iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ

Waranon จีน กานซู่ เทียนสุย ถ้ำหินแกะสลักม่ายจี่ซาน (Maijishan Grottoes)

 
 
 
 
ภูกองข้าวสาลี Maiji san ซึ่งด้านบนๆของภูเขา ก็จะเห็นรอยบุ๋มๆ หลายๆ รู ซึ่งก็เป็นการกัดกร่อนตามธรรมชาติ ที่เลือกกัดกร่อนในส่วนที่อ่อนกว่า กลายเป็นโพรงถ้ำตื้นๆ 

ถ้ำหินแกะสลัก ม่ายจี่ซานนี้ เป็น 1 ใน 4 ถ้ำหินแก่ะสลักอันยิ่งใหญ่ ในประเทศจีน

ม่ายจี่ แปลว่า กองข้าวสาลี ซาน คือภูเขา ม่ายจี่ซานคือ ภูเขากองข้าวสาลี นั่นเอง (คนจีนโบราณมองดูภูเขาทรงนี้แล้วบอกว่าเหมือนกองฟางข้าวสาลี)

ในทางธรณีวิทยานั้น หินที่พบเป็น กลุ่มหินที่เกิดแบบตะกอนกรวดรูปใบพัด หรือ Alluvial fan ที่ประกอบไปด้วยชั้น กรวดมน กรวดเกือบเหลี่ยม แบบไม่มีการเรียงตัว ไปจนถึง ชั้นทราย ชั้นทรายแป้ง ที่มีการตกตะกอนแบบปรกติ และ วางตัวแบบเฉียงระดับ Cross bedding พูดง่ายๆ ก็คือตกตะกอนโดยการพัดพาของน้ำ และ มีความลาดเท บนแผ่นดิน น่ะขอรับ

นักธรณีวิทยาจีน จัดให้เป็นหินกลุ่ม Q4 หรือ อายุน้อยมากไม่เกิน 1-3 ล้านปี แต่ก็มึนส์ เพราะในรายงานบางฉบับ บอกว่าเป็นหินใน Maizhishan group ยุค Cretaceous ซึ่งก็อายุ 65-100 ล้านปีปู้น (ข้าพเจ้าดูจากสภาพหินแล้ว ก็ไม่แน่ใจว่าจะแก่ป่านฉะนั้น แต่เวลานี้ก็ต้องเชื่อ เขาไว้ก่อน)

ในบริเวณนี้ เกิดการเคลื่อนไหว และ บีบอัดของเปลือกโลก จนทำให้เกิด Vertical fractures หรือ เกิดรอยแตก ที่เป็นรอยแตกแบบแผ่นระนาบ ในแนวดิ่ง เป็นจำนวนมาก และต่อมาในภายหลัง หินบางส่วน ก็เกิดหินถล่ม จะทำให้อีกด้านหนึ่ง ของ Vertical fractures แสดงตัวออกมาในรูปของหน้าผาสูงชัน

หินที่เห็นนั้น โดยทั่วไปก็ไม่ได้แข็งแกร่งมากนัก พอจะใช้สิ่ว ใช้ฆ้อน ใช้ชะแลง เจาะกระแทก เจาะหน้าผาให้เป็นรูเป็นถ้ำได้ จึงเกิดการเจาะเป็นถ้ำเล็กๆ แล้วสร้าง องค์พระด้วยปูนปั้น เอาไว้ด้านในของถ้ำ โดยมีการเริ่มทำมาตั้งแต่ 557 AD ก็ประมาณ 1500 ปีมาแล้ว และ ผ่านการซ่อมแซม ปรับปรุง มาหลายครั้ง ตั้งแต่ยุค เว่ยเหนือ ยุคเว่ยตะวันตก ยุคโจวเหนือ ยุคสุย ราชวงค์ถัง ราชวงค์ซ่ง ราชวงค์หยวน ราชวงค์หมิง และราชวงค์ชิง จนมีถ้ำรวมทั้งสิ้น 194 ถ้ำ และ มีพระพุทธรูป และ รูปแก่ะสลัก (ข้าพเจ้ามองว่าเป็นปูนปั้นเสียมากกว่า) เป็นจำนวนมากกว่า 7,000 องค์

ตัวยอดเขาที่มีหน้าผาสีแดงนี้ สูง 1,742 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่ตัวหน้าผานี้ก็สูงประมาณ 147 เมตรจากตีนผา แต่ส่วนที่เจาะเป็นรูถ้ำนั้น ตัวถ้ำที่อยู่สูงสุดจากพื้นก็ประมาณ 70-80 เมตร

บันไดและทางเดินที่เห็นนั้น เป็นบันไดโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก และ เหล็กล้วน ที่ทำขึ้นมาใหม่ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้แสวงบุญ และ นักท่องเที่ยว ขึ้นมาชมถ้ำ ตัวสะพานนี้ ก็ดูแข็งแรงดี แต่ข้าพเจ้าก็พยายามนึกน่ะว่า ในสมัยพัน หรือ พันห้าร้อยปีมาแล้ว คนจีนโบราณ เขาปีนขึ้นไปอย่างไร และ ทำงานกันอย่างไรเน้อะ

เมื่อพิจารณาดูองค์พระจะเห็นว่ามีการทาสีสวยงาม แต่โบราณ พอถึงวันนี้ สีที่ทาไว้ก็เริ่มมีสีจางลงไปบ้างแล้ว แต่วันนี้ สีที่ทา อาจจะเกิดอาการสีตกสีซีด ไปบ้าง ตามกาลเวลา

แต่ก็มีอยู่บางองค์ ดูเหมือนผ่านการซ่อมแซม และดัดแปลงมาด้วย โดยการโป้ะปูนปั้น ลงไปบนรูปปูนที่ได้รับการทาสีแล้ว เลยคาดเดาว่า ผู้มีอำนาจในยุคแรก คงสร้างองค์พระขึ้นมา แล้วทาสีเรียบร้อย แต่พอเวลาผ่านไป ผู้มีอำนาจรุ่นใหม่ คงไม่ชอบแบบเดิม ก็เลยเอาปูนปั้นสร้างรูปองค์พระขึ้นมาใหม่ โดยทับองค์พระเดิม แต่พอมาถึงวันนี้ ปูนปั้นองค์พระองค์นอก กระเทาะออก ก็เลยเห็นองค์พระองค์เดิมที่อยู่ด้านและยังมีสีเดิมติดอยู่ด้วย

ถ้ำพระแก่ะสลักนี้ อยู่ห่างจากเมืองเทียนสุ่ย Tianshui ประมาณ 45 กโลเมตร ซึ่งเมืองเทียนสุยนี้ เป็นเมืองโบราณเก่าแก่ และเป็นที่ตั้งของศาลเจ้าฝู่ซีเหมียว ซึ่งเชื่อกันว่าจะเป็นศาลเจ้าที่เป็นต้นกำเนิดคนจีนนั่นเองนะขอรับ

ส่วนตัวเมืองเทียนสุ่ยนี่ ก็อยู่ห่างจากเมืองซีอาน Xi An ไปทางตะวันตกประมาณ 250 กิโลเมตร น่ะขอรับ ซึ่งทุกวันนี้ ก็มีสายการบินหลายสายที่บินตรงระหว่าง สุวรรณภูมิ และ Xi An และ สุวรรณภูมิ และ Lanzhou ทุกวัน ไปมาสะดวกขอรับ แต่ข้าพเจ้ามองว่า ซื้อทัวร์มาจากเมืองไทย น่าจะง่ายสุด คริคริ

.

-------------------------------------------------

ที่มา

https://www.facebook.com/waranon555

  
 
ทางเข้า Maiji San ภูทอกแห่งเมืองจีน.
 
 
ในมุมนี้จะเห็นทางเดินและบันไดที่ทำด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ให้นักท่องเที่ยวเดินชมตามริมหน้าผา
.
 
 
หากมองดูใกล้ๆเข้ามาอีกนิด จะเห็นตัวโพรงถ้ำตื้นๆ ที่เกิดตามธรรมชาติ เป็นสีเข้มๆสักหน่อย แต่หลายๆถ้ำ ก็จะเห็นแนวตะกอนสีน้ำตาลอ่อน ไหลออกมาจากปากถ้ำนั่น ก็เพราะว่าเวลาฝนตก น้ำฝนก็จะไหลเข้าตามรอยแตกที่อยู่บนยอดเขา แล้วไหลซึมลงมาไหลออกที่ปากถ้ำ ทิ้งร่องรอยทางน้ำไหลสีน้ำตาลอ่อน ไว้ให้ดูเป็นหลักฐาน
.
มุมนี้จะเห็นว่า ส่วนล่างของ Maiji San จะแคบกว่าส่วนบน และผนังมีสีน้ำตาลอ่อนกว่านั้น ก็เพราะได้นับการซ่อมแซมผนังหน้าผาส่วนนั้นด้วยคอนกรีต

.
 
องค์พระยืนสององค์นี้ น่าจะเป็นปูนปั้น แล้วทาสีทับอย่างส่วยงาม แต่เวลาผ่านไปหลายร้อยปี สีที่ทาทับไว้ก็จางหลุดลอกออกไปบ้าง ส่วนรูสี่เหลี่ยมเล็กๆ บนผนังนั้น หลายๆช่องที่ใหญ่หว่า 50 เซ็นติเมตร ก็จะเป็นช่องที่ใส่พระพุทธรูปไว้ด้านใน แต่ช่องที่เล็กกว่านั้น น่าจะเป็นช่องที่เอาไม้ตอกเข้าไป เอาไว้ยึดโครงสร้างอาคาร
.
.
สีน้ำตาลอ่อนด้านบนของภาพ เป็นคอนกรีตที่เอามาฉาบทับผนังหน้าผากันการผุกร่อน ส่วนสีน้ำตาลแดง ด้านล่างเป็น หิน Fined grain conglomerates และ Coarsed grain sandstone
 .
 
 
มุมนี้จะเห็น lamination หรือชั้นหินบางๆ เป็นริ้วสีออกจะขาวๆ กับสีน้ำตาลแดง แสดงให้เห็นว่าเป็นหินตะกอนที่ตกตะกอนโดยการพัดพาของน้ำ ส่วนช่องสี่เหลี่ยมช่องนี้ น่าจะเป็นช่องที่เอาไว้เสียบคานไม้เข้าไป เพื่อเอาไว้ยึดระเบียงและเสาในสมัยโบราณ
.
.
หากดูที่ใบหน้าของรูปปั้น ก็จะเหมือนว่ามีหน้าด้านใน และมีอีกชั้น เหมือนหน้ากาก อยู่ด้านนอกร
 .
 
องค์พระองค์นี้ เริ่มสร้างก่อนด้วยการห่มสะบงเฉียง และมีการลงสีเรียบร้อย แต่ต่อมามีการเอาปูนปั้นไปโป๊ะ ออกแบบให้ห่มสะบง ไปอีกรูปแบบหนึ่ง
.
.
จะเห็นว่า ยังมีคานไม้อยู่ชิ้นหนึ่งที่หักคาอยู่ คงเอาไว้ยึดโครงสร้างอาคารล่ะขอรับ แต่ยังสงสัยไม่หายว่า ทำไมมาสร้างโครงสร้างนั้น กลางตัวองค์พระ หนือว่า ปูนปั้นส่วนที่ตั้งแต่เอวลงมา พังทะลายไปแล้ว
.
.
องค์พระขนาดใหญ่สวยงามมาก บวกความยากลำบากในการก่อสร้างในสมัยนั้น จึงสมควรที่จะยกให้เป็น World Heritage
 .
 
 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward