iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ

กานซู่ จางเย่ วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ (Dafo Si Temple)

 

แผนที่ https://maps.app.goo.gl/JsuXQT3WzRV39XUy5

การผจญภัยสู่แดนพุทธะ: ไขปริศนาแห่งศรัทธา ณ วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ มณฑลกานซู

ณ ใจกลางของเมืองจางเย่ อัญมณีแห่งเส้นทางสายไหมโบราณในมณฑลกานซู ประเทศจีน ที่ซึ่งลมหายใจแห่งประวัติศาสตร์ยังคงอบอวลอยู่ทุกอณู วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ (Dafo Si Temple) หรือที่รู้จักกันในนาม "วัดพระใหญ่" อันเป็นมหาสถานศักดิ์สิทธิ์ที่โอบกอดตำนานและศรัทธาอันยาวนานกว่าเก้าศตวรรษ ตั้งตระหง่านอย่างสง่างาม เชื้อเชิญให้นักเดินทางผู้แสวงหาความจริงและเสน่ห์ลึกลับได้มาสัมผัสด้วยตนเอง ที่นี่ไม่ใช่เพียงแค่ศาสนสถาน แต่เป็นประจักษ์พยานแห่งกาลเวลา เป็นดั่งผืนผ้าใบที่บรรจงวาดเรื่องราวของอารยธรรมพุทธศาสนาอันรุ่งเรืองบนแผ่นดินจีนอันกว้างใหญ่

ย่างก้าวแรกที่เหยียบเข้าสู่ดินแดนแห่งนี้ ความรู้สึกแรกที่สัมผัสได้คือความสงบและยิ่งใหญ่ ราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตสู่ยุคที่เส้นทางสายไหมยังคงคึกคักไปด้วยขบวนคาราวาน การค้า และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม วัดต้าฝอซื่อแห่งนี้ยืนหยัดเป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณ เป็นจุดพักพิงของผู้แสวงบุญและนักเดินทางที่ผ่านมา สถาปัตยกรรมไม้โบราณที่ยังคงความสมบูรณ์และงดงาม แม้ผ่านพ้นร้อนหนาวมานับไม่ถ้วน สะท้อนถึงความประณีตและความศรัทธาอันแรงกล้าของผู้สร้าง สลับกับกลิ่นธูปหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาตามลม พาใจให้สงบนิ่งและพร้อมที่จะเปิดรับเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ที่จะเผยออกมาตรงหน้า

หัวใจสำคัญของวัดแห่งนี้คือพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดมหึมา ที่ประดิษฐานอยู่ภายในวิหารไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในจีน นี่คือปฏิมากรรมอันน่าทึ่งที่สะท้อนถึงการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ด้วยสเกลที่ใหญ่โตจนยากจะจินตนาการ แต่กลับแฝงไว้ด้วยความละเอียดอ่อนและสงบนิ่งในทุกรายละเอียด ใบหน้าอันเปี่ยมด้วยเมตตา ดวงตาที่ทอประกายแห่งนิพพาน ราวกับกำลังบอกเล่าเรื่องราวแห่งการหลุดพ้นจากวัฏสงสาร ชวนให้ผู้ที่ได้มาเยือนได้ใคร่ครวญถึงสัจธรรมชีวิต และสัมผัสถึงพลังแห่งศรัทธาที่แผ่ซ่านอยู่ทั่วบริเวณ

การเดินทางสู่จางเย่และวัดต้าฝอซื่อ จึงไม่ใช่แค่การท่องเที่ยวชมโบราณสถานธรรมดาๆ แต่เป็นการเดินทางอันลึกซึ้งเข้าไปในห้วงเวลา ประวัติศาสตร์ และจิตวิญญาณ เป็นการผจญภัยที่พาเราไปค้นพบความงดงามทางวัฒนธรรมที่ไม่ถูกปรุงแต่ง และความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาที่หยั่งรากลึกในหัวใจผู้คนมานานหลายศตวรรษ ดินแดนแห่งนี้ยังคงรอคอยนักเดินทางผู้ใฝ่หาความท้าทายและความจริงแท้ ให้มาสัมผัสกับมนต์เสน่ห์อันบริสุทธิ์ของมณฑลกานซูที่ "ไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยว" ทว่าอุดมไปด้วยเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์ใจ

วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ ตั้งอยู่ในเมืองจางเย่ มณฑลกานซู ประเทศจีน เมืองจางเย่เป็นเมืองประวัติศาสตร์สำคัญที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมโบราณ หรือระเบียงเหอซี (Hexi Corridor) ซึ่งเป็นเส้นทางการค้าและแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่สำคัญในอดีต ตัววัดตั้งอยู่ใจกลางเมืองจางเย่ ทำให้การเดินทางเข้าถึงสะดวกสบาย สามารถเดินจากโรงแรมหลายแห่งในตัวเมืองไปยังวัดได้ง่าย

การเดินทางย้อนเวลาสู่จุดกำเนิดของวัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันในนามวัดต้าฝอซื่อ (Dafo Si Temple) นั้น พาเราไปสู่ปี ค.ศ. 1098 (พ.ศ. 1641) ซึ่งเป็นช่วงเวลาอันรุ่งเรืองของราชวงศ์ซีเซี่ย (Western Xia Dynasty, ค.ศ. 1038–1227 หรือ พ.ศ. 1581-1770) ตำนานเล่าขานว่าพระภิกษุรูปหนึ่งนามว่า ซือเหนิง เว่ยเมี่ย (Sineng Weimie) ได้ประสบกับนิมิตอันศักดิ์สิทธิ์ แสงเรืองรองและเสียงจากสรวงสวรรค์นำทางท่านไปค้นพบพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดใหญ่ ด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างแรงกล้า ท่านจึงริเริ่มการสร้างวัดอันยิ่งใหญ่แห่งนี้ขึ้นมาเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์นั้น โดยการก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1103

ตลอดระยะเวลาหลายศตวรรษที่ผ่านมา วัดแห่งนี้ได้เปลี่ยนชื่อมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น วัดกาสยปพุทธเจ้า (Kasyapa Buddha Temple) วัดโป๋เจวี๋ย (Bojue Temple) วัดหงเหริน (Hongren Temple) หรือแม้แต่วัดพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ก่อนที่จะมาเป็นชื่อปัจจุบัน "ต้าฝอ" ซึ่งมีความหมายตรงตัวว่า "พระพุทธรูปใหญ่" อันเป็นเครื่องยืนยันถึงความโดดเด่นของพระพุทธรูปปางไสยาสน์อันเป็นศูนย์กลางแห่งศรัทธาของวัดแห่งนี้ แม้ว่าอาคารส่วนใหญ่ของวัดจะถูกทำลายลงโดยกองทัพหมิงในปี ค.ศ. 1372 แต่ด้วยแรงศรัทธาที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย การบูรณะครั้งใหญ่จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 1411 และเสร็จสิ้นในปี ค.ศ. 1419 ซึ่งเป็นช่วงที่วัดกลับมางดงามยิ่งกว่าเดิม นอกจากนี้ ยังมีการบูรณะครั้งสำคัญอีกหลายครั้งในยุคราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368–1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644–1912) เพื่อรักษาความงดงามและสถานะทางศาสนาของวัดเอาไว้

ในยุคปัจจุบัน วัดต้าฝอซื่อได้รับการฟื้นฟูครั้งใหญ่ในปี ค.ศ. 2005–2006 และได้กลับมาเปิดเป็นสถานที่สักการะบูชาอีกครั้งอย่างเต็มรูปแบบ ดึงดูดผู้คนนับพันให้กลับมาเยือนและสัมผัสกับประวัติศาสตร์อันล้ำค่า วัดแห่งนี้ยังถูกบันทึกให้เป็นโบราณวัตถุทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญระดับชาติในปี ค.ศ. 1996 และได้รับการยกย่องให้เป็น "มรดกทางวัฒนธรรมที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ" รวมถึงเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับ 4A ของจีน สิ่งเหล่านี้ล้วนตอกย้ำถึงคุณค่าอันมหาศาลของวัดต้าฝอซื่อในฐานะศูนย์รวมจิตใจและเป็นพยานแห่งความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาบนเส้นทางสายไหม

วัดต้าฝอซื่อยังคงเป็นแหล่งรวมเรื่องเล่าและตำนานอันน่าทึ่ง หนึ่งในนั้นคือตำนานที่เล่าขานว่ากุบไลข่าน (Kublai Khan) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวนและหลานชายของเจงกิสข่าน อาจประสูติที่วัดแห่งนี้ หรือมารดาของพระองค์เคยประทับอยู่ที่วัดเป็นเวลานาน แม้ว่านักวิชาการบางท่านจะยังไม่พบหลักฐานที่ชัดเจนยืนยันเรื่องราวนี้ แต่ตำนานนี้ก็ยิ่งเพิ่มความลึกลับและมนต์ขลังให้กับวัด นอกจากนี้ มาร์โค โปโล นักเดินทางชาวอิตาลีผู้โด่งดัง ก็ยังเคยประทับใจในความยิ่งใหญ่ของวัดและเมืองจางเย่อย่างมาก ถึงขั้นพำนักอยู่ที่นี่เป็นเวลาหนึ่งปี เรื่องราวเหล่านี้ล้วนทำให้วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อเป็นมากกว่าศาสนสถาน แต่เป็นสถานที่ที่ประวัติศาสตร์ ตำนาน และศรัทธาหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ

ตำนานอันศักดิ์สิทธิ์และเรื่องเล่าขาน

วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อถือกำเนิดขึ้นจากตำนานอันศักดิ์สิทธิ์และเรื่องเล่าขานที่ส่งต่อกันมาหลายชั่วอายุคน จุดเริ่มต้นที่สำคัญคือเรื่องราวของพระภิกษุซือเหนิง เว่ยเมี่ย ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 11 ซึ่งได้ประสบกับนิมิตอันมหัศจรรย์ แสงเรืองรองสว่างไสว และเสียงทิพย์จากสรวงสวรรค์ที่นำทางท่านไปสู่การค้นพบพระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดมหึมา การค้นพบครั้งนี้ได้จุดประกายศรัทธาอันแรงกล้า นำไปสู่การก่อสร้างวัดต้าฝอซื่อขึ้นมาเพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปองค์นี้ ด้วยความเชื่อว่านี่คือปฏิกิริยาของฟ้าดินที่ต้องการให้ธรรมะยังคงสถิตอยู่บนโลก

นอกจากนี้ วัดยังผูกพันกับตำนานแห่งราชวงศ์ที่ยิ่งใหญ่ โดยมีเรื่องเล่าว่าจักรพรรดิกุบไลข่าน ผู้ก่อตั้งราชวงศ์หยวน และเป็นหลานชายของเจงกิสข่าน อาจทรงประสูติที่วัดแห่งนี้ หรืออย่างน้อยที่สุด พระมารดาของพระองค์ก็เคยประทับอยู่ที่วัดเป็นระยะเวลานาน เรื่องราวนี้ยิ่งเพิ่มความสำคัญและมนต์ขลังให้กับวัดต้าฝอซื่อ ในฐานะสถานที่ที่อาจเป็นจุดเริ่มต้นของบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์จีน และอีกหนึ่งเรื่องเล่าที่ประทับใจคือการมาเยือนของมาร์โค โปโล นักเดินทางชาวอิตาลีผู้เลื่องชื่อ ซึ่งเล่ากันว่าท่านถึงกับตื่นตะลึงในความงดงามและความยิ่งใหญ่ของวัดและเมืองจางเย่ จนเลือกที่จะพำนักอยู่ที่นี่เป็นเวลานานถึงหนึ่งปี เรื่องราวเหล่านี้ไม่เพียงแค่เป็นตำนาน แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณและเอกลักษณ์ของวัดที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลกให้มาสัมผัส

สถาปัตยกรรมและศิลปะอันล้ำค่า

วัดต้าฝอซื่อเป็นที่ประจักษ์ถึงความรุ่งเรืองของสถาปัตยกรรมพุทธศาสนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระพุทธรูปปางไสยาสน์ที่ถือเป็นไฮไลต์สำคัญ พระพุทธรูปองค์นี้สร้างจากดินเหนียวบนโครงไม้ในช่วงราชวงศ์ซีเซี่ย มีความยาวประมาณ 34.5 ถึง 35 เมตร ความกว้างช่วงไหล่ 7.5 เมตร ความยาวเท้า 5.2 เมตร และพระกรรณ (หู) มีความยาว 2 ถึง 4 เมตร ซึ่งมีขนาดใหญ่โตจนกล่าวกันว่าสามารถให้คนแปดคนยืนบนพระกรรณได้ พระพุทธรูปองค์นี้ไม่เพียงแต่เป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน แต่ยังเป็นหนึ่งในปฏิมากรรมพระพุทธรูปดินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ซึ่งแสดงถึงการปรินิพพานของพระโคตมพุทธเจ้า องค์พระพุทธรูปยังคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลงมากนักนับตั้งแต่ราชวงศ์ซีเซี่ย สะท้อนถึงความคงทนและภูมิปัญญาในการสร้างสรรค์ของช่างฝีมือโบราณ

วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูปคือ หอพระใหญ่ (Giant Buddha Hall) ซึ่งเป็นโครงสร้างไม้สองชั้นขนาดมหึมา มีความยาวถึง 48 เมตร กว้าง 24 ถึง 24.5 เมตร และสูง 33 เมตร ถือเป็นหนึ่งในอาคารไม้ไม่กี่แห่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่จากยุคโบราณ ภายในวิหารประดับประดาด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยราชวงศ์ชิงที่งดงาม เล่าเรื่องราวจากวรรณกรรมคลาสสิกของจีน เช่น "ไซอิ๋ว" และ "คัมภีร์ภูเขาและทะเล" (The Classic of Mountains and Seas) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพจิตรกรรมฝาผนังไซอิ๋วมีการนำเสนอตัวละครจูบาเจี๋ย (ตือโป๊ยก่าย) ในลักษณะเฉพาะที่เชื่อมโยงกับเรื่องเล่าท้องถิ่นของจางเย่ การได้เดินชมจิตรกรรมเหล่านี้คือการเดินทางผ่านจินตนาการและภูมิปัญญาของชาวจีนโบราณ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันลึกซึ้งผ่านปลายพู่กันอันประณีต นอกจากนี้ หอพระไตรปิฎก (Buddhist Classics Hall) ซึ่งมีความยาว 40 เมตร และสูง 20 เมตร ยังเป็นที่เก็บรักษาพระคัมภีร์พุทธศาสนาโบราณนับพันเล่ม บางเล่มเขียนด้วยทองและเงิน แสดงถึงความประณีตและคุณค่าทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีการเก็บรักษาพระไตรปิฎก "ยงเล่อเป่ยจ้าง" (Yongle Northern Canon) ฉบับพิมพ์ครั้งแรกที่สมบูรณ์ที่สุด

ความสำคัญทางวัฒนธรรม

วัดต้าฝอซื่อมีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะศูนย์รวมศิลปะและสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่ง และเป็นแหล่งสำคัญบนเส้นทางสายไหมโบราณ เป็นเครื่องยืนยันถึงการเผยแผ่และเจริญรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่เป็นจุดเชื่อมโยงทางวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก วัดแห่งนี้เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ศิลปะพุทธศาสนาที่ครอบคลุม ทั้งสถาปัตยกรรม ประติมากรรม จิตรกรรมฝาผนัง งานแกะสลัก พระคัมภีร์ และโบราณวัตถุต่างๆ ที่รวบรวมไว้ภายในบริเวณวัด ความพยายามในการอนุรักษ์และบูรณะวัด โดยเฉพาะหลังจากเหตุการณ์ทางวัฒนธรรมในอดีต สะท้อนให้เห็นถึงความตระหนักในคุณค่าอันเป็นเอกลักษณ์และคุณูปการต่อมรดกทางวัฒนธรรมของชาติ การมาเยือนวัดต้าฝอซื่อจึงไม่ใช่แค่การชมโบราณสถาน แต่เป็นการสัมผัสกับจิตวิญญาณแห่งศรัทธาและภูมิปัญญาอันล้ำค่าของอารยธรรมจีน

จุดเด่นและสิ่งที่น่าสนใจ

วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ คือ ขุมทรัพย์ทางพุทธศิลป์และประวัติศาสตร์ที่ซ่อนตัวอยู่ใจกลางเมืองจางเย่ มณฑลกานซู จุดเด่นแต่ละแห่งภายในวัดล้วนบอกเล่าเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์และสะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของศรัทธาที่สืบทอดกันมานับพันปี

พระพุทธรูปปางไสยาสน์

หัวใจสำคัญและจุดดึงดูดหลักของวัดแห่งนี้คือ พระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดมหึมา ที่ประดิษฐานอย่างสงบนิ่งอยู่ภายในหอพระใหญ่ องค์พระพุทธรูปนี้เป็นปฏิมากรรมดินเหนียวบนโครงไม้ที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ซีเซี่ย มีความยาวประมาณ 34.5 ถึง 35 เมตร ซึ่งถือเป็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์ในร่มที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในพระพุทธรูปดินที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเอเชีย ด้วยความกว้างช่วงไหล่ที่ 7.5 เมตร และเท้าที่ยาวถึง 5.2 เมตร แสดงถึงขนาดที่น่าเกรงขามและยิ่งใหญ่

เมื่อได้พินิจพิจารณาใกล้ๆ จะสัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนและสง่างามขององค์พระพักตร์ ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความเมตตาและรอยยิ้มอันสงบนิ่งชั่วนิรันดร์ บางตำนานกล่าวว่าดวงตาขององค์พระพุทธรูปจะดูเหมือนค่อยๆ ปิดลงเมื่อเดินจากส่วนพระเศียรไปยังส่วนพระบาท ซึ่งเป็นภาพจำลองเหตุการณ์การปรินิพพานของพระโคตมพุทธเจ้าได้อย่างสมจริง ด้านหลังขององค์พระพุทธรูปยังประดิษฐานพระสาวก 10 องค์ ยืนเรียงรายอยู่ราวกับกำลังแสดงความเคารพและอาลัยต่อการปรินิพพานของพระศาสดา การได้มาเห็นพระพุทธรูปองค์นี้ด้วยตาตนเอง ถือเป็นการย้อนรอยสู่ช่วงเวลาสำคัญในประวัติศาสตร์พุทธศาสนา และสัมผัสถึงพลังแห่งความศรัทธาที่ยังคงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้

หอพระใหญ่ (Giant Buddha Hall)

หอพระใหญ่ หรือ Dafodian เป็นอาคารไม้สองชั้นขนาดมหึมาที่โอบอุ้มพระพุทธรูปปางไสยาสน์อันศักดิ์สิทธิ์ไว้ภายใน ด้วยความยาว 48 เมตร กว้าง 24 ถึง 24.5 เมตร และสูงถึง 33 เมตร ทำให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างไม้ที่ใหญ่ที่สุดและยังคงหลงเหลืออยู่จากยุคโบราณของจีน สถาปัตยกรรมของหอพระใหญ่นี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญด้านการก่อสร้างและวิศวกรรมของช่างฝีมือในสมัยราชวงศ์ซีเซี่ยและราชวงศ์ต่อๆ มา

ภายในหอพระใหญ่ไม่เพียงแค่เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเท่านั้น แต่ยังเป็นเสมือนแกลเลอรีศิลปะที่มีชีวิตชีวา ด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรบรรจงสมัยราชวงศ์ชิงที่ประดับประดาอยู่ทั่วผนัง ภาพวาดเหล่านี้บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นที่รู้จักกันดีจากวรรณกรรมคลาสสิกของจีน เช่น การผจญภัยของพระถังซัมจั๋งและเหล่าศิษย์ใน "ไซอิ๋ว" และตำนานจาก "คัมภีร์ภูเขาและทะเล" (The Classic of Mountains and Seas) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภาพจิตรกรรมฝาผนังไซอิ๋วมีการนำเสนอตัวละครจูบาเจี๋ย (ตือโป๊ยก่าย) ในลักษณะเฉพาะที่เชื่อมโยงกับเรื่องเล่าท้องถิ่นของจางเย่ การได้เดินชมจิตรกรรมเหล่านี้คือการเดินทางผ่านจินตนาการและภูมิปัญญาของชาวจีนโบราณ ที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันลึกซึ้งผ่านปลายพู่กันอันประณีต

หอพระไตรปิฎก (Buddhist Classics Hall)

ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด หอพระไตรปิฎกเป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง หอแห่งนี้มีความยาวประมาณ 40 เมตร และสูง 20 เมตร เป็นที่เก็บรวบรวมพระคัมภีร์พุทธศาสนาโบราณจำนวนมหาศาลกว่า 6,000 ถึง 7,000 เล่ม ซึ่งหลายเล่มมีความพิเศษและหายากยิ่ง โดยบางเล่มเขียนด้วยหมึกทองและเงินอันประณีต สะท้อนถึงความศรัทธาอันแรงกล้าและความพยายามในการรักษาพระธรรมคำสอนให้คงอยู่คู่โลก

ภายในหอแห่งนี้ยังเป็นที่เก็บรักษา "ยงเล่อเป่ยจ้าง" (Yongle Northern Canon) ฉบับพิมพ์ครั้งแรกที่สมบูรณ์ที่สุด ซึ่งเป็นพระไตรปิฎกอันทรงคุณค่าที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของการพิมพ์ในสมัยโบราณ การได้มาเยือนหอพระไตรปิฎกแห่งนี้จึงเป็นการสัมผัสกับมรดกทางปัญญาของพุทธศาสนา และเข้าใจถึงความสำคัญของการจารึกและรักษาพระคัมภีร์เหล่านี้ ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของการเผยแผ่ธรรมะสู่ชนรุ่นหลัง นอกจากนี้ ภายในห้องโถงยังมีโบราณวัตถุทางพุทธศาสนาและประติมากรรมอันน่าสนใจจัดแสดงอยู่ด้วย

เจดีย์ดิน (Clay Pagoda หรือ Amitabha Thousand Buddhas Pagoda)

เจดีย์ดินเป็นอีกหนึ่งสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัด ถือเป็นหนึ่งใน "เจดีย์ห้าธาตุ" (Five Elements Pagodas) ที่มีชื่อเสียงของเมืองจางเย่ เจดีย์แห่งนี้มีความสูง 13 ชั้น และมีความสูงรวม 33.37 เมตร สร้างขึ้นด้วยดินเหนียวและมีการออกแบบที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งที่ทำให้เจดีย์ดินแห่งนี้แตกต่างจากเจดีย์อื่นๆ คือการมีเจดีย์ขนาดเล็กสี่องค์ตั้งอยู่ที่มุมของชั้นหนึ่งและชั้นสอง ซึ่งเป็นลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก การเดินขึ้นชมเจดีย์ดินจะมอบมุมมองที่แตกต่างกันของวัดและทิวทัศน์โดยรอบ พร้อมกับให้ความรู้สึกถึงความสงบและอดีตกาลที่ยังคงมีชีวิตอยู่ การก่อสร้างที่ซับซ้อนและรายละเอียดอันประณีตของเจดีย์ดิน สะท้อนให้เห็นถึงความศรัทธาและความสามารถทางศิลปะของช่างฝีมือโบราณที่ฝากผลงานอันล้ำค่าไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชม

ลานภายในที่เงียบสงบและห้องจัดแสดงโบราณวัตถุ

นอกเหนือจากโครงสร้างหลักที่ยิ่งใหญ่แล้ว ภายในบริเวณวัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อยังมีลานภายในที่จัดไว้อย่างสวยงามและเงียบสงบ มอบพื้นที่สำหรับการพักผ่อนและใคร่ครวญได้อย่างดีเยี่ยม ลานแห่งนี้เต็มไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและบรรยากาศอันร่มรื่น เป็นสถานที่ที่ผู้มาเยือนสามารถปลีกวิเวกจากความวุ่นวายภายนอกและดื่มด่ำกับความสงบทางจิตวิญญาณ

นอกจากนี้ ภายในวัดยังมีห้องจัดแสดงโบราณวัตถุและประติมากรรมทางพุทธศาสนาต่างๆ ที่ถูกค้นพบในบริเวณวัดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ศิลาจารึกโบราณ พระพุทธรูปสำริด กระจกสำริด ไปจนถึงพระคัมภีร์ที่ทรงคุณค่า ห้องจัดแสดงเหล่านี้เป็นเสมือนคลังสมบัติที่บอกเล่าเรื่องราวของประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรมของพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้ได้อย่างลึกซึ้ง และยังเป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นวัตถุโบราณหายากที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตและความเชื่อของผู้คนในอดีต

พิพิธภัณฑ์จางเย่ (Zhangye Museum)

เพื่อเพิ่มมิติความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองจางเย่ พิพิธภัณฑ์จางเย่ก็ได้ถูกจัดตั้งขึ้นภายในบริเวณวัดต้าฝอซื่อแห่งนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้รวบรวมโบราณวัตถุและสิ่งของจัดแสดงที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นของจางเย่ ซึ่งเป็นเมืองสำคัญบนเส้นทางสายไหม

การเข้าชมพิพิธภัณฑ์จางเย่จะช่วยเติมเต็มประสบการณ์การเรียนรู้เกี่ยวกับเมืองและภูมิภาคนี้ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผู้เข้าชมจะได้เห็นหลักฐานทางโบราณคดีที่แสดงถึงความรุ่งเรืองของจางเย่ในฐานะศูนย์กลางการค้าและวัฒนธรรม รวมถึงเข้าใจถึงบทบาทของพุทธศาสนาที่มีอิทธิพลต่อชีวิตผู้คนในอดีต ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบันและทำให้การมาเยือนวัดต้าฝอซื่อมีความหมายมากยิ่งขึ้น

หออื่นๆ ภายในวัด

นอกเหนือจากจุดเด่นหลักแล้ว วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อยังประกอบด้วยหอและอาคารอื่นๆ อีกหลายแห่งที่เสริมสร้างความสมบูรณ์ให้กับพุทธสถานแห่งนี้ ได้แก่ หอสี่ท้าวมหาโลกบาล (Hall of Four Heavenly Kings) ที่ประดิษฐานเทพผู้พิทักษ์ทิศทั้งสี่ หอกวนซื่อ (Guanci Hall) หอกัวะ (Guo Hall) และหอเพ่ย (Pei Hall) ซึ่งแต่ละหอก็มีความสำคัญและรูปแบบสถาปัตยกรรมเฉพาะตัวที่น่าสนใจ

อาคารเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างทางกายภาพของวัด แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของวิถีปฏิบัติและประเพณีทางพุทธศาสนาที่ยังคงสืบทอดกันมา การเดินสำรวจหอต่างๆ เหล่านี้จะทำให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสถึงความหลากหลายและความซับซ้อนของศิลปะและสถาปัตยกรรมพุทธศาสนาในจีน และเข้าใจถึงการจัดวางพื้นที่ใช้สอยในพุทธสถานโบราณ ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับกิจกรรมทางศาสนาและการศึกษาธรรมะอย่างครบวงจร

การเดินทางสู่ วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ ณ มณฑลกานซู ประเทศจีน คือการผจญภัยอันลึกซึ้งที่พาเราย้อนกลับไปในห้วงเวลาอันยาวนานกว่าเก้าศตวรรษ เพื่อสัมผัสกับความยิ่งใหญ่แห่งศรัทธาและมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า วัดแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงศาสนสถาน แต่เป็นประจักษ์พยานที่มีชีวิตของอารยธรรมพุทธศาสนาบนเส้นทางสายไหม เป็นสถานที่ที่ตำนาน ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และจิตวิญญาณหลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์แบบ

จากองค์พระพุทธรูปปางไสยาสน์ขนาดมหึมาที่ประดิษฐานอย่างสง่างามภายในหอพระใหญ่ อันเป็นภาพสะท้อนแห่งการปรินิพพานที่ชวนให้ใคร่ครวญถึงสัจธรรมชีวิต ไปจนถึงหอพระไตรปิฎกที่เก็บรักษาพระคัมภีร์โบราณนับพันเล่ม และจิตรกรรมฝาผนังอันวิจิตรที่บอกเล่าเรื่องราวจากวรรณกรรมคลาสสิกของจีน ทุกอณูของวัดต้าฝอซื่อล้วนเต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์และความมหัศจรรย์ที่รอให้นักเดินทางได้มาค้นพบ ความสงบเงียบของลานภายในและเจดีย์ดินอันเป็นเอกลักษณ์ ยิ่งเสริมให้การมาเยือนแห่งนี้เป็นประสบการณ์ที่มิอาจลืมเลือนได้

วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ คือ อัญมณีที่ซ่อนเร้นอยู่บนเส้นทางสายไหมโบราณ เป็นประตูสู่ดินแดนแห่งความจริงแท้และบริสุทธิ์ของมณฑลกานซู สำหรับนักเดินทางผู้แสวงหาการผจญภัยที่ไม่เหมือนใครและปรารถนาที่จะสัมผัสกับวัฒนธรรมอันลึกซึ้ง ที่นี่คือจุดหมายปลายทางที่ไม่ควรพลาด การได้มาเยือนวัดแห่งนี้ไม่เพียงแค่เป็นการชมโบราณสถาน แต่เป็นการได้ดื่มด่ำกับประวัติศาสตร์อันยาวนาน ความงดงามทางพุทธศิลป์ และสัมผัสถึงพลังแห่งศรัทธาที่ยังคงสถิตอยู่ชั่วนิรันดร์ วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อจะยังคงเป็นแรงบันดาลใจและเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนตลอดไป

.

-------------------------

ที่มา

-

รวบรวมข้อมูลและรูป

www.iok2u.com

-------------------------

ดูเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่

เที่ยวจีน (Travel China)

เที่ยวรอบโลก (World Travel)

-------------------------

ชมอัลปั้มภาพเพิ่มเติมที่

20241022 วัดพระใหญ่ต้ำฝอซื่อ (Dafo Si Temple)

https://photos.app.goo.gl/nP3HhFFdPzGfRQGM8

.

-------------------------

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward