อาจจำเป็นจะต้องสั่งซื้อจากแหล่งอื่นๆ ที่มีราคาถูกกว่า เพื่อให้ต้นทุนของบริษัทผู้จัดซื้อต่ำลงให้สามารถแข่งขันกับคู๋แข่งของผู้ซื้อได้ในตลาด
องค์กรควรที่จะมีการทำวิจัยวัดประสิทธิภาพการจัดซื้ออย่างสม่ำเสมอ เพราะเมื่อเวลาและสถาณการณ์มีการเปลี่ยนแปลงไป การทำงานไปสักระยะหนึ่งระบบงานนั้นอาจจะไม่สามารถสนับสนุนหรือสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมภายนอกที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นควรมีการวิจัยในเรื่อง การจัดซื้อก็เพื่อสะท้อนภาพการทำงานต่อองค์กรให้เห็นถึงสภาพปัญหาของการจัดซื้อจัดหา อาจมีการสร้างแบบจำลองในการจัดซื้อที่เหมาะสมกับการทำงานที่แตกต่างกันไปทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อาจใช้การวิเคราะห์เอกสารย้อนหลัง 1-3 ปี การทำวิจัยเชิงปริมาณด้วยแบบสอบถาม หรือการทำวิจัยเชิงคุณภาพโดยการสัมภาษณ์บุคลากรที่เกี่ยวข้องหรือซัพพลายเออร์ เป็นต้น
จะเห็นว่าจากการนำเอา รูปแบบการแบ่งกลุ่มซัพพลายเออร์ (Supplier Positioning Model) และ รูปแบบความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ (Supplier Preference Model) มาวิเคราะห์ร่วมกัน จะช่วยให้เราสามารถจัดแบ่งกลุ่มได้ดียิ่งขึ้น และยิ่งนำเอารูปแบบมาใช้งานร่วมกันมากขึ้นเท่าไร เราก็จะสามารถวิเคราะห์แยกแยะกลุ่มได้ดีมากยิ่งขึ้นเช่น รูปแบบ Cubic ซึ่งจะทำได้ยาก แต่หากมีการนะเทคโนโลยีสารสนเทศมาช่วยจะทำให้สามารถทำได้โดยง่าย ดังที่จะเห็นว่าในปัจจุบันเริ่มมีการศึกษาในเรื่อง Business Analysis เพื่อให้สามารถใช้การคำนวนที่ยุ่งยากซับซ้อนเกิดได้โดยง่าย