เฉิงตู ลาทีมิใช่ลาจาก Chengdu Sichuan China; good bye but will come again
คืนนี้ข้าพเจ้าจะต้องเดินทางกลับ กรุงเทพฯ เมืองแห่งแสงสี รถติด และ ร้อน (หรือ ถ้าไม่ร้อน เพราะ ฝนตก ก็ดันมีน้ำท่วมด้วย อิอิ) เราก็เลยมีเวลาชม เฉิงตู กันตั้งแต่เมื่อวานบ่าย
ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จัก เฉิงตู Chengdu Sichuan กันสักนิดว่า เฉิงตู เป็นเมืองหลวงของมลฑลเสฉวน เมืองเฉิงตูนี้ เขาว่ากันว่า เป็นที่พักอยู่อาศัยของผู้คนมาตั้งแต่ก่อน 2500 ปีมาแล้ว โดยเป็นชุมชนริมฝั่งแม่น้ำ Min Jiang ที่มีต้นน้ำยอดบนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุมทั้งปี ก็เทือกเขา และ ยอดเขา ที่เป็นต้นน้ำของอุทยานแห่งชาติ Jiuzhaigou และ อุทยานแห่งชาติ Huanglong นั้นแหล่ะ ขอรับ
เนื่องจากในฤดูร้อนหิมะละลาย และฤดูฝน ฝนตกหนัก จนน้ำล้นแม่น้ำ Min Jiang ผู้คนก็เดือดร้อนกันหนัก จากน้ำท่วม จนมีการสร้างเขื่อน ตู้เจียงเอี้ยน และ ทำระบบระบายน้ำ Dujiangyan Irrigation System ในสมัย จิ๋นซีฮ่องเต้ จนทำให้ปัญหาน้ำท่วมลดลง และ ผู้คนก็เริ่มขยับขยายย้ายอพยพมาอยู่กันมากขึ้น ผู้คนก็เลยเรียกชุมชนเมืองนี้ว่า "เฉิงตู" ซึ่งแปลว่า "ค่อยๆกลายเป็นเมือง" ซึ่งคำเรียกชื่อเมือง เฉิงตู นี้ ก็ใช้มาอย่างยาวนานจนทุกวันนี้
ในพงศวดาร หรือ นวนิยาย หรือ บันทึกประวัติศาสตร์ เรื่องสามก๊ก นั้น เมืองเฉิงตู นี้เป็นเมืองหลวงของ จ๊กก๊ก ที่นำโดยเล่าปี่ และ พี่น้องกวนอูเตียวหุย และ กุนซือขงเบ้ง ถ้าใครเคยอ่านเรื่องสามก๊ก ก็น่าจะเห็นชื่อเมืองเฉิงตูอยู่บ่อยๆ แต่ในเมืองไทย จะออกเสียงสำเนียงตามคนแปลที่ใช้สำเนียงฮกเกี้ยน-แต้จิ๋ว ซึ่งน่าจะออกเสียงเพี้ยนไป เข้าใจว่าจะอ่านว่า เชิงโป หรืออะไรทำนองนั้น (ลืมไปล่ะ นึกไม่ออกจริงๆ)
ข้าพเจ้าก็พึ่งจะรู้วันนี้นี่เองว่า มหานครฉงชิ่ง ที่เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีประชากรมากกว่า 25 ล้านคนนั่น เดิมทีก็เป็นเมืองใหญ่ในมณฑลเสฉวนนี่แหล่ะขอรับ แต่เมืองฉงชิ่งมีการขยายตัวใหญ่และเร็วมาก รัฐบาลจีนก็เลยประการแยกเอาฉงชิ่ง ออกไปเป็นเขตปกครองพิเศษไปเลย
เมื่อวานบ่าย ข้าพเจ้าไปเยี่ยมชมศูนย์อนุรักษ์หมีแพนด้า ก็ได้เห็นแพนด้าอ้วนๆ หลายตัว ที่อยู่กัยแบบปล่อยเลี้ยงในพื้นที่แบบเกือบอิสระ ก็จะดูมอมแมมบ้าง ไม่เหมือนเจ้า หลินฮุ่ย ช่วงช่วง หลินปิง ที่เคยมาอยู่เชียงใหม่ ที่มีคนอาบน้ำเช็ดตัว จนสีขาวจั๊วะ สลับกับดำเป็นมัน และแทบจะป้อนอาหารให้แบบเด็กๆ นอนกินอยู่แต่ในห้องปรับอากาศ จนเสียหมีไปแล้วเมื่อต้องกลับมาบ้านเสฉวน
ส่วนวันนี้ก็ไปเยี่ยมชมศาสนาสถานเก่าแก่ที่สำคัญในศาสนาพุทธของเสฉวน คือ อารามเหวินซู Wenshu Yuan Monastery ที่ตัวอาคารสร้างด้วยไม้หบังคาเก๋งจีนแบบจีนๆ แต่ข้าพเจ้าก็พยายามมองหาว่า มีส่วนไหนของศาสนสถาน Wenshu Yuan ว่าทำด้วยหินบ้าง ก็พบว่าบริเวณโคนเสาทุกต้น จะเป็นหินทรายสีน้ำตาลแดง Siltstone - Fine grained sandstone ที่ป้องกันไม่ให้โคนเสาไม้ผุ หรือปลวกกิน แต่ที่พิเศษกว่าหน่อยก็จะเป็นเสาหินทราย ที่ใช้ก่อสร้างตัววิหารหลัก ข้าพเจ้าสังเกตุเห็นว่าบริเวณโคนเสามีการสลักภาพไว้ด้วย ในขณะที่คนอื่นเขากราบไหว้กัน ข้าพเจ้าก็มาคลานดูรูปสลักบริเวณโคนเสา ถ้าเป็นโคนเสาทั่วไป จะสลักเป็นเม็ดกลมๆ ขนาดปลายนิ้วชี้ ข้าพเจ้าเดาว่าน่าจะแทนลูกประคำ แต่โคนเสาของวิหารเอก กลับเป็นรูปเครื่องดนตรี หรือภู่กัน หรือหนังสือ และ คิดว่าเป็นรูปดอกไม้ด้วยล่ะขอรับ แปลกดี และไม่เคยคิดมาก่อนน่ะขอรับ
ที่น่าทึ่งอีกอันหนึ่ง ก็จะเป็นเสาหินทรายสีแดง หกเหลี่ยม ที่สลักด้วยตัวอักษรจีนไว้ทุกๆด้าน ข้าพเจ้าลองใช้ Google Translate แปลดู ก็พบว่าแปลไม่ได้ทุกคำ ส่วนที่แปลได้ ก็ดูจะเป็นคำสอนทางศาสนา ก็เลยทำให้นึกถึงเสาอโศก ที่ทำโดยพระเจ้าอโศกมหาราชที่อินเดียปู้น ก็คิดๆไปว่า จะทำให้เหมือนกันหรือเปล่าหนอ...
ก่อนมาสนามบิน ก็มีโอกาสไปเดินเล่นถนนคนเดินสองแห่ง แห่งหนึ่งขายของทันสมัย อีกแห่งแต่งร้านเป็นอาคารโบราณ เน้นขายอาหาร เครื่องดื่มและของที่ระลึก
เฉิงตูช่วงนี้มีอากาศกำลังดี น่ามาเที่ยวขอรับ มีบินตรงจากกรุงเทพฯ ด้วยน่ะครับ แค่สองชั่วโมงครึ่งเอง ไปมาสะดวกขอรับท่านพี่น้อง