Nares เวียดนาม เที่ยวเดียนเบียนฟู ซาปา ประสานักธรณีฯ (12) อกหักที่เดียนเบียนฟู
ภาพที่ 1 แผนที่ธรณีวิทยาแสดงแผ่นทวีปอินโดจีน จีนใต้ และรอยเลื่อนเดียนเบียนฟู (DBF)
เที่ยวเดียนเบียนฟู ซาปา ประสานักธรณีฯ (12) อกหักที่เดียนเบียนฟู
ทริปขี่ม้าชมดอกไม้ นั่งรถไปไล่ดูหินของข้าพเจ้าและคณะในเดือนเมษายน 2566 ครั้งนี้ เป็นการท่องเที่ยวแบบควบรวมสองเมือง ซาปา กับเดียนเบียนฟู เข้าด้วยกัน ซึ่งไม่ค่อยมีใครเขาทำกัน เพราะระยะทาง สภาพถนน และเวลาไม่ค่อยจะอำนวยให้นัก จะว่าไปแล้ว ซาปานั่นคือจุดหมายหรือสวรรค์ของนักท่องเที่ยวอยู่แล้ว ทว่า ตามความคิดของข้าพเจ้าแล้ว คนที่ตั้งใจมาเที่ยวเดียนเบียนฟู ก็น่าจะมีเพียงสองกลุ่ม คือ พวกที่อยากมาดูสมรภูมิการสู้รบที่เวียดมินห์สามารถปลดแอกออกมาจากการปกครองของฝรั่งเศสได้ และอีกกลุ่มหนึ่งก็คือผู้ที่อยากมาพบปะคนไทดำ ที่ว่ากันว่า มีดีเอ็นเออยู่ในสายเลือดที่เทียบเคียงได้กับของคนไทยในประเทศไทย และสำหรับตัวข้าพเจ้านั้น เป้าหมายหลักก็คือ ประการที่สอง
ในฐานะนักธรณีวิทยา ข้าพเจ้ารู้สึกพอใจที่ได้พบเห็นร่องรอยของรอยเลื่อนเดียนเบียนฟู ที่เป็นรอยเลื่อนเหลื่อมด้านขวา (Right lateral strike slip fault) อันเกิดจากการชนกันของแผ่นทวีปซีบูมาสุ กับแผ่นทวีปอินโดจีนและจีนใต้ (Collision of Sibumasu against Indochina & South China Plate) (ภาพที่1)
การเยี่ยมชมเนิน A1 อันเป็นเนินเขาที่ฝรั่งเศสตั้งฐานทัพหลัก และยอมรับการพ่ายแพ้ในการสู้รบกับพวกเวียดมินห์นั้น ก็ถือได้ว่าได้ประโยชน์ และคุ้มค่าตามสมควร แต่นี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักในการแวะเยือนของข้าพเจ้า จึงขอแปะเอาไว้เล่าสู่กันฟังในวันพรุ่งนี้ แต่วันนี้ขอกล่าวว่าความหวังและความฝันที่จะได้มาพบเจอคนไทดำนั้น กลับเหมือนการหลับๆ ตื่นๆ ไม่เต็มอิ่ม ไม่เต็มปากเต็มคำ เหมือนการไปเที่ยวเมืองเชียงรุ้งครั้งแรกของข้าพเจ้าเมื่อหลายปีก่อน ที่พบเจอแต่คนจีนเต็มบ้านเต็มเมือง อาการเดจาวูที่ได้รับคือ เมืองตนไต กลับกลายเป็นเมืองคนเวียดจ้อย
เรารับทราบว่า เราจะนอนค้างแรมที่เดียนเบียนฟูในโรงแรมเดียวกันกับพลตำรวจโท ฝั่ม มิญ จิ๊ญ นายกรัฐมนตรีของเวียดนาม ที่มาตรวจราชการที่ภูมิภาคนี้ (ภาพที่ 2) เนื่องในโอกาสที่จะขยายสนามบินเดียนเบียนฟู ให้ได้มาตรฐานให้มากยิ่งขึ้น ทำให้ข้าพเจ้าคาดหมายว่าจะพบเจ้าหน้าที่และพนักงานของโรงแรมแต่งกายในชุดประจำเผ่าพันธ์ของเขา แต่สิ่งที่เราเห็นก็คือ บริกรชายแต่งตัวธรรมดาด้วยกางเกงสีดำ เสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาว ธรรมด้าธรรมดา ส่วนบริกรสาวนั้น แม้จะนั่งผ้าถุงและเสื้อสีดำติดกระดุมสีเงินมีรูปลักษณะคล้ายผีเสื้อที่เรียกว่า “หมากแป่ม” เท่านั้น ไม่มี “ผ้าเปียว” ที่เป็นผ้าโพกหัว อันเป็นสัญลักษณ์ของการแต่งกายของสตรีชาวไทดำ แต่อย่างใด
-------------------------------------------------
ภาพที่ 3 ร้านจี่หอยของสาวเวียดนาม ยามราตรีของเมืองเดียนเบียนฟู
ยิ่งไปกว่านั้น หลังอาหารมื้อเย็น พวกเราเดินไปเที่ยวใจกลางเมืองเดียนเบียนฟู ก็พบว่าอาคารพาณิชย์ของเมืองนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นอาคารร้านค้าของคนเวียด มีร้านขายอาหารบนบาทวิถีหนึ่งราย ก็เป็นสาวเวียดนามจี่หอยขายจ้อย (ภาพ ที่ 3) ไม่มีสถานที่ใดที่จะสะท้อนถึง หรือให้บรรยากาศแบบไทดำเลย
ภาพที่ 4 ตลาดเช้าเมืองแถงชั่วคราว ที่ต้องย้ายออกจากลานตลาดมาอยู่ข้างถนน เพื่อรอการปรับปรุง
ถึงตอนเช้า พวกเราเดินด้วยเท้าจากโรงแรมไปตลาดเช้าเมืองแถงข้างน้ำรม แม่น้ำสายที่ใหญ่ที่สุดของเดียนเบียนฟู หวังว่าจะได้พบเห็นและพูดคุยกับแม่ค้าชาวไท ปรากฎว่า ตัวตลาดกำลังอยู่ในการปรับปรุง แม่ค้า พ่อค้าต้องย้ายแผงมาขายริมถนนแทน (ภาพที่4) ที่ผิดหวังยิ่งกว่านั้นคือ ไม่มีใครแต่งตัว หรือไว้ผมเกล้าแบบไทดำ ลองสอบถามแต่ละคนเป็นภาษาอีสานแล้ว ไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่องกันเลย แป่วววววว
ภาพที่ 5 แม่ค้าไทดำ ตั้งแผงขายผลไม้อยู่ริมถนนจากเดียนเบียนฟูไปเมืองเซินหล้า (รูปบนทั้งซ้าย ละขวา) ภาพถ่ายผู้หญิงโพกหัวด้วยผ้าเปียว เดินอยู่ข้างถนนที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งก่อนถึงเมืองเซินหล้า
จนกระทั่งระหว่างการเดินทางจากเดียนเบียนฟูไปเมืองเซินหล้า เราจึงพบได้พบแม่ค้าไทดำตั้งแผงขายผลไม้อยู่ข้างถนน และน้องโฟกัส ศรัณย์ภัสร์ หนึ่งในลูกทัวร์ ส่งรูปถ่ายผู้หญิงคนหนึ่งใส่ผ้าโพกหัวคล้ายกับผ้าเปียว เดินอยู่ข้างถนนในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง (ภาพที่ 5) เออ ค่อยยังชั่วหน่อย
ผิดหวังครับ อ้ายสารวัตร เดียนเบียนฟูเฮ็ดให้ข้อยอกหักครับ