iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ

money สรุป 8 อัตราส่วนทางการเงินกับการบริหารธุรกิจที่ SMEs ควรรู้

 

8 อัตราส่วนทางการเงินกับการบริหารธุรกิจที่ SMEs ควรรู้

ข้อมูลทางการเงินของธุรกิจ มักประกอบไปด้วยข้อมูลย่อยจำนวนมาก การลงไปดูข้อมูลย่อยทีละตัวอาจทำให้สับสนและเกิดการวิเคราะห์ที่ผิดได้ง่าย

“อัตราส่วนทางการเงิน” เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจ ให้เข้าใจสถานะทางการเงินได้ง่าย และรวดเร็ว อัตราส่วนทางการเงินนั้นมีหลายแบบ แต่อัตราส่วนทางการเงินที่มักนำมาใช้พิจารณาอยู่ 8 อัตราส่วน ดังที่จะกล่าวต่อไป

- อัตราส่วนสภาพคล่อง (Current Ratio) เกิดจากการเอาสินทรัพย์หมุนเวียนของบริษัทมาหารกับหนี้สินหมุนเวียนของบริษัท ซึ่งถ้าจะอธิบายง่ายๆ คือมันใช้ชี้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของบริษัท ถ้าได้ค่าสูงกว่า 1 แสดงว่าบริษัทมีสินทรัพย์หมุนเวียนมากกว่าหนี้สินหมุนเวียน หมายความว่าบริษัทมีสภาพคล่องสูง ไม่มีปัญหาการชำระหนี้ระยะสั้น แต่ถ้าค่าต่ำกว่า 1 ก็อาจแสดงว่าบริษัทมีปัญหาสภาพคล่อง เป็นต้น

วิธีแก้นั้นก็อาจจะต้องลดอัตราการลงทุนในสินทรัพย์ระยะยาวลง ถือสินทรัพย์หมุนเวียนให้มากขึ้น หรือลดการเพิ่มทุนโดยการใช้แหล่งเงินกู้ระยะสั้นเพื่อลดหนี้สินหมุนเวียน

อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน หรือ Debt to Equity Ratio (D/E) คือ การเอาหนี้ของบริษัทที่มีมาหารด้วยส่วนของผู้ถือหุ้นทั้งหมด ซึ่งอัตราส่วนนี้เป็นอัตราส่วนที่ใช้วัดระดับหนี้ของบริษัทจากสินทรัพย์ทั้งหมด โดยธุรกิจทั่วไปจะถือว่าอัตราส่วนนี้ไม่ควรจะสูงกว่า 2 หรือกล่าวได้ว่าหนี้ทั้งหมดที่บริษัทมี ไม่ควรจะสูงเกินทุนพื้นฐานของบริษัทเอง ค่านี้สำคัญในมุมการประเมินของสถาบันการเงินหรือนักลงทุน เพราะธุรกิจที่มีสินทรัพย์โตขึ้นเรื่อยไม่ได้สื่อถึงการเติบโตอย่างมีคุณภาพเสมอไป เพราะบริษัทอาจทำการกู้เงินทั้งระยะสั้นและยาวมาขยายสินทรัพย์ไปเรื่อยๆ ก็ได้ ซึ่งถ้าบริษัททำแบบนี้ สิ่งที่สะท้อนมาก็คือค่า D/E ของบริษัทจะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป หรือพูดง่ายๆ ก็คือบริษัทที่ค่า D/E โตขึ้นเรื่อยๆ ธุรกิจจะโตขึ้น รายได้จะมากขึ้น แต่ก็มีสัญญาณอันตรายของธุรกิจอยู่ เพราะธุรกิจกำลังโตด้วยการขยายหนี้

อัตราผลตอบแทนจากทรัพย์สิน หรือ Return on Asset (ROA) เกิดจากการเอารายได้สุทธิของบริษัทมาหารกับสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัท อัตราส่วนนี้ใช้ชี้วัดว่าบริษัทมีประสิทธิภาพในการสร้างรายได้จากสินทรัพย์ที่มี แค่ไหน ซึ่งก็ชัดเจนว่าค่าตรงนี้ยิ่งมาก ก็ยิ่งดี ข้อระวังการเทียบ ROA ให้เหมาะสม ต้องเป็นการเทียบภายในอุตสาหกรรมเดียวกัน และบริษัทที่เทียบต้องมีระดับการโตของธุรกิจพอๆ กัน เนื่องจากค่า ROA ของแต่ละธุรกิจมีความแตกต่าง กันมาก และพร้อมกันนั้น ค่า ROA ของบริษัทที่อยูในคนละขั้นของการเติบโตก็ต่างกันเช่นกัน

อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น หรือ Return on Equity (ROE) ก็เกิดจากการเอารายได้สุทธิของบริษัทมาหารกับส่วนของผู้ถือหุ้น มันเป็นอัตราส่วนที่ใช้ในการวัดความคุ้มทุนของเงินทุนที่ผู้ถือหุ้นเอาลงไปในธุรกิจ แน่นอนว่าค่ายิ่งมากก็ยิ่งดี เพราะหมายความว่าธุรกิจนั้นๆ เอาเงินทุนที่หุ้นส่วนธุรกิจลงเงินไป มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพ

อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin)

ค่าอัตรากำไรขั้นต้น คือ การเอากำไรขั้นต้นมาหารด้วยยอดขายแล้วคูณด้วย 100 (ค่าออกมาเป็น %)

อัตรากำไรสุทธิ คือ การเอากำไรสุทธิมาหารด้วยยอดขายแล้วคูณด้วย 100

สองค่านี้มีหน้าที่คล้ายกัน คือ ใช้วิเคราะห์อัตราผลกำไรของธุรกิจ ซึ่งตัวเลขยิ่งเยอะก็ยิ่งดี แต่อัตราส่วนทั้งสองนี้ก็เป็นการบ่งชี้สัญญาณอันตรายได้ด้วย เช่น ถ้าบริษัท A มีรายได้มากขึ้นเรื่อย ๆ มีกำไรมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อัตรากำไรขั้นต้นกลับค่อย ๆ ลดลงช้า ๆ เป็นข้อบ่งชี้ว่าธุรกิจอาจมีปัญหาบางอย่างแล้ว เพราะอัตรากำไรลดลง ทางผู้บริหารก็ต้องลงไปดูในรายละเอียดต่าง ๆ ของงบการเงินว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งกรณีนี้อาจเป็นได้ว่าเกิดจากการที่ต้นทุนการขายนั้นขยายตัวไปเร็วกว่ายอดขาย ทางผู้บริหารต้องพิจารณาปรับรายละเอียดของต้นทุนการขายให้เหมาะสม เพื่อไม่ให้มันโตไปเร็วกว่ายอดขาย เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าการวิเคราะห์อัตราส่วนทางการเงินนั้นเป็นสิ่งที่มีประโยชน์มาก ทั้งจากมุมของนักบริหาร นักลงทุน และสถาบันทางการเงินภายนอกที่จะให้สินเชื่อหรือเงินกู้ มันเป็นสิ่งที่จะทำให้เรามองภาพของธุรกิจในแง่มุมที่เราต้องการได้อย่างรวดเร็ว พร้อมกันนั้น มันก็เป็นตัวช่วยในการเช็คความผิดปกติต่างๆ ที่เราจะมองไม่เห็นถ้าไม่มองเป็นอัตราส่วน เช่น ถ้าดูงบการเงินแบบเร็วๆ เราอาจจะเห็นยอดขายก็โตขึ้น กำไรก็โตขึ้น แต่มาดูดีๆ ผ่านการทำเป็นอัตราส่วนทางการเงิน เราอาจพบว่าอัตรากำไรลดลง แล้วมารื้อดูต่อ เราก็อาจพบว่าค่า D/E เพิ่มขึ้น นี่อาจทำให้เราฉุกคิดว่ามันมีอะไรผิดปกติ หากสำรวจดูอาจพบว่าบริษัทไปกู้เงินมาเพื่อเป็นงบในการส่งเสริมการขาย ซึ่งผลก็คือทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น แต่อัตราผลกำไรลดลง ซึ่งก็แน่นอนว่านี่เป็นตัวบ่งชี้พื้นฐานว่าการโตของบริษัทเป็นการโตที่ไม่มีประสิทธิภาพ เป็นต้น

-------------------------------------------------

ที่มาข้อมูล

-

ภาพและรวบรวมข้อมูล

www.iok2u.com

-------------------------------------------------

สนใจเรื่องการตลาดเพิ่มเติมคลิกที่นี่

การตลาด (Marketing)

-------------------------------------------------

 
 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward