เศรษฐศาสตร์ บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นในด้านเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 1 ความรู้เบื้องต้นในด้านเศรษฐศาสตร์
1.1 ความหมายและความสำคัญของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ (Economics) เป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับการจัดสรรทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด เพื่อสนองความต้องการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์ กล่าวคือ เป็นการศึกษาว่าสังคมจะจัดการกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างไร เพื่อผลิตสินค้าและบริการที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตและตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของสมาชิกในสังคม ประกอบด้วยการผลิต การกระจาย และการบริโภคสินค้าและบริการ เศรษฐศาสตร์เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของบุคคล กลุ่มบุคคล และสังคมในการใช้ทรัพยากรที่จำกัดเพื่อให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด
ความสำคัญของเศรษฐศาสตร์ อยู่ที่การช่วยให้เราทำความเข้าใจว่าทรัพยากรที่มีจำกัดนั้นถูกใช้ไปอย่างไร และจะสามารถใช้ทรัพยากรเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร นอกจากนี้ เศรษฐศาสตร์ยังช่วยให้เราทำความเข้าใจกับการทำงานของระบบเศรษฐกิจ ทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค ซึ่งส่งผลต่อการตัดสินใจในชีวิตประจำวันและนโยบายของรัฐบาล
- ช่วยในการตัดสินใจ: เศรษฐศาสตร์ช่วยให้เราเข้าใจถึงต้นทุนและผลประโยชน์ของการเลือกต่างๆ ทำให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในระดับบุคคล ธุรกิจ และรัฐบาล
- ช่วยในการแก้ปัญหา: เศรษฐศาสตร์ช่วยให้เราวิเคราะห์และเข้าใจปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ เช่น ภาวะเงินเฟ้อ การว่างงาน และความยากจน เพื่อนำไปสู่การออกแบบนโยบายและมาตรการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเหล่านั้น
- ช่วยในการพัฒนาประเทศ: เศรษฐศาสตร์มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ช่วยในการวางแผนและกำหนดนโยบายเพื่อส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การกระจายรายได้ และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน
1.2 ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ: ความขาดแคลนและการเลือก
ปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ เกิดจากความไม่สมดุลระหว่างทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด กับความต้องการของมนุษย์ที่มีไม่จำกัด ซึ่งนำไปสู่ปัญหาความขาดแคลน (Scarcity) ความขาดแคลนนี้บังคับให้เราต้องทำการ "เลือก" ว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
ปัญหาพื้นฐานของเศรษฐกิจ คือ "ความขาดแคลน" ซึ่งหมายถึงทรัพยากรที่มีจำกัดไม่เพียงพอต่อความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มีที่สิ้นสุด เนื่องจากข้อจำกัดนี้ ผู้คนจึงต้องเผชิญกับการตัดสินใจหรือการเลือก (Choice) ว่าจะใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในทางใด ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิดเรื่อง "ค่าเสียโอกาส" (Opportunity Cost) หมายถึงคุณค่าของสิ่งที่เราไม่ได้เลือกเมื่อเลือกสิ่งหนึ่งไปแล้ว การเลือกนี้เกิดขึ้นในทุกระดับของเศรษฐกิจ ตั้งแต่บุคคลที่ต้องตัดสินใจว่าจะใช้เงินซื้ออะไร ไปจนถึงรัฐบาลที่ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ทรัพยากรในการสร้างสาธารณูปโภคแบบใด ตัวอย่างปัญหาพื้นฐานทางเศรษฐกิจ:
- ผลิตอะไร (What to produce?): สังคมต้องตัดสินใจว่าจะผลิตสินค้าและบริการอะไรบ้าง และในปริมาณเท่าใด เนื่องจากทรัพยากรมีจำกัด เราไม่สามารถผลิตทุกอย่างที่ต้องการได้
- ผลิตอย่างไร (How to produce?): สังคมต้องตัดสินใจว่าจะใช้วิธีการใดในการผลิตสินค้าและบริการ โดยคำนึงถึงต้นทุนและประสิทธิภาพในการผลิต
- ผลิตเพื่อใคร (For whom to produce?): สังคมต้องตัดสินใจว่าจะกระจายสินค้าและบริการที่ผลิตได้อย่างไร ใครจะเป็นผู้ได้รับสินค้าและบริการเหล่านั้น
1.3 แขนงต่างๆ ของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ แบ่งออกเป็นสองแขนงหลัก ได้แก่
- เศรษฐศาสตร์จุลภาค (Microeconomics) ศึกษาพฤติกรรมทางเศรษฐกิจของหน่วยเศรษฐกิจขนาดเล็ก หรือหน่วยเศรษฐกิจย่อย เช่น เช่น บุคคล ครัวเรือน และธุรกิจบริษัท มุ่งเน้นการวิเคราะห์การตัดสินใจของผู้บริโภคและผู้ผลิตในตลาด การกำหนดราคา การจัดสรรทรัพยากร และการตัดสินใจของหน่วยเหล่านี้ ในการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด และผลกระทบที่เกิดขึ้นต่ออุปสงค์และอุปทานในตลาด รวมถึงการตั้งราคาและการกระจายทรัพยากรภายในระบบเศรษฐกิจ
- เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) ศึกษาการทำงานของระบบเศรษฐกิจโดยรวม รวมถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล มุ่งเน้นการวิเคราะห์ตัวแปรทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน การเติบโตทางเศรษฐกิจ และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล เศรษฐศาสตร์มหภาคมีเป้าหมายที่จะทำความเข้าใจและวิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในระดับประเทศและระดับโลก
1.4 ความหมายและขอบเขตของเศรษฐศาสตร์
เศรษฐศาสตร์ เป็นศาสตร์ที่มีขอบเขตกว้างขวาง ครอบคลุมทั้งด้านทฤษฎีและการประยุกต์ใช้จริงศึกษาเกี่ยวกับการใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ผู้คนในสังคม ขอบเขตของเศรษฐศาสตร์ครอบคลุมหลากหลายด้าน ตั้งแต่การวิเคราะห์การทำงานของตลาดและการกำหนดราคาสินค้าและบริการ ไปจนถึงการวิเคราะห์นโยบายเศรษฐกิจและผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อสังคม นอกจากนี้ยังครอบคลุมการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค การผลิต การกระจาย และการบริโภคสินค้าและบริการ รวมถึงการตัดสินใจของรัฐบาลในการใช้ทรัพยากรเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ
- เศรษฐศาสตร์เชิงทฤษฎี (Theoretical Economics): มุ่งเน้นการพัฒนาแบบจำลองและทฤษฎีเพื่ออธิบายและทำนายพฤติกรรมทางเศรษฐกิจ
- เศรษฐศาสตร์เชิงประยุกต์ (Applied Economics): นำทฤษฎีและแบบจำลองทางเศรษฐศาสตร์ไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในโลกแห่งความเป็นจริง
ขอบเขตของเศรษฐศาสตร์ครอบคลุมหลากหลายสาขา เช่น
- เศรษฐศาสตร์แรงงาน: ศึกษาตลาดแรงงาน อัตราค่าจ้าง และการว่างงาน
- เศรษฐศาสตร์การเงิน: ศึกษาระบบการเงิน ตลาดทุน และการลงทุน
- เศรษฐศาสตร์พัฒนา: ศึกษาการเติบโตและการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศกำลังพัฒนา
- เศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม: ศึกษาผลกระทบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อสิ่งแวดล้อม และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
1.5 ความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์จุลภาคและมหภาค
เศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค ทั้งสองแขนงนี้มีความเชื่อมโยงสัมพันท์กัน โดยที่พฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจย่อยในเศรษฐศาสตร์จุลภาค สามารถส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมในเศรษฐศาสตร์มหภาค และในทางกลับกัน สภาพเศรษฐกิจโดยรวมสามารถส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของหน่วยเศรษฐกิจย่อย
แม้ว่าเศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค จะเป็นส่วนหนึ่งของเศรษฐศาสตร์เหมือนกัน แต่ก็มีจุดเน้นและมุมมองที่แตกต่างกัน ในส่วนของความแตกต่างระหว่างเศรษฐศาสตร์จุลภาคและเศรษฐศาสตร์มหภาค เช่น
- ระดับการวิเคราะห์: เศรษฐศาสตร์จุลภาค เน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของหน่วยเศรษฐกิจขนาดเล็ก มุ่งเน้นการศึกษาพฤติกรรมและการตัดสินใจของหน่วยเศรษฐกิจย่อย เช่น ครัวเรือนและบริษัท รวมถึงการทำงานของตลาดที่ประกอบด้วยอุปสงค์และอุปทานของสินค้าและบริการต่าง ๆ ส่วนเศรษฐศาสตร์มหภาค เน้นการวิเคราะห์เศรษฐกิจในภาพรวมของเศรษฐกิจทั้งระบบ เช่น การวัดผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) การว่างงาน อัตราเงินเฟ้อ และนโยบายเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ
- ตัวแปรที่สนใจ: เศรษฐศาสตร์จุลภาคสนใจตัวแปร เช่น ราคาสินค้า ปริมาณการผลิต และรายได้ของบุคคล ส่วนเศรษฐศาสตร์มหภาคสนใจตัวแปร เช่น GDP อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน
- นโยบายที่เกี่ยวข้อง: เศรษฐศาสตร์จุลภาคเกี่ยวข้องกับนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อตลาดเฉพาะ เช่น การควบคุมราคาสินค้า ส่วนเศรษฐศาสตร์มหภาคเกี่ยวข้องกับนโยบายที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เช่น นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
1.6 แนวคิดพื้นฐาน: อุปสงค์ อุปทาน ค่าเสียโอกาส
เศรษฐศาสตร์มีแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญซึ่งเป็นพื้นฐานในการวิเคราะห์และทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางเศรษฐกิจ:
- อุปสงค์ (Demand) คือ ปริมาณสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคต้องการและสามารถซื้อได้ในราคาต่างๆ ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคต้องการซื้อในระดับราคาที่กำหนด ในช่วงเวลาหนึ่ง ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณอุปสงค์มักเป็นไปในทางตรงกันข้าม กล่าวคือ เมื่อราคาสูงขึ้น ปริมาณอุปสงค์มักลดลง และในทางกลับกัน
- อุปทาน (Supply) คือ ปริมาณสินค้าและบริการที่ผู้ผลิตพร้อมที่จะขายในระดับราคาที่กำหนด ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้ผลิตต้องการและสามารถขายได้ในราคาต่างๆ ความสัมพันธ์ระหว่างราคาและปริมาณอุปทานมักเป็นไปในทางเดียวกัน กล่าวคือ เมื่อราคาสูงขึ้น ปริมาณอุปทานมักเพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน
- ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ คุณค่าของสิ่งที่ต้องเสียสละไปเมื่อเลือกทางเลือกหนึ่งแทนที่จะเลือกอีกทางเลือกหนึ่ง มูลค่าของทางเลือกที่ดีที่สุดรองลงมาที่ต้องเสียไป เมื่อเราเลือกทางเลือกหนึ่งทางเลือกใด แนวคิดนี้มีความสำคัญในเศรษฐศาสตร์ เพราะมันช่วยให้เราเข้าใจถึงต้นทุนที่แท้จริงของการตัดสินใจ และทำให้การใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แนวคิดทั้งสามนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจเศรษฐศาสตร์ อุปสงค์และอุปทานเป็นกลไกหลักที่กำหนดราคาสินค้าและบริการในตลาด ส่วนค่าเสียโอกาสช่วยให้เราเข้าใจถึงต้นทุนที่แท้จริงของการเลือก และช่วยในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
บทนี้จะสรุป พื้นฐานความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ เศรษฐศาสตร์ เกี่ยวกับความหมาย ความสำคัญ ปัญหาพื้นฐาน แขนงต่างๆ ขอบเขต และแนวคิดพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเป็นประโยชน์ในการทำความเข้าใจเนื้อหาในบทต่อๆ ไป และนำไปประยุกต์ใช้ในการตัดสินใจและการดำเนินชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง การทำความเข้าใจแนวคิดพื้นฐานเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์และการตัดสินใจทางเศรษฐกิจทั้งในระดับจุลภาคและมหภาค
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------