ลุยเมืองกาญนะจ๊ะบุรี (8) ชมวัดจมน้ำ ของเมืองบาดาล
รูปที่ 1 ภาพถ่ายจากเขาเย็น (ที่ตั้งสันเขื่อนวชิราลงกรณ์) ก่อนปี พ.ศ. 2525 ก่อนการก่อสร้างเขื่อน (ภาพบน) และภาพถ่ายจากสันเขื่อนเมื่อการก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว (ภาพล่าง)
บุญวาทย์ รุ่น 08 ลุยเมืองกาญนะจ๊ะบุรี ชมวัดจมน้ำ ของเมืองบาดาล
หลังจากที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ได้ก่อสร้างเขื่อนเขาแหลม (เขื่อนวชิราลงกรณ์) ขวางลำน้ำแควน้อย ในปี พ.ศ. 2527 ทำให้เกิดอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่หลังสันเขื่อน ซึ่งท่วมตัวอำเภอเก่ารวมทั้งหมู่บ้านชาวมอญ ชาวบ้านจึงต้องย้ายบ้านเรือนและวัดมาอยู่บนเนินเขาในที่ปัจจุบัน (รูปที่ 1) ส่วนสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ไม่สามารถย้ายได้ทั้งหมดก็จมอยู่ใต้น้ำ ประกอบด้วย วัด 3 วัด ได้แก่ วัดวังก์วิเวการามของหลวงพ่ออุตตมะ วัดสมเด็จซึ่งเป็นวัดไทย และวัดศรีสุวรรณ ซึ่งเป็นวัดกะเหรี่ยง ปัจจุบันมีชื่อเสียงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เป็นที่รู้จักในชื่อว่า ทริปนั่งเรือชม “วัดใต้น้ำ” หรือ “เมืองบาดาล”
จุดติดต่อล่องเรือก็มีทั้งตรง สะพานมอญ (สะพานอุตตมานุสรณ์) และ/หรือ สะพานแดง (สะพานศรีสุวรรณคีรี) โดยจะเป็นเรือหางยาว ราคาประมาณลำละ 300 - 600 บาท นั่งได้ 6 คน ถ้าไปหลายคนก็หาลำที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย และก็จ่ายเพิ่มอีกหน่อย ใช้เวลาไป - กลับ ประมาณ 45 นาที สามารถใช้บริการได้ทุกวัน เวลา 06:00 น. - 18:00 น. แต่แนะนำให้ไปเที่ยวในช่วงเช้า เพราะหากสายมากๆ เที่ยง หรือบ่าย แดดอาจจะร้อนจัดเกินไป
วัดสมเด็จ (เก่า) (รูปที่ 2)
ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ตรงข้ามเมืองบาดาล สร้างโดยพระครูวิมลกาญจนคุณเจ้าคณะตำบลหนองลู เป็นวัดที่ไม่ได้จมน้ำ แต่ถูกทิ้งร้างเมื่อครั้งย้ายอำเภอสังขละบุรี ตอนสร้างเขื่อนวชิราลงกรณ์ เพราะเส้นทางเข้าออกถูกน้ำท่วม อุโบสถของวัดสมเด็จมีพระประธานที่มีลักษณะคล้ายกับพระพุทธชินราช สภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ยิ่งไปกว่านั้นรอบตัวโบสถ์มีต้นไทรใหญ่ปกคลุมดูมีมนต์ขลัง นักท่องเที่ยวต้องเดินขึ้นบันไดขึ้นไปประมาณ 100 เมตร 69 จึงถึงตัวโบสถ์
วัดวังก์วิเวการาม (เก่า) หรือ วัดหลวงพ่ออุตตมะ (รูปที่3) เป็นวัดที่หลวงพ่ออุตตมะ ร่วมกันกับชาวบ้านอพยพชาวกะเหรี่ยงและชาวมอญ และร่วมกันสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2496 ที่ บ้านวังกะล่าง อำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรี อยู่ใกล้กับชายแดนไทยพม่า ห่างจากอำเภอเมืองกาญจนบุรีไปราวๆ 220 กิโลเมตร ในฤดูน้ำหลาก ก็จะเห็นเฉพาะหอระฆัง ศาลาวัด และกุฏิของหลวงพ่ออุตตมะ ที่โผล่ผิวน้ำขึ้นมา แต่หากเป็นฤดูแล้ง นักท่องเที่ยวสามารถลงไปเดินพื้นดินที่เคยเป็นวัดมาก่อนได้สบาย แต่จะเห็นแค่ส่วนของกำแพงด้านนอกโบสถ์ ไม่มีส่วนหลังคาโบสถ์ให้เห็นอีกแล้ว ภายในผนังโบสถ์ยังพอจะได้เห็นลวดลายศิลปะแบบมอญให้เห็นอยู่บ้าง เป็นลายของซุ้มองค์พระพุทธรูปที่จะอยู่ตามผนัง แต่ก็มีหลายส่วนที่หลุดหายไปบ้างแล้ว บริเวณด้านนอกโบสถ์จะเห็นเศียรพระหักวางไว้
วัดศรีสุวรรณ(เก่า) (รูปที่ 4)
วัดนี้เปรียบเสมือน เป็นตัวแทนของชาวกะเหรี่ยง เพราะมีชื่อพ้องกันกับพระศรีสุวรรณคีรี เจ้าเมืองสังขละบุรี เป็นวัดที่มีอายุมากที่สุดในบรรดา 3 วัด โดยตัววัดตั้งอยู่ บริเวณปลายแม่น้ำรันตี และค่อนข้างเป็นที่ต่ำกว่าที่วัดวังก์วิเวการาม(เก่า) จึงทำให้บริเวณนี้มีน้ำท่วมตลอดปี จมอยู่ใต้น้ำมากที่สุด เมื่อเวลาน้ำขึ้นจะเหลือไว้เพียงบางส่วนที่โผล่พ้นน้ำ หรือบางทีก็ท่วมมิดจนมองไม่เห็น อาจจะมีให้เห็นก็เพียงแต่ยอดหอระฆังเดิมเท่านั้นที่สูงพ้นน้ำ จะเป็นช่วงปลายฝนต้นหนาว ตั้งแต่ประมาณตุลาคม - มกราคม ส่วนช่วงหน้าแล้ง น้ำหลังเขื่อนจะลดลงเยอะมาก ทำให้สามารถเดินเข้าไปเยี่ยมชมโบสถ์เก่าได้ ควรมาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน ตั้งแต่ประมาณเดือนมีนาคม - เมษายน
ป่ะล่ะ ป่ะล่ะ
รูปที่ 2 ภาพโบสถ์ร้างของวัดสมเด็จ (เก่า) ซึ่งตั้งอยู่บนเนิน น้ำท่วมไม่ถึง
รูปที่ 3 วัดวังก์วิเวการาม (เก่า) ซึ่งในฤดูแล้ง จะสามารถลงไปเดินดูซากวัดได้ แต่ในฤดูฝนก็มักจะพบเพียงยอดหอระฆัง โบสถ์ และกุฏิของกลวงพ่ออุตตมะ เท่านั้น
รูปที่ 4 วัดศรีสุวรรณ (เก่า) ซึ่งจะจมอยู่ใต้น้ำเกือบทั้งปี เพราะสร้างก่อนวัดอื่น และตั้งอยู่ในที่ลุ่มต่ำสุด
.
-------------------------
ที่มา
- https://www.facebook.com/nares.sattayarak
รวบรวมข้อมูลและภาพ
-------------------------
บทความ ดร. นเรศ สัตยารักษ์ (Nares Sattayarak)
รวมบทความที่น่าสนใจจากนักธรณีวิทยาของไทย
-------------------------