ลักษณะสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว (Dead Stock)
ลักษณะสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว (Dead Stock) เป็นปัญหาการจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง เนื่องจากสินค้าที่ไม่ เคลื่อนไหวทำให้การจัดเก็บสินค้าที่เคลื่อนไหวได้ดีมีปัญหา ส่งผลต่อการจัดการพื้นที่ในคลังทำให้การนำสินค้าเข้าจัดเก็บหรือ การจ่ายกอกมีปัญหา เนื่องจากสินค้าไม่เคลื่อนไหวกีดขวาง ตัวอย่าง ประเภทของสินค้าไม่เคลื่อนไหว มีดังนี้
- สินค้าคืนจากลูกค้าและขายไม่ได้ (Reject Cargoes)
- สินค้าเสียหาย (Damage Cargoes)
- สินค้าล้าสมัยขายไม่ได้ (Out of Date Goods)
- สินค้าซื้อมากแต่ใช้น้อยหรือไม่ได้ใช้ (Slow Move Cargoes)
- สินค้าไม่เคลื่อนไหว (Sleepy Cargoes)
- เศษซาก/ของเสีย (Scrap & Waste Cargoes)
- สินค้ามีแต่ในบัญชีแต่สินค้าจริงไม่มี (Cargoes on Paper)
- สินค้าไม่มีราคาแต่ทางบัญชียังคงมีมูลค่า (Non Value Cargoes)
- ระยะเวลาที่จำแนกสินค้าไม่เคลื่อนไหว
การจำแนกระยะเวลาสินค้าที่เข้าสู่คลังเก็บสินค้าจะเป็นตัวชี้วัดความเคลื่อนไหวของสินค้าโดยผู้เกี่ยวข้องเป็นผู้กำหนดระยะเวลาของสินค้าที่อยู่ในคลังว่า ระยะเวลาที่จัดเก็บนานเท่าใดถึงจะเรียกว่าเป็นสินค้าไม่เคลื่อนไหว และแบ่งประเภทสินค้าตามระยะเวลาของการจัดเก็บสินค้าในคลังตัวอย่างเช่น โรงงานอาหารกระป๋อง ได้กำหนดประเภทสินค้าตามระยะเวลาเอาไว้ ดังนี้
- สินค้าเคลื่อนไหวเร็ว (Fast Moving) คือสินค้าที่เก็บไว้ในคลังสินค้า ไม่เกิน 7 วัน
- สินค้าปกติ (Normal Moving) คือสินค้าที่เก็บไว้ในคลังสินค้า 7 – 14 วัน
- สินค้าเคลื่อนไหวช้า (Slow Moving) คือสินค้าที่เก็บไว้ในคลังสินค้านานกว่า 14 วัน
- เคลื่อนไหวช้ามาก (Very Slow Moving) คือสินค้าที่เก็บไว้ในคลังสินค้านานกว่า 30 วัน
- ไม่เคลื่อนไหว (Dead Moving) คือสินค้าที่เก็บไว้ในคลังสินค้านานกว่า 45 วัน
เมื่อกำหนดประเภทสินค้าตามระยะเวลาที่อยู่ในคลังสินค้าได้แล้ว เจ้าหน้าที่คลังสินค้าจะกำหนดพื้นที่การจัดเก็บสินค้าตามระยะเวลาสินค้าที่อยู่ในคลัง โดยกำหนดให้สินค้าที่เคลื่อนไหวได้ดี อยู่ในพื้นที่ที่จัดเก็บและนำออกได้ง่าย ส่วนสินค้าที่เคลื่อนไหวได้ช้าจะเก็บไว้ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ยาก การเก็บสินค้าในคลังสินค้าตามระยะเวลาที่จัดเก็บสามารถเห็นถึงแนวโน้มการผลิตและการขายได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งจำเป็นต้องใช้ระบบการควบคุมด้วยสายตา (Visual Control) เข้ามาประยุกต์ใช้ร่วมกัน โดยกำหนดพื้นที่ จัดเก็บตามสีหรือระดับการเคลื่อนไหว เช่นสินค้าเคลื่อนไหวเร็ว จัดเก็บหรือมีป้ายชี้บ่งสีเขียว สินค้าเคลื่อนไหวของสินค้าได้โดยง่าย
วิธีการลดปริมาณสินค้าไม่เคลื่อนไหว โดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการจัดการสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว ไม่สามารถผลักภาระความรับผิดชอบให้กับหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งโดยเฉพาะ ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายฝ่าย อาทิ
ฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด
- ผลักดันยอดขายผ่านฝ่ายขายหรือตัวแทนจำหน่าย โดยให้ผลตอบแทน (Incentives) ที่สูงสำหรับการขายสินค้าไม่เคลื่อนไหว โดยกำหนดให้สูงกว่าการขายสินค้าที่มีการเคลื่อนไหวปกติหรือสินค้าที่ขายดีอยู่แล้ว
- กำหนดสัดส่วนการขายสินค้าที่เคลื่อนไหวช้าต่อเดือนเป็นสัดส่วนต่อการขายสินค้าทั้งหมดในรอบเดือน
- จัดกลุ่มสินค้าบางประเภท ให้เป็นสินค้าฝากขาย ( Consignment) โดยการกระจายสินค้าฝากขายไปยังลูกค้าให้มากที่สุด เพื่อลดภาระการจัดเก็บและปริมาณสินค้าในคลังสินค้า
- ส่งเสริมการตลาดในสินค้าไม่เคลื่อนไหว เช่น ลด แลก แจก แถม เป็นต้น
ฝ่ายจัดซื้อ
- ในกรณีซื้อวัตถุดิบต้องมีการคำนวณการสั่งซื้อ โดยจำเป็นต้องรู้ข้อมูลปริมาณการใช้หรือแผนการผลิต ต้นทุนการสั่งซื้อแต่ละครั้ง ต้นทุนการเก็บรักษา ปริมาณการสั่งซื้อขั้นต่ำ แล้วจึงคำนวณหาปริมาณการสั่งซื้อที่เหมาะสมต่อไป (Economics Order Quantity : EOQ)
- จำเป็นต้องจัดหาซัพพลายเออร์สำรอง หรือรายใหม่ ในกรณีที่การสั่งซื้อจากซัพพลายเออร์ปัจจุบันมีปริมาณการสั่งซื้อสินค้าขั้นต่ำในประมาณมาก
ฝ่ายคลังสินค้า
- แสดงให้เห็นถึงจำนวนสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหวในคลังสินค้าให้ชัดเจน ดูง่าย โดยจัดพื้นที่ในการเก็บสินค้าไม่เคลื่อนไหวให้อยู่ในที่เดียวกัน และมีป้ายบ่งชี้ประกอบ เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตระหนังถึงปัญหาของสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว โดยหวังว่าทุกหน่วยงานจะเข้ามาร่วมแก้ปัญหาด้วยกัน
ฝ่ายผลิต
- นำส่วนประกอบของสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหว มาใช้ใหม่ (Re-use) หรือรีไซเคิล ตามแต่กรณีโดยเฉพาะสินค้าที่เป็นชินส่วนประกอบ เช่น ผลิตภัณฑ์จากยางบางประเภท เฟอร์นิเจอร์ หรือชิ้นส่วนประกอบยานยนต์ เป็นต้น
ฝ่ายบุคคล
- จัดขายสินค้าราคาประหยัดเพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่พนักงาน
ฝ่ายบัญชี
- ตัดตัวเลขทางบัญชีและทำลายสินค้าที่ไม่เคลื่อนไหวและหมดอายุหากจำเป็น
- บริจาคเป็นสาธารณกุศล ซึ่งสามารถนำมาลดหย่อนภาษีปลายปีได้
ขั้นตอนในการลดปริมาณสินค้าไม่เคลื่อนไหว สามารถจัดลำดับจากขั้นตอนที่ง่ายที่สุดไปยังขั้นตอนที่ยากที่สุด หรือขั้นตอนที่ใช้ต้นทุนน้อยที่สุดไปยังต้นทุนสูงที่สุด ดังนั้นผู้ประกอบการจำเป็นต้องเลือกวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมกับธุรกิจและประเภทสินค้าของตนเอง