Industry4_006 อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ความสำเร็จของอุตสาหกรรม 4.0 มักถูกวัดด้วย Key Performance Indicators (KPIs) ที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตหรือ Productivity KPIs ซึ่งช่วยในการวัดประสิทธิภาพของกระบวนการและการใช้ทรัพยากรในอุตสาหกรรม 4.0 ได้มีการเพิ่มขึ้น ค่า Productivity KPIs ที่สำคัญ เช่น
- Overall Equipment Effectiveness (OEE) คือ ตัวชี้วัดที่วัดประสิทธิภาพในการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต. มีสามปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลคือ Availability, Performance, และ Quality
- Cycle Time เวลาที่ใช้ในการดำเนินการแต่ละรอบของกระบวนการผลิต, ที่ช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดเวลาในกระบวนการ
- Lead Time เวลาที่ใช้ในการทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการเสร็จสมบูรณ์จนถึงจุดส่งมอบ, ที่มีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า
- Throughput ปริมาณผลผลิตที่สร้างขึ้นในหนึ่งหน่วยเวลา, ที่ช่วยในการวัดประสิทธิภาพของเครื่องจักรและระบบผลิต
- Utilization Rate อัตราการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต, ที่วัดว่ามีการใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
- Defect Rate อัตราการของผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่อง, ที่มีผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และความพึงพอใจของลูกค้า.
Resource Efficiency
- ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง, เช่น พลังงาน, วัสดุ, และแรงงาน
- First-pass Yield อัตราส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการผลิตโดยไม่มีข้อบกพร่องในรอบการผลิตแรก
- Downtime เวลาที่ระบบหยุดทำงาน, ที่ส่งผลต่อการให้บริการและประสิทธิภาพของระบบ
- Return on Investment (ROI) อัตราส่วนระหว่างกำไรและการลงทุนทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนาและดำเนินการระบบ 4.0
Productivity KPIs หรือตัวชี้วัดประสิทธิภาพการผลิต หมายถึง ตัวเลขหรือค่าที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต โดยวัดจากปริมาณผลผลิตที่ได้ต่อหน่วยเวลาหรือต้นทุนที่ใช้ไป KPIs เหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรม 4.0 เนื่องจากช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้
หมวด Productivity KPIs ที่ใช้กับงานอุตสาหกรรม 4.0 ที่สำคัญมีดังนี้
Asset & Equipment Efficiency : ประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขององค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลิตสินค้า KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Asset utilization rate : อัตราการใช้งานสินทรัพย์
Equipment availability rate : อัตราความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร
Equipment breakdown rate : อัตราความขัดข้องของเครื่องจักร
Workforce Efficiency : ประสิทธิภาพของแรงงานในการผลิตสินค้า KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Labor productivity : ผลผลิตต่อคนงาน
Labor turnover rate : อัตราการลาออกของพนักงาน
Employee satisfaction rate : อัตราการพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน
Quality : คุณภาพของสินค้าหรือบริการ KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Defect rate : อัตราความบกพร่องของสินค้า
Customer satisfaction rate : อัตราการพึงพอใจของลูกค้า
Time to market : เวลาในการนำสินค้าหรือบริการออกสู่ตลาด KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Lead time : ระยะเวลาในการดำเนินการ
Cycle time : ระยะเวลาในการผลิตสินค้าหรือบริการ
Cost : ต้นทุนการผลิต KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Total cost of ownership (TCO) : ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ
Cost per unit : ต้นทุนต่อหน่วย
Flexibility : ความยืดหยุ่นของกระบวนการผลิต KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Changeover time : ระยะเวลาในการเปลี่ยนรุ่นการผลิต
Variety of products : ความหลากหลายของสินค้า
Sustainability : ความยั่งยืนของกระบวนการผลิต KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Energy efficiency : ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
Water efficiency : ประสิทธิภาพการใช้น้ำ
Waste reduction : การลดปริมาณของเสีย
องค์กรควรเลือก KPIs ที่เหมาะสมกับบริบทและเป้าหมายขององค์กร โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ผลิต เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต เป็นต้น การนำ KPIs มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้
การใช้ Productivity KPIs เหล่านี้ช่วยให้องค์กรได้รับมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการในอุตสาหกรรม 4.0 และช่วยในการทำปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบในทางที่เหมาะสม
Productivity KPIs |
|
KPI 1: Asset & Equipment Efficiency |
ประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขององค์กรให้ เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลิตสินค้า |
KPI 2: Workforce Efficiency |
ประสิทธิภาพของพนักงานขององค์กร โดยปกติองค์กรที่พนักงานมีประสิทธิภาพจะ ใช้ man-hour ในการทำงานนอ้ ยกว่าองค์กรที่มีพนักงานที่มีประสิทธิภาพต่ำ |
KPI 3: Utilities Efficiency |
ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและทรัพยากรนำ้ รวมถึงประสิทธิภาพในการจัดการ ของเสียที่เกิดขึ้นและถูกปล่อยออกมาจากสายการผลิต |
KPI 4: Inventory Efficiency |
ประสิทธิภาพในการจัดการให้มีระดับวัตถุดิบ/สินค้าคงคลังในระดับที่ตำ่ ที่สดุ เพื่อ ช่วยเรื่องการบริหารกระแสเงินสด |
KPI 5: Materials Efficiency |
ประสิทธิภาพของการผลิตที่ให้ได้ Yield สูงสุด หรือมีของเสียน้อยที่สุด |
Quality KPIs |
|
KPI 6: Process Quality |
การทำให้กระบวนการผลิตและกระบวนการสนับสนนุ การผลติ มีประสิทธิภาพและมี ความยืดหยุ่น สามารถผลิตผลติ ภัณฑ์ได้ตามข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ กระบวนการผลิตมีความสม่ำเสมอ ความเบี่ยงเบนและความผิดปกติพารามิเตอร์การ ผลิตมีน้อย สงผลให้มีจำนวนชนิ้ งานเสียทนี่ ้อย หรือใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ลดลง เพื่อให้ได้จำนวนสินค้าเท่าเดิม |
KPI 7: Product Quality |
ความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ให้ใกล้เคียงกับข้อกำหนดเป้าหมายมากที่สุด มี ข้อบกพร่องในสัดส่วนที่ตำ่ ที่สุด ทั้ง WIP และผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ลดต้นทุนจาก การ Rework & Repair & Replacement ผลิตภัณฑ์ |
KPI 8: Safety |
การป้องกันอุบัติการณ์ (incident) ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและความปลอดภัยใน สถานปฏิบัติงาน เพื่อช่วยลดโอกาสการหยุดชะงักของสายการผลิตและทำให้การ ดำเนินงานของบริษัทดำเนินไปอย่างราบรื่น |
KPI 9: Security |
การมุ่งป้องกันการละเมิดความปลอดภัย (ทางกายภาพและดิจิทัล) ในสถาน ประกอบการ |
Flexibility KPIs |
|
KPI 10: Planning & Scheduling Effectiveness |
ความสามารถในการปรับตัวของกระบวนการวางแผนและการจัดตารางเวลาการ ผลิต ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ และความสามารถ จัดการห่วงโซ่อุปทานของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
KPI 11: Production Flexibility |
ความสามารถในการเพิ่มและกระจายกระบวนการผลิตได้ด้วยหลักการแบบ plug- and-play หรือการที่พนักงานสามารถดำเนินการปรับแต่งหรือกำหนดค่าใหม่ให้กับ อุปกรณ์ เครื่องจักร และระบบคอมพิวเตอร์ ได้โดยง่ายและรวดเร็ว จึงช่วยให้ ผู้ประกอบการที่มีจำนวนของ SKU มากสามารถดำเนินการผลิตแบบ small lot หรือ mixed ได้ |
KPI 12: Workforce Flexibility |
ความสามารถของพนักงานในทกระดับขององค์กร ให้ปฏิบัติงานได้หลากหลาย ชวย ให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการบริหารเลือกใช้พนักงานได้แม้ในช่วงที่มีความผัน ผวนของธุรกิจ |
Market KPIs | |
KPI 13: Time to Market | คือระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (หรือพัฒนาจากผลิตภัณฑ์เดิม) จนกระทั่งนำผลิตภัณฑ์นั้นเข้าสู่ตลาดได้ ผลตภัณฑ์ที่เข้าสู่ตลาดได้ก่อนมีแนวโน้มที่ จะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า และด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน ทำให้ปริมาณและการแลกเปลี่ยนของข้อมูลในห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น เป็นอย่างมาก และทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลความคิดเห็นของกลุ่ม ลูกค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะชวยลดระยะเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ ตลาดนั่นเอง |
KPI 14: Customer Loyalty |
คือการมีนโยบายและระบบสนบั สนนุ ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันและ กลุ่มลูกค้าใหม่ โดยสามารถรักษาลูกค้าปัจจุบนั และสนองความต้องการแก่กลุ่ม ลูกค้าใหม่ได้ เช่นมีนโยบายทางการตลาด กิจกรรมต่างๆ และระบบสนบั สนุน ที่ สามารถทำให้ลูกค้าปัจจุบันยังคงซื้อสินค้าซ้ำและต่อเนื่อง และสามารถทำให้กลุ่ม ลูกค้าเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้าของบริษัท เป็นต้น |
KPI 15: Time to Delivery | คือระยะเวลาที่บริษัทใช้ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อ-เริ่มการผลิต จนถึงการส่งมอบ ผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า ซึ่งในบางอุตสาหกรรมคำสั่งซื้อผลิตภัณฑจะมีความอ่อนไหว ด้านเวลาในการส่งมอบ และการจัดส่งล่าช้าอาจส่งผลให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจใน อนาคตได้ |
---------------------------------
ที่มาข้อมูล
---------------------------------
สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวมข้อมูล