เศรษฐศาสตร์ บทที่ 2 อุปสงค์ อุปทาน และกลไกราคา
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 2 อุปสงค์ อุปทาน และกลไกราคา
ความเข้าใจในเรื่อง อุปสงค์ อุปทาน และกลไกราคา เป็นพื้นฐานสำคัญในการทำความเข้าใจกลไกการทำงานของตลาดและเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
2.1 กฎของอุปสงค์และอุปทาน
อุปสงค์และอุปทาน เป็นแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญที่สุดในเศรษฐศาสตร์ ทั้งสองแนวคิดนี้อธิบายว่าปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อ (อุปสงค์) และปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตพร้อมจะขาย (อุปทาน) มีความสัมพันธ์กับราคาสินค้าอย่างไร
- กฎของอุปสงค์ (Law of Demand) กล่าวว่าเมื่อราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นจะมีแนวโน้มลดลง และในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าหรือบริการลดลง ปริมาณความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการนั้นจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยอื่นๆ คงที่ กฎของอุปสงค์ ระบุว่าภายใต้เงื่อนไขอื่นๆ ที่คงที่ (ceteris paribus) เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น ปริมาณอุปสงค์จะลดลง และในทางกลับกัน เมื่อราคาลดลง ปริมาณอุปสงค์จะเพิ่มขึ้น นี่เป็นเพราะผู้บริโภคมักจะซื้อน้อยลงเมื่อราคาสูงขึ้นและซื้อมากขึ้นเมื่อราคาลดลง
- กฎของอุปทาน (Law of Supply) กล่าวว่าเมื่อราคาสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการขายสินค้าหรือบริการนั้นจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อราคาสินค้าหรือบริการลดลง ปริมาณความต้องการขายสินค้าหรือบริการนั้นจะมีแนวโน้มลดลง โดยมีปัจจัยอื่นๆ คงที่ กฎของอุปทาน ระบุว่าภายใต้เงื่อนไขอื่นๆ ที่คงที่ เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น ปริมาณอุปทานจะเพิ่มขึ้น และในทางกลับกัน เมื่อราคาลดลง ปริมาณอุปทานจะลดลง นี่เป็นเพราะผู้ผลิตมีแรงจูงใจที่จะผลิตมากขึ้นเมื่อราคาสูงขึ้น เพื่อทำกำไรสูงสุด
2.2 ปัจจัยที่มีผลต่ออุปสงค์และอุปทาน
มีหลายปัจจัยซึ่งสามารถทำให้เส้นอุปสงค์และเส้นอุปทานเลื่อนออกจากตำแหน่งเดิมได้
- ปัจจัยที่มีผลต่ออุปสงค์
- รสนิยมและความชอบของผู้บริโภค: หากผู้บริโภคชอบสินค้าหรือบริการมากขึ้น อุปสงค์ก็จะเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลงในรสนิยมและความชอบของผู้บริโภค สามารถส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ ตัวอย่างเช่น หากสินค้ากลายเป็นที่นิยม อุปสงค์ก็จะเพิ่มขึ้น
- รายได้ของผู้บริโภค: เมื่อรายได้เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคจะมีกำลังซื้อมากขึ้น ทำให้อุปสงค์สินค้าปกติเพิ่มขึ้น แต่อุปสงค์สินค้าด้อยคุณภาพจะลดลง หรือเมื่อรายได้เพิ่มขึ้น อุปสงค์สำหรับสินค้าฟุ่มเฟือยมักจะเพิ่มขึ้น ขณะที่อุปสงค์สำหรับสินค้าจำเป็นอาจไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก
- ราคาสินค้าที่เกี่ยวข้อง การเปลี่ยนแปลงในราคาของสินค้าทดแทนหรือสินค้าร่วม สามารถส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ได้ เช่น หากราคาของสินค้า A เพิ่มขึ้น ผู้บริโภคอาจเปลี่ยนไปซื้อสินค้า B ซึ่งเป็นสินค้าทดแทน, สินค้าทดแทน หากราคาสินค้าทดแทนเพิ่มขึ้น อุปสงค์สินค้าเดิมจะเพิ่มขึ้น, สินค้าประกอบ หากราคาสินค้าประกอบเพิ่มขึ้น อุปสงค์สินค้าเดิมจะลดลง
- จำนวนผู้บริโภค หากจำนวนผู้บริโภคในตลาดเพิ่มขึ้น อุปสงค์ก็จะเพิ่มขึ้น
- ความคาดหวังเกี่ยวกับราคาในอนาคต หากผู้บริโภคคาดว่าราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต อุปสงค์ในปัจจุบันก็จะเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยที่มีผลต่ออุปทาน
- ต้นทุนการผลิต หากต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น ผู้ผลิตอาจลดปริมาณอุปทาน เนื่องจากความสามารถในการทำกำไรลดลง
- เทคโนโลยี การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่สามารถทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปริมาณอุปทานเพิ่มขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยีสามารถช่วยลดต้นทุนการผลิต ทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น
- ราคาปัจจัยการผลิต: หากราคาปัจจัยการผลิต เช่น ค่าแรง วัตถุดิบ เพิ่มขึ้น อุปทานจะลดลง
- จำนวนผู้ผลิต: หากจำนวนผู้ผลิตในตลาดเพิ่มขึ้น อุปทานก็จะเพิ่มขึ้น
- ความคาดหวังเกี่ยวกับราคาในอนาคต: หากผู้ผลิตคาดว่าราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นในอนาคต อุปทานในปัจจุบันอาจลดลง เพื่อรอขายในราคาที่สูงขึ้นในอนาคต
- ภาษีและเงินอุดหนุน: ภาษีจะทำให้อุปทานลดลง ในขณะที่เงินอุดหนุนจะทำให้อุปทานเพิ่มขึ้น
- ภัยธรรมชาติและเหตุการณ์ไม่คาดฝัน: ภัยธรรมชาติหรือเหตุการณ์ไม่คาดฝันอาจส่งผลกระทบต่อการผลิต ทำให้อุปทานลดลง
- นโยบายของรัฐบาล เช่น ภาษีหรือเงินอุดหนุน สามารถมีผลกระทบต่ออุปทานได้ ตัวอย่างเช่น ภาษีที่สูงขึ้นอาจทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นและลดปริมาณอุปทาน
2.3 จุดดุลยภาพของตลาด
จุดดุลยภาพของตลาด (Market Equilibrium) คือ จุดที่อุปสงค์และอุปทานเท่ากัน ณ จุดนี้ ราคาสินค้าหรือบริการจะคงที่ และปริมาณสินค้าหรือบริการที่ซื้อขายจะเท่ากับปริมาณที่ผู้ผลิตต้องการขาย กล่าวคือปริมาณสินค้าที่ผู้บริโภคต้องการซื้อเท่ากับปริมาณสินค้าที่ผู้ผลิตต้องการขาย ราคาที่เกิดขึ้น ณ จุดนี้เรียกว่าราคาดุลยภาพ (Equilibrium Price) และปริมาณสินค้าที่ซื้อขายเรียกว่าปริมาณดุลยภาพ (Equilibrium Quantity) ที่จุดดุลยภาพนี้ ไม่มีแรงจูงใจที่ทำให้ราคาหรือปริมาณเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ทั้งผู้บริโภคและผู้ผลิตพอใจในราคานี้
2.4 การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน และผลกระทบต่อราคาและปริมาณดุลยภาพ
การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์หรืออุปทานสามารถทำให้ราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพเปลี่ยนแปลงไปได้
- การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์ หากอุปสงค์เพิ่มขึ้น (เส้นอุปสงค์เลื่อนขวา) ในขณะที่อุปทานคงที่ ราคาดุลยภาพจะสูงขึ้นและปริมาณดุลยภาพจะเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากอุปสงค์ลดลง (เส้นอุปสงค์เลื่อนซ้าย) ราคาดุลยภาพจะลดลงและปริมาณดุลยภาพจะลดลง
- การเปลี่ยนแปลงของอุปทาน หากอุปทานเพิ่มขึ้น (เส้นอุปทานเลื่อนขวา) ในขณะที่อุปสงค์คงที่ ราคาดุลยภาพจะลดลงและปริมาณดุลยภาพจะเพิ่มขึ้น ในทางตรงกันข้าม หากอุปทานลดลง (เส้นอุปทานเลื่อนซ้าย) ราคาดุลยภาพจะสูงขึ้นและปริมาณดุลยภาพจะลดลง
- การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทานพร้อมกัน จะส่งผลกระทบต่อราคาดุลยภาพและปริมาณดุลยภาพในทิศทางที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับขนาดของการเปลี่ยนแปลงในแต่ละส่วน
2.5 การตั้งราคาและปัจจัยที่มีผลต่อกลไกราคา
การตั้งราคา (Pricing) หมายถึงการกำหนดราคาสินค้าหรือบริการในตลาด ปัจจัยที่มีผลต่อกลไกราคา การตั้งราคาสินค้าและบริการในตลาดส่วนใหญ่อ้างอิงจากกลไกตลาด (Market Mechanism) ซึ่งราคาจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่อาจมีผลต่อกลไกราคา เช่น
- การแทรกแซงของรัฐบาล รัฐบาลอาจเข้าแทรกแซงตลาดโดยการกำหนดราคาขั้นต่ำหรือราคาขั้นสูง เพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตหรือผู้บริโภค
- นโยบายของรัฐบาล การกำหนดราคาขั้นต่ำหรือการควบคุมราคาของรัฐบาลสามารถมีผลกระทบอย่างมากต่อการตั้งราคาในตลาด ตัวอย่างเช่น การกำหนดราคาขั้นต่ำ (Minimum Price) อาจทำให้ราคาสูงกว่าราคาดุลยภาพ
- ต้นทุนการผลิต: ต้นทุนการผลิตเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีผลต่อการตั้งราคาสินค้า ผู้ผลิตต้องตั้งราคาสินค้าให้สูงกว่าต้นทุนการผลิตเพื่อให้มีกำไร ต้นทุนในการผลิตสินค้าหรือบริการเป็นปัจจัยที่สำคัญที่มีผลต่อการตั้งราคา ผู้ผลิตจะพยายามตั้งราคาให้สูงกว่าต้นทุนเพื่อทำกำไร
- อำนาจตลาดของผู้ผลิต ในตลาดที่มีการแข่งขันไม่สมบูรณ์ ผู้ผลิตอาจมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าได้
- กลยุทธ์ทางการตลาด: ผู้ผลิตอาจใช้กลยุทธ์ทางการตลาดต่างๆ เช่น การลดราคา การส่งเสริมการขาย หรือการสร้างแบรนด์ เพื่อดึงดูดลูกค้าและเพิ่มยอดขาย
- โครงสร้างตลาด ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง ราคาจะถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทาน ในขณะที่ในตลาดที่มีการแข่งขันน้อยหรือมีการผูกขาด ผู้ผลิตอาจมีอำนาจในการกำหนดราคามากขึ้น
- การคาดการณ์ของตลาด ความคาดหวังเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณในอนาคตสามารถมีผลต่อการตั้งราคาได้ เช่น หากคาดว่าราคาจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ผู้ผลิตอาจเก็บสินค้าบางส่วนไว้เพื่อขายในภายหลัง
บทนี้ได้อธิบายถึงความหมายของอุปสงค์และอุปทาน กฎของอุปสงค์และอุปทาน ปัจจัยที่มีผลต่ออุปสงค์และอุปทาน จุดดุลยภาพของตลาด การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และอุปทาน และผลกระทบต่อราคาและปริมาณดุลยภาพ รวมถึงการตั้งราคาและปัจจัยที่มีผลต่อกลไกราคา การทำความเข้าใจกลไกราคาและปัจจัยที่มีผลต่อการตั้งราคาเป็นสิ่งสำคัญในการวิเคราะห์การทำงานของตลาดและการตัดสินใจทางเศรษฐกิจ
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------