BA Theory แผนธุรกิจแคนวาส (BMC) 4 กลุ่ม Who, What, How และ Money
แผนธุรกิจแคนวาส (Business Model Canvas, BMC) เป็นเครื่องมือใหม่สำหรับผู้ที่กำลังคิดจะเริ่มต้นธุรกิจ หรือปรับปรุงธุรกิจเดิมให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
ผู้ประกอบการควรมี Business Model ที่ชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงในการทำธุรกิจนั้นๆ และทำให้เรารู้และเข้าใจภาพรวมของธุรกิจของตัวเองได้มากขึ้น แต่เนื่องจาก Business Model อาจยังไม่สามารถช่วยในการมองภาพธุรกิจของตนได้ชัดพอ Alex Osterwalder จึงได้คิดพัฒนาBusiness Model Canvasขึ้นมาให้เป็นเครื่องมือสำเร็จรูป (template) เพื่อมาเติมเต็มช่องว่างของโมเดลธุรกิจ ให้สามารถแสดงภาพรวมของธุรกิจได้อย่างครบถ้วน ช่วยให้สามารถมองเห็นภาพรวมของธุรกิจ ประเมินโอกาสช่องทาง และความเสี่ยงในการลงทุนได้ดีขึ้น
Business Model Canvas จะเริ่มจากการลงรายละเอียดต่างๆ เพื่อตอบคำถามสำคัญของการทำธุรกิจ โดยจะมีข้อมูลสำคัญ 9 ข้อ จัดแบ่งกลุ่มได้ 4 กลุ่มคือ ใครคือลูกค้า (Who),จะทำอะไร (What), จะทำอย่างไร (How) และเงิน (Money) ประกอบด้วยรายละเอียดดังนี้
กลุ่มที่ 1 ใครคือลูกค้า (Who) ในกลุ่มนี้จะมี 3 เรืองคือ
- กลุ่มลูกค้า (Customer Segments, CS) ระบุกลุ่มลูกค้าที่จะเป็นเป้าหมาย หัวใจสำคัญของการทำธุรกิจคือต้องหาลูกค้าให้ได้ เพราะหากสินค้าที่ทำออกมาไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย การซื้อขายก็ยากที่จะเกิดขึ้น
- ความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationships, CR) เพื่อวางแผนสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ถูกต้อง แต่ละกลุ่มเป้าหมายก็จะมีรูปแบบวิธีในการที่จะรักษาความสัมพันธ์แตกต่างกัน
- ช่องทางการเข้าถึงลูกค้า (Channels, CH) กำหนดช่องทางในการติดต่อเข้าถึงลูกค้า ดูว่ามีช่องทางไหนไหนที่จะช่วยให้เข้าถึงลูกค้าได้ ต้องให้ความสำคัญทั้ง ช่องทางการสื่อสาร ช่องทางในการส่งมอบสินค้าไปถึงลูกค้า และช่องทางให้บริการลูกค้า
กลุ่มที่ 2 จะทำอะไร (What) ในกลุ่มนี้จะมี 1 เรืองคือ
- การกำหนดคุณค่าสินค้า (Value Proposition, VP) ต้องสามารถระบุตำแหน่งคุณค่าให้ได้ว่า สินค้าหรือบริการของเรานั้นดีมีคุณค่าอย่างไร สามารถให้ประโยชน์อะไรแก่ลูกค้า ส่วนนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ
กลุ่มที่ 3 จะทำอย่างไร (How)ในกลุ่มนี้จะมี 3 เรืองคือ
- ทรัพยากรหลัก (Key Resources, KR) ทรัพยากรที่มีในองค์กรที่มีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจให้สำเร็จ ประกอบด้วย ทรัพยากรที่มีอยู่แล้วและที่จำเป็นจะต้องมี สามารถใช้หลัก 4 M มาช่วยกำหนดได้เช่น เงินลงทุน (Money), เครื่องจักร (Machine), คน (Man) หรือการจัดการเทคโนโลยี (Management) เป็นต้น
- กิจกรรมหลัก (Key Activities, KA) งานกิจกรรมหรือกระบวนการหลักของธุรกิจคืออะไร เช่น การผลิต การให้บริการ หรือการจัดการ
- พันธมิตรหลักในธุรกิจ (Key Partnerships, KP) กิจกรรมหลักบางอย่างเราอาจไม่สามารถทำได้เอง หรืออาจใช้คนนอกที่สามารถทำได้ดีกว่า จึงต้องมีการหาหุ้นส่วนทางธุรกิจ มาร่วม เพื่ออำนวยความสะดวก ช่วยกระจายความเสี่ยงในการลงทุน และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ธุรกิจ เช่น การจ้าง supplier หรือการหาคนร่วมหุ้นเพื่อพัฒนาธุรกิจเป็นต้น
กลุ่มที่ 4 กลุ่มที่เกี่ยวกับ เงิน (Money) ในกลุ่มนี้จะมี 2 เรืองคือ
- โครงสร้างต้นทุน (Cost Structure, CS) ค่าใช้จ่ายในการประกอบธุรกิจ ซึ่งมีทั้งรายจ่ายที่คงที่และไม่คงที่เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าวัตถุดิบ ค่าเช่าสถานที่ รวมถึงค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดด้วยเช่นกัน เมื่อนำรายจ่ายที่มีลบกับรายได้หลัก (RS) จะผลประโยชน์ที่องค์ได้รับ
- รายได้หลัก (Revenue Streams, RS) รายได้ที่จะได้รับกลับมา ต้องมองให้ออกว่ารายได้จะเข้ามาวิธีการใดเช่น ค่าสินค้า ค่าบริการ ค่าสมาชิก ค่าเช่าสัญญาณ ฯลฯ
------------------------------------------
@ ลงข้อมูล / เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ