เศรษฐศาสตร์ บทที่ 3 ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 3 ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน
3.1 ความหมายของความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน
ความยืดหยุ่น (Elasticity) ในเศรษฐศาสตร์เป็นตัวชี้วัดที่บ่งบอกถึงความไวของ อุปสงค์หรืออุปทานต่อการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยต่างๆ โดยเฉพาะราคา
- ความยืดหยุ่นของอุปสงค์ (Price Elasticity of Demand) หมายถึง การวัดว่าปริมาณอุปสงค์ของสินค้าหรือบริการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการนั้นเปลี่ยนแปลง การวัดว่าปริมาณความต้องการซื้อสินค้าหรือบริการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการนั้นเปลี่ยนแปลงไป โดยทั่วไปแล้ว เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการซื้อจะลดลง แต่ความยืดหยุ่นของอุปสงค์จะบอกเราว่าปริมาณความต้องการซื้อลดลงมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของราคา
- ความยืดหยุ่นของอุปทาน (Price Elasticity of Supply) หมายถึง การวัดว่าปริมาณอุปทานของสินค้าหรือบริการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดเมื่อราคาของสินค้าหรือบริการนั้นเปลี่ยนแปลง การวัดว่าปริมาณความต้องการขายสินค้าหรือบริการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใด เมื่อราคาของสินค้าหรือบริการนั้นเปลี่ยนแปลงไป โดยทั่วไปแล้ว เมื่อราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณความต้องการขายจะเพิ่มขึ้น แต่ความยืดหยุ่นของอุปทานจะบอกเราว่าปริมาณความต้องการขายเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหนเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนแปลงของราคา
3.2 ประเภทของความยืดหยุ่น
ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน สามารถแบ่งออกเป็นสามประเภทหลัก ดังนี้
- ยืดหยุ่น (Elastic) หากค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่น (Elasticity Coefficient) มีค่าสูงกว่า 1 แสดงว่าอุปสงค์หรืออุปทานมีความยืดหยุ่น หมายความว่าปริมาณที่ซื้อหรือขายเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคา ตัวอย่างเช่น หากราคาสินค้าลดลง 10% แต่ปริมาณที่ซื้อเพิ่มขึ้น 20% อุปสงค์จะถือว่ามีความยืดหยุ่น
- อุปสงค์ยืดหยุ่น (Elastic Demand): เกิดขึ้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนที่มากกว่า เช่น สินค้าฟุ่มเฟือย หรือสินค้าที่มีสินค้าทดแทนจำนวนมาก
- อุปทานยืดหยุ่น (Elastic Supply): เกิดขึ้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของราคาเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ปริมาณความต้องการขายเปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนที่มากกว่า เช่น สินค้าที่ผลิตได้ง่ายและรวดเร็ว หรือสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตต่ำ
- ไม่ยืดหยุ่น (Inelastic) หากค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นมีค่าน้อยกว่า 1 แสดงว่าอุปสงค์หรืออุปทานมีความไม่ยืดหยุ่น หมายความว่าปริมาณที่ซื้อหรือขายเปลี่ยนแปลงไปน้อยกว่าการเปลี่ยนแปลงของราคา ตัวอย่างเช่น หากราคาสินค้าเพิ่มขึ้น 10% แต่ปริมาณที่ซื้อเพิ่มขึ้นเพียง 5% อุปสงค์จะถือว่ามีความไม่ยืดหยุ่น
- อุปสงค์ไม่ยืดหยุ่น (Inelastic Demand): เกิดขึ้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนที่น้อยกว่า เช่น สินค้าจำเป็น หรือสินค้าที่ไม่มีสินค้าทดแทนใกล้เคียง
- อุปทานไม่ยืดหยุ่น (Inelastic Supply): เกิดขึ้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ส่งผลให้ปริมาณความต้องการขายเปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนที่น้อยกว่า เช่น สินค้าที่ผลิตได้ยากและใช้เวลานาน หรือสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตสูง
- ยืดหยุ่นหน่วยเดียว (Unitary Elastic) หากค่าสัมประสิทธิ์ความยืดหยุ่นเท่ากับ 1 แสดงว่าอุปสงค์หรืออุปทานมีความยืดหยุ่นหน่วยเดียว หมายความว่าการเปลี่ยนแปลงของปริมาณที่ซื้อหรือขายสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของราคา เช่น ราคาสินค้าลดลง 10% และปริมาณที่ซื้อเพิ่มขึ้น 10%
- อุปสงค์ยืดหยุ่นหน่วยเดียว (Unitary Elastic Demand): เกิดขึ้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนที่เท่ากัน
- อุปทานยืดหยุ่นหน่วยเดียว (Unitary Elastic Supply): เกิดขึ้นเมื่อการเปลี่ยนแปลงของราคา ส่งผลให้ปริมาณความต้องการขายเปลี่ยนแปลงไปในสัดส่วนที่เท่ากัน
3.3 ปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่น
มีหลายปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน:
- ปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของอุปสงค์
- ความจำเป็นของสินค้า เป็นสินค้าที่จำเป็น เช่น อาหาร ยามักจะมีความยืดหยุ่นน้อย เนื่องจากผู้บริโภคยังคงต้องซื้อสินค้านี้แม้ว่าราคาจะเพิ่มขึ้น สินค้าจำเป็นมักจะมีอุปสงค์ไม่ยืดหยุ่น ในขณะที่สินค้าฟุ่มเฟือยจะมีอุปสงค์ยืดหยุ่น
- การมีสินค้าทดแทน หากมีสินค้าทดแทนหลายอย่างในตลาด สินค้าจะมีความยืดหยุ่นสูง เนื่องจากผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าทดแทนได้หากราคาสูงขึ้น ความพร้อมของสินค้าทดแทนสินค้าที่มีสินค้าทดแทนจำนวนมากจะมีอุปสงค์ยืดหยุ่นมากกว่าสินค้าที่ไม่มีสินค้าทดแทน
- สัดส่วนของรายได้ที่ใช้จ่ายกับสินค้า: สินค้าที่ผู้บริโภคใช้จ่ายในสัดส่วนที่สูงของรายได้จะมีอุปสงค์ยืดหยุ่นมากกว่าสินค้าที่ใช้จ่ายในสัดส่วนที่น้อย
- ระยะเวลาของการปรับตัว ในระยะสั้น อุปสงค์มักจะมีความไม่ยืดหยุ่นมากกว่า เนื่องจากผู้บริโภคต้องใช้เวลาในการปรับตัว แต่ในระยะยาว อุปสงค์อาจมีความยืดหยุ่นมากขึ้นเมื่อผู้บริโภคสามารถเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมได้ - **สำหรับความยืดหยุ่นของอุปสงค์:**
- สัดส่วนของรายได้ที่ใช้ในการซื้อสินค้า สินค้าที่ใช้สัดส่วนของรายได้มากมักจะมีความยืดหยุ่นสูง เช่น รถยนต์ เนื่องจากผู้บริโภคอาจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อเมื่อราคาสูงขึ้น
- ปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่นของอุปทาน
- ความสามารถในการปรับปริมาณการผลิต สินค้าที่สามารถปรับปริมาณการผลิตได้ง่ายและรวดเร็วจะมีอุปทานยืดหยุ่นมากกว่าสินค้าที่ปรับปริมาณการผลิตได้ยาก
- ต้นทุนการผลิต สินค้าที่มีต้นทุนการผลิตต่ำจะมีอุปทานยืดหยุ่นมากกว่าสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตสูง
- ระยะเวลา ในระยะสั้น อุปทานมักจะไม่ยืดหยุ่น แต่ในระยะยาว อุปทานอาจยืดหยุ่นมากขึ้น เนื่องจากผู้ผลิตมีเวลาในการปรับตัวและเพิ่มกำลังการผลิต ในอุตสาหกรรมที่มีการผลิตที่ใช้เวลานาน เช่น การก่อสร้าง อุปทานมักจะมีความยืดหยุ่นน้อย เนื่องจากการขยายการผลิตต้องใช้เวลามาก
- ความยากง่ายในการขยายการผลิต หากผู้ผลิตสามารถขยายการผลิตได้ง่าย อุปทานจะมีความยืดหยุ่นสูง แต่หากการขยายการผลิตต้องใช้เวลาหรือทรัพยากรมาก อุปทานจะมีความยืดหยุ่นน้อย
- ความพร้อมของปัจจัยการผลิต หากปัจจัยการผลิต เช่น แรงงาน วัตถุดิบ สามารถหาได้ง่าย อุปทานจะมีความยืดหยุ่นสูง
3.4 การประยุกต์ใช้ความยืดหยุ่นในการตัดสินใจทางธุรกิจ
ความเข้าใจในเรื่องความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ ตัวอย่างการประยุกต์ใช้
- การกำหนดราคา หากสินค้าเป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นต่ำ บริษัทสามารถเพิ่มราคาสินค้าเพื่อเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องกังวลว่าปริมาณการขายจะลดลงมากนัก อย่างไรก็ตาม หากสินค้าเป็นสินค้าที่มีความยืดหยุ่นสูง การเพิ่มราคาอาจทำให้รายได้ลดลงเนื่องจากผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าทดแทน ธุรกิจสามารถใช้ความยืดหยุ่นของอุปสงค์เพื่อกำหนดราคาสินค้าหรือบริการ หากอุปสงค์ยืดหยุ่น การขึ้นราคาอาจทำให้รายได้ลดลง ในขณะที่หากอุปสงค์ไม่ยืดหยุ่น การขึ้นราคาอาจทำให้รายได้เพิ่มขึ้น
- การคาดการณ์ยอดขาย: ธุรกิจสามารถใช้ความยืดหยุ่นของอุปสงค์เพื่อคาดการณ์ว่ายอดขายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรเมื่อราคาสินค้าหรือปัจจัยอื่นๆ เปลี่ยนแปลง
- การวางแผนการผลิต การเข้าใจความยืดหยุ่นของอุปทานช่วยให้บริษัทสามารถวางแผนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกรณีที่ราคาสินค้ามีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงมาก การรู้ว่าอุปทานมีความยืดหยุ่นอย่างไรจะช่วยให้บริษัทปรับแผนการผลิตได้ตามความจำเป็น ธุรกิจสามารถใช้ความยืดหยุ่นของอุปทานเพื่อวางแผนการผลิต หากอุปทานไม่ยืดหยุ่น การเพิ่มปริมาณการผลิตอาจทำได้ยากและมีต้นทุนสูง
- การวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบาย: รัฐบาลสามารถใช้ความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทานเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบของนโยบายต่างๆ เช่น การเก็บภาษี หรือการให้เงินอุดหนุน
- การตลาดและการส่งเสริมการขาย หากสินค้ามีความยืดหยุ่นสูง บริษัทอาจใช้กลยุทธ์ส่งเสริมการขายหรือส่วนลดเพื่อเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากผู้บริโภคตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคา
โดยรวมแล้ว ความเข้าใจในเรื่องความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทานเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดในการวางกลยุทธ์การตั้งราคา การวางแผนการผลิต และการตลาด
บทนี้ได้อธิบายถึงความหมายของความยืดหยุ่นของอุปสงค์และอุปทาน ประเภทของความยืดหยุ่น ปัจจัยที่มีผลต่อความยืดหยุ่น และการประยุกต์ใช้ความยืดหยุ่นในการตัดสินใจทางธุรกิจ ความเข้าใจในเรื่องความยืดหยุ่นเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงการตอบสนองของผู้บริโภคและผู้ผลิตต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและปัจจัยอื่นๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจและการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------