เศรษฐศาสตร์ บทที่ 10 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 10 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
10.1 ความหมายและความสำคัญของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ มาตรการที่ธนาคารกลางใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ และ/หรือ อัตราดอกเบี้ย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การรักษาเสถียรภาพของราคา การส่งเสริมการจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและการกำหนดอัตราดอกเบี้ย โดยมีธนาคารกลางเป็นผู้กำหนด นโยบายนี้มีบทบาทในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ การส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ และรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คือ มาตรการที่รัฐบาลใช้ในการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำ และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ การดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บรายได้ของรัฐ (เช่น ภาษี) และการใช้จ่ายภาครัฐ นโยบายนี้มีบทบาทในการกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจและการสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
ความสำคัญของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค ทั้งสองนโยบายมีบทบาทสำคัญในการ เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดและควบคุมสภาพเศรษฐกิจของประเทศ
- รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ: ควบคุมเงินเฟ้อและการว่างงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
- ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ: กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค
- แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจต่างๆ: เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ และปัญหาหนี้สิน
10.2 เครื่องมือของนโยบายการเงิน อัตราดอกเบี้ยนโยบาย การดำเนินงานตลาดเปิด และการกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) เป็นอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน และมีผลต่อการลงทุน การบริโภค และอัตราแลกเปลี่ยน อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดเป็นเกณฑ์เพื่อควบคุมกิจกรรมทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจะทำให้การกู้ยืมเงินยากขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอการเติบโตของเศรษฐกิจและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ส่วนอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจะกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมและการใช้จ่าย ทำให้เศรษฐกิจเติบโต
ลดอัตราดอกเบี้ย กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
เพิ่มอัตราดอกเบี้ย ชะลอการลงทุนและการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจหดตัว
- การดำเนินงานตลาดเปิด (Open Market Operations) เป็นการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิดโดยธนาคารกลาง เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางซื้อหรือขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเพื่อปรับปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การซื้อพันธบัตรจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบและกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การขายพันธบัตรจะลดปริมาณเงินและชะลอเศรษฐกิจ
ซื้อพันธบัตร เพิ่มปริมาณเงินในระบบ กระตุ้นเศรษฐกิจ
ขายพันธบัตร ลดปริมาณเงินในระบบ ชะลอเศรษฐกิจ
- การกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement) เป็นสัดส่วนของเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บไว้เป็นเงินสำรอง การเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนนี้จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และมีผลต่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือไว้ การเพิ่มอัตราส่วนนี้จะลดความสามารถของธนาคารในการให้สินเชื่อ ซึ่งจะลดปริมาณเงินในระบบ ส่วนการลดอัตราส่วนจะเพิ่มการให้สินเชื่อและปริมาณเงินในระบบ
ลดอัตราส่วนเงินสำรอง เพิ่มความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร กระตุ้นเศรษฐกิจ
เพิ่มอัตราส่วนเงินสำรอง ลดความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร ชะลอเศรษฐกิจ
10.3 เครื่องมือของนโยบายการคลัง: การจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐ
- การจัดเก็บภาษี (Taxation): เป็นการที่รัฐบาลเรียกเก็บเงินจากประชาชนและธุรกิจ เพื่อนำมาเป็นรายได้ของรัฐบาล ภาษีมีหลายประเภท เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร การเก็บภาษีจากประชาชนและธุรกิจเป็นแหล่งรายได้หลักของรัฐบาล อัตราภาษีที่สูงขึ้นสามารถช่วยลดการบริโภคและการลงทุนของเอกชน ซึ่งช่วยชะลอเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราภาษีที่ต่ำลงสามารถกระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
ลดภาษี: เพิ่มรายได้ของประชาชนและธุรกิจ กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน
เพิ่มภาษี: ลดรายได้ของประชาชนและธุรกิจ ชะลอการบริโภคและการลงทุน
- การใช้จ่ายภาครัฐ (Government Spending): เป็นการที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและการลงทุน เช่น การสร้างถนน โรงพยาบาล โรงเรียน และการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ รัฐบาลสามารถใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจโดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา และการสาธารณสุข การใช้จ่ายภาครัฐที่เพิ่มขึ้นจะสร้างงานและรายได้ แต่หากใช้จ่ายมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดหนี้สาธารณะสูงและอัตราเงินเฟ้อ
เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ สร้างงานและรายได้ กระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน
ลดการใช้จ่ายภาครัฐ ลดงานและรายได้ ชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน
10.4 ผลกระทบของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังต่อเศรษฐกิจ
การเติบโตทางเศรษฐกิจ นโยบายที่ผ่อนคลาย (ลดอัตราดอกเบี้ย, เพิ่มปริมาณเงิน, ลดภาษี, เพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ) จะกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่นโยบายที่เข้มงวด (เพิ่มอัตราดอกเบี้ย, ลดปริมาณเงิน, เพิ่มภาษี, ลดการใช้จ่ายภาครัฐ) อัตราเงินเฟ้อ การว่างงาน และอัตราแลกเปลี่ยน จะชะลอการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งนโยบายการเงินและนโยบายการคลังมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจในหลายด้าน เช่น
- อัตราเงินเฟ้อ นโยบายที่ผ่อนคลายอาจทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ในขณะที่นโยบายที่เข้มงวดอาจช่วยลดเงินเฟ้อ การใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ภาวะเงินเฟ้อสูง เศรษฐกิจถดถอย หรือการเพิ่มขึ้นของหนี้สาธารณะ นโยบายที่เหมาะสมจะช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และส่งเสริมความเจริญเติบโตที่ยั่งยืน
- อัตราการว่างงาน นโยบายที่ผ่อนคลายอาจช่วยลดอัตราการว่างงาน ในขณะที่นโยบายที่เข้มงวดอาจทำให้อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น
- อัตราแลกเปลี่ยน นโยบายการเงินอาจมีผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยน การลดอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ค่าเงินอ่อนค่าลง ในขณะที่การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น
10.5 ระบบการเงินและบทบาทของธนาคาร
ระบบการเงิน (Financial System) ประกอบด้วยสถาบันทางการเงิน ตลาด เป็นกลไกที่ช่วยในการระดมเงินทุนจากผู้ที่มีเงินออม ไปให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุนเพื่อการลงทุนหรือการบริโภค ประกอบด้วยสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคาร บริษัทประกันภัย และตลาดหลักทรัพย์ ระบบการเงินเงิน และเครื่องมือทางการเงินที่ทำหน้าที่ในกระบวนการแลกเปลี่ยนและการจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ
บทบาทของธนาคาร: ธนาคารมีบทบาทสำคัญในระบบการเงิน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน รับฝากเงินจากผู้มีเงินออม และปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุน นอกจากนี้ ธนาคารยังมีบทบาทในการสร้างเงินฝากและชำระเงิน ธนาคารมีบทบาทสำคัญในการสร้างเงิน ผ่านการให้สินเชื่อและการจัดการเงินฝาก ธนาคารกลางควบคุมกิจกรรมเหล่านี้เพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
10.6 การสร้างเงินและนโยบายการเงิน
การสร้างเงิน (Money Creation) ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างเงินฝากได้มากกว่าเงินสดที่รับฝากไว้ โดยอาศัยกลไกการให้สินเชื่อและการหมุนเวียนของเงินฝาก เมื่อธนาคารปล่อยกู้ เงินกู้จะกลายเป็นเงินฝากในบัญชีของผู้กู้ ซึ่งผู้กู้นำไปใช้จ่าย และเงินนั้นก็จะถูกฝากเข้าบัญชีของผู้อื่นต่อไป ทำให้เกิดการหมุนเวียนของเงินฝากและเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การสร้างเงินเริ่มต้นจากธนาคารกลางที่กำหนดปริมาณเงินที่ต้องการในระบบ ผ่านกระบวนการให้สินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ที่ส่งผลต่อปริมาณเงินหมุนเวียนในเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินและการสร้างเงิน ธนาคารกลางสามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยการใช้นโยบายการเงินที่มีผลต่อความสามารถในการสร้างเงินของธนาคารพาณิชย์ เช่น การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือการกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย นโยบายการเงินถูกนำมาใช้เพื่อควบคุมการสร้างเงินและปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ เพื่อรักษาเสถียรภาพของอัตราเงินเฟ้อและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
10.7 ตลาดเงินและตลาดทุน
ตลาดเงินและตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการระดมทุนและจัดสรรทรัพยากรทางเศรษฐกิจ ช่วยสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ตลาดเงิน (Money Market) เป็นตลาดที่ใช้ในการระดมเงินทุนระยะสั้น (โดยทั่วไปไม่เกิน 1 ปี) เช่น ตลาดตั๋วเงินคลัง ตลาดเงินฝากระหว่างธนาคาร ตลาดตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นตลาดที่ซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินระยะสั้น เช่น พันธบัตรรัฐบาลที่มีอายุต่ำกว่า 1 ปี สินทรัพย์เหล่านี้มีความเสี่ยงต่ำและมีสภาพคล่องสูง
ตลาดทุน (Capital Market) เป็นตลาดที่ใช้ในการระดมเงินทุนระยะยาว เช่น ตลาดหุ้น เป็นตลาดที่ซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินระยะยาว เช่น หุ้นและพันธบัตรที่มีอายุมากกว่า 1 ปี ตลาดทุนมีความเสี่ยงสูงกว่า แต่มีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่า
บทนี้เป็นการอธิบายถึงแนวคิดพื้นฐานและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจ โดยมีผลกระทบอย่างมากต่อชีวิตประจำวันของประชาชนและการดำเนินธุรกิจ
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------