เศรษฐศาสตร์ บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภคและผู้ผลิต
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 5 พฤติกรรมผู้บริโภคและผู้ผลิต
5.1 ทฤษฎีการตัดสินใจของผู้บริโภค
ทฤษฎีการตัดสินใจของผู้บริโภค (Consumer Choice Theory) อธิบายถึง วิธีที่ผู้บริโภคเลือกใช้ทรัพยากรที่มีจำกัดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากการบริโภคสินค้าและบริการ โดยมีสมมติฐานพื้นฐานคือ ผู้บริโภคมีเหตุผลและพยายามเพิ่มประโยชน์ (Utility) ของตนเองให้มากที่สุด ศึกษาว่าผู้บริโภคตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร โดยมีสมมติฐานพื้นฐานว่าผู้บริโภคมีเหตุผล และพยายามแสวงหาประโยชน์สูงสุดจากการบริโภคภายใต้ข้อจำกัดด้านงบประมาณ
ประโยชน์ใช้สอย (Utility): เป็นตัววัดความพึงพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้าหรือบริการ ความพึงพอใจที่ผู้บริโภคได้รับจากการบริโภคสินค้าและบริการ ประโยชน์สามารถแบ่งออกเป็นประโยชน์รวม (Total Utility - TU) และประโยชน์เพิ่ม (Marginal Utility - MU) ซึ่งคือประโยชน์ที่ได้รับจากการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้นหนึ่งหน่วย
เส้นความพอใจเท่ากัน (Indifference Curve): แสดงชุดของสินค้าหรือบริการที่ให้ประโยชน์ใช้สอยเท่ากันแก่ผู้บริโภค
เส้นงบประมาณ (Budget Line): แสดงชุดของสินค้าหรือบริการที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ภายใต้งบประมาณที่จำกัด
จุดเลือกซื้อที่ดีที่สุด (Optimal Consumption Bundle): คือจุดที่เส้นความพอใจเท่ากันสัมผัสกับเส้นงบประมาณ ณ จุดนี้ ผู้บริโภคได้รับประโยชน์ใช้สอยสูงสุดภายใต้งบประมาณที่จำกัด
กฎของประโยชน์ลดลง (Law of Diminishing Marginal Utility) ระบุว่าเมื่อผู้บริโภคบริโภคสินค้าหรือบริการเพิ่มขึ้น ปริมาณประโยชน์ที่ได้รับจากหน่วยเพิ่มเติมจะลดลง ตัวอย่างเช่น การดื่มน้ำแก้วแรกอาจให้ความพึงพอใจสูงสุด แต่แก้วที่สองและสามจะให้ความพึงพอใจลดลง
ข้อจำกัดด้านงบประมาณ (Budget Constraint) ผู้บริโภคมีงบประมาณจำกัดสำหรับการซื้อสินค้าและบริการ ซึ่งทำให้ต้องทำการเลือกซื้ออย่างมีเหตุผล และต้องคำนึงถึงราคาสินค้าเพื่อให้เกิดความพึงพอใจสูงสุดในงบประมาณที่มีอยู่
การตัดสินใจเลือกซื้อของผู้บริโภค เกี่ยวข้องกับการหาส่วนประสมของสินค้าและบริการที่ทำให้ได้รับประโยชน์สูงสุดภายใต้งบประมาณที่มี การวิเคราะห์นี้มักใช้แบบจำลองเส้นความพึงพอใจ (Indifference Curve) ซึ่งแสดงถึงการรวมกันของสินค้าสองชนิดที่ให้ความพึงพอใจเท่ากัน และเส้นงบประมาณ (Budget Line) ซึ่งแสดงถึงการรวมกันของสินค้าสองชนิดที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ด้วยงบประมาณที่มีอยู่ จุดที่เส้นความพึงพอใจสัมผัสกับเส้นงบประมาณเป็นจุดที่ผู้บริโภคสามารถเพิ่มประโยชน์ได้มากที่สุด
5.2 ทฤษฎีการผลิตและต้นทุน
ทฤษฎีการผลิตและต้นทุน (Theory of Production and Cost) มุ่งเน้นการอธิบายถึงวิธีที่ผู้ผลิตตัดสินใจในการผลิตสินค้าและบริการอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อเพิ่มกำไรสูงสุด พยายามศึกษาว่าผู้ผลิตตัดสินใจผลิตสินค้าและบริการอย่างไร โดยมีสมมติฐานพื้นฐานว่าผู้ผลิตมีเหตุผล และพยายามแสวงหากำไรสูงสุด
ฟังก์ชันการผลิต (Production Function) แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยการผลิตต่างๆ กับปริมาณผลผลิตที่ได้ ฟังก์ชันนี้ช่วยให้ผู้ผลิตเข้าใจวิธีการปรับเปลี่ยนปัจจัยการผลิตเพื่อเพิ่มผลผลิตได้มากที่สุด แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณปัจจัยการผลิตที่ใช้ กับปริมาณผลผลิตที่ได้
ต้นทุนการผลิต (Cost of Production) ประกอบด้วยต้นทุนคงที่ (Fixed Costs) และต้นทุนผันแปร (Variable Costs) รวมถึงต้นทุนรวม (Total Costs) ซึ่งเป็นผลรวมของต้นทุนคงที่และต้นทุนผันแปร การเข้าใจต้นทุนการผลิตช่วยให้ผู้ผลิตสามารถวางแผนการผลิตและการตั้งราคาสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เส้นไอโซควอนท์ (Isoquant): แสดงชุดของปัจจัยการผลิตที่สามารถผลิตผลผลิตในปริมาณเท่ากัน
เส้นไอโซคอสต์ (Isocost): แสดงชุดของปัจจัยการผลิตที่สามารถซื้อได้ภายใต้งบประมาณที่จำกัด
จุดผลิตที่ดีที่สุด (Optimal Production Point): คือจุดที่เส้นไอโซควอนท์สัมผัสกับเส้นไอโซคอสต์ ณ จุดนี้ ผู้ผลิตสามารถผลิตผลผลิตในปริมาณที่ต้องการได้ด้วยต้นทุนต่ำสุด
ผลตอบแทนต่อปัจจัยการผลิต (Returns to Scale) เป็นการวัดว่าผลผลิตจะเพิ่มขึ้นอย่างไรเมื่อมีการเพิ่มปัจจัยการผลิตทั้งหมดในอัตราเดียวกัน หากผลผลิตเพิ่มขึ้นมากกว่าอัตราส่วนการเพิ่มของปัจจัยการผลิต จะเรียกว่า ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น (Increasing Returns to Scale) หากผลผลิตเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนเดียวกับปัจจัยการผลิต จะเรียกว่า ผลตอบแทนคงที่ (Constant Returns to Scale) และหากผลผลิตเพิ่มขึ้นน้อยกว่าอัตราส่วนการเพิ่มของปัจจัยการผลิต จะเรียกว่า ผลตอบแทนลดลง (Decreasing Returns to Scale)
5.3 การวิเคราะห์ค่าเสียโอกาส
ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) เป็นแนวคิดที่สำคัญในเศรษฐศาสตร์ หมายถึงมูลค่าของทางเลือกที่ถูกละทิ้งเมื่อมีการเลือกทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ค่าเสียโอกาสสะท้อนถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้นจากการไม่เลือกทางเลือกอื่นที่มีมูลค่าสูงสุดรองลงมา
ค่าเสียโอกาส (Opportunity Cost) คือ มูลค่าของทางเลือกที่ดีที่สุดรองลงมาที่ต้องเสียไป เมื่อเราเลือกทางเลือกหนึ่งทางเลือกใด การวิเคราะห์ค่าเสียโอกาสช่วยให้เราเข้าใจถึงต้นทุนที่แท้จริงของการเลือก และช่วยในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล
การวิเคราะห์ค่าเสียโอกาส มีความสำคัญต่อการตัดสินใจทั้งในระดับบุคคลและองค์กร ตัวอย่างเช่น ในการผลิตสินค้า ผู้ผลิตต้องเลือกใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้าชนิดหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าไม่สามารถใช้ทรัพยากรนั้นในการผลิตสินค้าชนิดอื่นได้ ค่าเสียโอกาสในกรณีนี้คือมูลค่าของสินค้าชนิดอื่นที่ไม่ได้ผลิต
ตัวอย่างการใช้ค่าเสียโอกาสในการตัดสินใจ
- หากคุณมีเวลาว่าง 1 ชั่วโมง คุณสามารถเลือกที่จะอ่านหนังสือ หรือไปออกกำลังกาย หากคุณเลือกที่จะอ่านหนังสือ ค่าเสียโอกาสก็คือประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการไปออกกำลังกาย
- ผู้บริโภคใช้ค่าเสียโอกาสเพื่อเปรียบเทียบทางเลือกในการใช้จ่ายเงิน เช่น การเลือกซื้อสินค้าหนึ่งทำให้เสียโอกาสในการซื้อสินค้าชนิดอื่น
- ผู้ผลิตใช้ค่าเสียโอกาสเพื่อกำหนดวิธีการใช้ทรัพยากรในการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น การเลือกใช้ที่ดินสำหรับปลูกพืชชนิดหนึ่งแทนที่จะใช้สำหรับกิจกรรมอื่นๆ
5.4 การผลิตที่มีประสิทธิภาพ
การผลิตที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Production) คือ การผลิตที่สามารถผลิตผลผลิตได้ในปริมาณสูงสุด โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด หรืออีกนัยหนึ่งคือ การผลิตที่ไม่สามารถเพิ่มผลผลิตของสินค้าหนึ่งได้โดยไม่ลดผลผลิตของสินค้าอื่น
การผลิตที่มีประสิทธิภาพ (Efficient Production) คือ การใช้ทรัพยากรในการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตสามารถผลิตสินค้าและบริการในปริมาณสูงสุดที่เป็นไปได้ภายใต้ข้อจำกัดของปัจจัยการผลิตที่มีอยู่
การผลิตที่มีประสิทธิภาพสามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่
ประสิทธิภาพทางเทคนิค (Technical Efficiency) การผลิตที่มีประสิทธิภาพทางเทคนิคหมายถึงการใช้ปัจจัยการผลิตในการผลิตสินค้าและบริการให้ได้ปริมาณสูงสุด โดยไม่สิ้นเปลืองทรัพยากร ตัวอย่างเช่น การใช้เครื่องจักรหรือเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงในการผลิตสินค้าจะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้ เกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตใช้ปัจจัยการผลิตทั้งหมดที่มีอยู่ในการผลิต ณ จุดนี้ ผู้ผลิตไม่สามารถเพิ่มผลผลิตได้อีก เว้นแต่จะเพิ่มปัจจัยการผลิต
ประสิทธิภาพในการจัดสรร (Allocative Efficiency) เกิดขึ้นเมื่อผู้ผลิตผลิตสินค้าและบริการในปริมาณที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ณ จุดนี้ สังคมได้รับประโยชน์สูงสุดจากทรัพยากรที่มีอยู่
ประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์ (Economic Efficiency) การผลิตที่มีประสิทธิภาพทางเศรษฐศาสตร์หมายถึงการใช้ทรัพยากรในการผลิตสินค้าและบริการในลักษณะที่ให้ผลประโยชน์สูงสุดตามต้นทุนที่มี ตัวอย่างเช่น การเลือกวิธีการผลิตที่ให้ผลผลิตสูงสุดในขณะที่ใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
การวิเคราะห์การผลิตที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ผู้ผลิตสามารถปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดต้นทุน และเพิ่มผลกำไร นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถแข่งขันได้ดีขึ้นในตลาด และใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด
บทนี้อธิบายถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิต ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทฤษฎีการตัดสินใจของผู้บริโภคช่วยให้เราเข้าใจว่าผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าและบริการอย่างไร ในขณะที่ทฤษฎีการผลิตและต้นทุนช่วยให้เราเข้าใจว่าผู้ผลิตตัดสินใจผลิตสินค้าและบริการอย่างไร นอกจากนี้ การวิเคราะห์ค่าเสียโอกาสยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล และการผลิตที่มีประสิทธิภาพเป็นเป้าหมายสำคัญของระบบเศรษฐกิจ ความเข้าใจในเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคและผู้ผลิต จะช่วยให้เราเข้าใจถึงกลไกการทำงานของตลาดและเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจ การทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคและผู้ผลิต ตลอดจนแนวคิดเกี่ยวกับการผลิตและต้นทุน เป็นพื้นฐานสำคัญที่ช่วยให้ทั้งบุคคลและองค์กรสามารถตัดสินใจทางเศรษฐกิจได้อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------