มณฑลเหอหนาน (henan) จีน

มณฑลเหอหนาน: หัวใจแห่งอารยธรรมจีน การเดินทางสู่ต้นกำเนิดแห่งตำนาน
มณฑลเหอหนาน ดินแดนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "หัวใจ" และ "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของอารยธรรมจีน ที่ซึ่งสายน้ำสีเหลืองแห่งประวัติศาสตร์ยังคงไหลรินไม่ขาดสาย เหอหนานไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่ทางภูมิศาสตร์ แต่เป็นพรมแดนแห่งกาลเวลาที่ถักทอเรื่องราวของชนชาติจีนมานับพันปี การเดินทางสู่เหอหนานจึงเปรียบเสมือนการย้อนเวลากลับไปสัมผัสลมหายใจแรกของวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ จุดกำเนิดของราชวงศ์อันเกรียงไกร ภูมิปัญญาที่ก่อกำเนิดอักษรแรกเริ่ม และปรัชญาที่หล่อหลอมจิตวิญญาณของผู้คน ดินแดนแห่งนี้รอคอยให้นักผจญภัยผู้กระหายใคร่รู้ได้มาค้นพบความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่ทุกอณู
เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่เหอหนาน ภาพทิวทัศน์อันหลากหลายจะเผยตัวออกมาอย่างน่าตื่นตาตื่นใจ จากที่ราบลุ่มอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เรียกว่า "อู่ข้าวอู่น้ำของจีน" ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดอาหารหล่อเลี้ยงผู้คนมาหลายยุคสมัย สลับกับทิวเขาสลับซับซ้อนที่ตั้งตระหง่านราวกับผู้พิทักษ์ประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นเทือกเขาไท่หาง (Taihang Mountains) ที่ทอดตัวยาวเป็นกำแพงธรรมชาติ หรือเทือกเขาฟู่หนิว (Funiu Mountains) ที่อุดมสมบูรณ์ และที่สำคัญคือ ภูเขาซงซาน (Mount Song) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่โอบกอดวัดเส้าหลินอันเลื่องชื่อ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นฉากหลังอันงดงามสำหรับการผจญภัยในดินแดนแห่งตำนาน
ไม่เพียงแค่ความงดงามทางธรรมชาติเท่านั้น แต่เหอหนานยังเป็นขุมสมบัติทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ที่นี่คือจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนานิกายเซนและศิลปะการต่อสู้กังฟูอันโด่งดัง และยังเป็นบ้านของสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของจีนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเข็มทิศ กระดาษ ดินปืน และการพิมพ์ ทุกย่างก้าวในเหอหนานคือการเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษผู้สร้างสรรค์อารยธรรม การเยี่ยมชมถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes) ที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปแกะสลักนับแสนองค์ หรือการสำรวจเมืองหลวงโบราณอย่างลั่วหยาง (Luoyang) และไคเฟิง (Kaifeng) ที่ยังคงเปี่ยมด้วยมนต์ขลัง ล้วนเป็นการเปิดประตูสู่ความเข้าใจอันลึกซึ้งในรากเหง้าของจีน
การเดินทางครั้งนี้จึงไม่ใช่แค่การท่องเที่ยว แต่เป็นการเดินทางเพื่อสัมผัสจิตวิญญาณของแผ่นดินจีน ค้นหาความจริงเบื้องหลังตำนาน และดื่มด่ำกับมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ได้รับการอนุรักษ์มาอย่างดี ดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของโลกกำลังเชื้อเชิญให้เรามาเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าขานเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ ที่ซึ่งอดีตและปัจจุบันผสมผสานกันอย่างลงตัว สร้างแรงบันดาลใจและความอัศจรรย์ใจให้กับผู้มาเยือนทุกคน เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการผจญภัยที่จะพาคุณดำดิ่งสู่ความงามและความลึกซึ้งของมณฑลเหอหนาน หัวใจที่เต้นรัวของอารยธรรมจีน
ที่ตั้งและภูมิศาสตร์
มณฑลเหอหนาน หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า "ยู่" (Yu) ตั้งอยู่ทางตอนกลางของสาธารณรัฐประชาชนจีน มีบทบาทสำคัญในฐานะแหล่งกำเนิดอารยธรรมจีนที่สำคัญ ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศ โดยมีเมืองหลวงคือเจิ้งโจว (Zhengzhou)
สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ของเหอหนานมีความหลากหลายอย่างน่าทึ่ง ทางฝั่งตะวันออกประกอบด้วยที่ราบน้ำท่วมถึงอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ราบจีนตอนเหนือที่มีประชากรหนาแน่นและได้ชื่อว่าเป็น "อู่ข้าวอู่น้ำของจีน" ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอาหารสำคัญของประเทศ ในขณะที่ทางตะวันตกและตะวันตกเฉียงใต้ของมณฑลมีลักษณะเป็นภูเขาและป่าไม้หนาแน่น โดยมีเทือกเขาที่สำคัญ ได้แก่ เทือกเขาไท่หาง (Taihang Mountains), เทือกเขาฟู่หนิว (Funiu Mountains) และภูเขาซงซาน (Mount Song) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของจีน แม่น้ำเหลือง (Yellow River) หรือที่เรียกว่า "แม่น้ำมารดาของชนชาติจีน" ไหลผ่านตอนกลางของเหอหนาน โดยไหลเข้าสู่มณฑลจากทิศตะวันตกเฉียงเหนือผ่านเขื่อนซานเหมินเสีย (Sanmenxia Reservoir) แม้ชื่อของมณฑลจะหมายถึง "ทางใต้ของแม่น้ำ" แต่ประมาณหนึ่งในสี่ของพื้นที่มณฑลตั้งอยู่ทางเหนือของแม่น้ำเหลือง มณฑลเหอหนานมีพรมแดนติดกับมณฑลอื่นๆ อีกหกแห่ง ได้แก่ ส่านซี (Shaanxi), ซานซี (Shanxi), เหอเป่ย (Hebei), ซานตง (Shandong), อันฮุย (Anhui) และหูเป่ย (Hubei)
สภาพภูมิอากาศของเหอหนานจัดอยู่ในเขตอบอุ่นชื้นถึงกึ่งร้อนชื้น โดยทางตอนใต้ของแม่น้ำเหลืองมีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อนชื้น และทางตอนเหนือจะเข้าใกล้ภูมิอากาศแบบทวีปชื้น ฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิมักจะแห้งแล้งและมีลมแรง อุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวอาจลดลงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ส่วนฤดูร้อนจะมีอากาศร้อนและมีฝนตกชุก อุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงฤดูร้อนอาจสูงถึง 25-30 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่านั้นในบางวัน ในขณะที่ฤดูใบไม้ร่วงจะมีแดดจัดและอากาศเย็นสบาย อุณหภูมิเฉลี่ยประมาณ 15-20 องศาเซลเซียส ทำให้เป็นช่วงเวลาที่น่าท่องเที่ยว
ประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยของเหอหนานย้อนกลับไปกว่า 7,000 ปี พร้อมด้วยหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ยุคแรกเริ่ม เช่น แหล่งวัฒนธรรมเป่ยลีกัง (Peiligang), หยางเซา (Yangshao) และต้าเหอ (Dahe) มณฑลแห่งนี้เป็นแหล่งกำเนิดของราชวงศ์แรกของจีน รวมถึงราชวงศ์เซี่ย (Xia), ซาง (Shang) และโจว (Zhou) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราชวงศ์ซาง ซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของจีนที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร (ในช่วงศตวรรษที่ 16-11 ก่อนคริสตกาล) ได้สถาปนาเมืองหลวงหลายแห่งในเหอหนาน โดยเมืองหลวงสุดท้ายและสำคัญที่สุดคือ "หยิน" (Yin) ซึ่งปัจจุบันคืออันหยาง (Anyang) ที่นี่คือสถานที่ค้นพบอักษรจีนแรกสุดในโลก ซึ่งก็คืออักษรจารึกบนกระดูกเสี่ยงทาย (oracle bone inscriptions) อันเป็นรากฐานสำคัญของภาษาจีนในปัจจุบัน
มณฑลเหอหนานยังเป็นที่ตั้งของสี่ในแปดเมืองหลวงโบราณที่ยิ่งใหญ่ของจีน ได้แก่ ลั่วหยาง (Luoyang), อันหยาง (Anyang), ไคเฟิง (Kaifeng) และเจิ้งโจว (Zhengzhou) เมืองลั่วหยางเพียงแห่งเดียวเคยเป็นเมืองหลวงของถึงเก้าราชวงศ์ แสดงให้เห็นถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และอำนาจทางการเมืองของภูมิภาคนี้ ไคเฟิงเป็นเมืองหลวงที่สำคัญในช่วงยุคห้าราชวงศ์สิบอาณาจักร และต่อมาได้เป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จีนมีความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจอย่างมหาศาล สถาปัตยกรรม ศิลปะ และวิทยาการต่างๆ เจริญรุ่งเรืองอย่างถึงขีดสุด ทำให้ไคเฟิงในยุคนั้นเป็นศูนย์กลางของโลก เจิ้งโจวได้กลายเป็นเมืองหลวงของมณฑลในปี ค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) เนื่องจากความสำคัญทางเศรษฐกิจและเป็นจุดเชื่อมต่อทางรถไฟเชิงยุทธศาสตร์ที่สำคัญในยุคใหม่ แสดงให้เห็นถึงการปรับตัวและความต่อเนื่องของเหอหนานในการเป็นศูนย์กลางของประเทศมาโดยตลอด
ตำนานและความสำคัญ
มณฑลเหอหนานมีความสำคัญทางวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง เปรียบได้กับหัวใจที่เต้นรัวของอารยธรรมจีน เป็นแหล่งกำเนิดของอารยธรรมจีน และยังเป็นที่มาของนามสกุลจีนหลายตระกูล ที่นี่ยังเป็นบ้านเกิดของจักรพรรดิเหลือง (Yellow Emperor) ซึ่งถือเป็นบรรพบุรุษร่วมกันของชาวจีนทุกคน ตำนานเล่าขานถึงการกำเนิดของเขาในดินแดนแห่งนี้ ที่ได้วางรากฐานให้กับวัฒนธรรมและปรัชญาของชนชาติจีน
นอกจากนี้ เหอหนานยังเป็นที่รู้จักในฐานะจุดกำเนิดของพระพุทธศาสนานิกายเซนและศิลปะการต่อสู้ของจีน โดยมี "วัดเส้าหลิน" (Shaolin Temple) ซึ่งตั้งอยู่บนภูเขาซงซาน เป็นศูนย์กลางทางจิตวิญญาณอันเป็นสัญลักษณ์ของมรดกเหล่านี้ ปรัชญาขงจื๊อและลัทธิเต๋าก็ได้หยั่งรากลึกและเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภูมิภาคนี้ ส่งผลต่อแนวคิดและวิถีชีวิตของผู้คนมาหลายชั่วอายุคน เหอหนานจึงเป็นขุมทรัพย์แห่งโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม ที่มีโครงการมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ระดับชาติถึง 125 โครงการ ซึ่งรวมถึงตำนานพระถังซัมจั๋ง (Xuanzang Legend) และอุปรากรเหอหนาน หรือ "ยู่จู๋" (Yuju) ที่มีชื่อเสียงด้านทำนองที่แสดงอารมณ์ได้อย่างลึกซึ้ง สิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ทั้งสี่ของจีนโบราณ ไม่ว่าจะเป็นเข็มทิศ กระดาษ ดินปืน และการพิมพ์ ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากมณฑลเหอหนาน แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้าทางปัญญาและนวัตกรรมของดินแดนแห่งนี้ในอดีต
ด้านสถาปัตยกรรม ถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของศิลปะพุทธศาสนาที่แกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงลงบนหน้าผาหินปูน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระพุทธรูปไวโรจนะ (Vairocana Buddha) ซึ่งเป็นไฮไลท์ของถ้ำ มีความสูงถึง 17.14 เมตร แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และความศรัทธาอันแรงกล้าของผู้สร้าง สถาปัตยกรรมเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งทางวัฒนธรรมและเทคนิคการก่อสร้างอันล้ำเลิศในอดีตของเหอหนาน ซึ่งยังคงยืนหยัดเป็นประจักษ์พยานถึงความรุ่งโรจน์ของอารยธรรมจีน
ไฮไลท์และจุดที่น่าสนใจ
ถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes)
ถ้ำหลงเหมิน ซึ่งตั้งอยู่ที่ลั่วหยาง เป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกที่น่าอัศจรรย์ใจอย่างแท้จริง สถานที่แห่งนี้เป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปแกะสลักกว่า 100,000 องค์ และสถูป 60 องค์ ที่สลักลงบนหน้าผาหินปูนอย่างวิจิตรบรรจง ส่วนใหญ่เป็นผลงานในสมัยราชวงศ์เว่ยเหนือและราชวงศ์ถัง การเยี่ยมชมถ้ำหลงเหมินเปรียบเสมือนการเดินผ่านพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งขนาดใหญ่ ที่ทุกย่างก้าวพาเราย้อนเวลากลับไปสู่ยุคทองของพุทธศิลป์จีน แต่ละองค์ประดิษฐานอย่างสง่างามบนหน้าผาหินปูน บอกเล่าเรื่องราวของความศรัทธา ศิลปะ และอิทธิพลทางวัฒนธรรมที่แพร่กระจายไปทั่วเอเชีย
ไฮไลท์ที่โดดเด่นที่สุดคือ พระพุทธรูปไวโรจนะ (Vairocana Buddha) ซึ่งมีความสูงถึง 17.14 เมตร ประดิษฐานอย่างสง่างามบริเวณถ้ำเฟิ่งเซียน (Fengxian Temple Grotto) รอยยิ้มอันลึกลับและสงบนิ่งของพระองค์ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกของประติมากรรมพุทธศาสนา การแกะสลักที่ซับซ้อนและขนาดอันน่าเกรงขามของพระพุทธรูปและถ้ำแห่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนาและความสามารถทางศิลปะในยุคนั้น นักท่องเที่ยวสามารถเดินเลียบไปตามทางเดินแคบๆ เพื่อชื่นชมความละเอียดของงานแกะสลักแต่ละชิ้น และสัมผัสถึงความสงบเงียบที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ ทำให้รู้สึกเหมือนได้หลุดเข้าไปในโลกอีกมิติหนึ่ง
วัดเส้าหลิน (Shaolin Temple)
วัดเส้าหลิน ตั้งอยู่บนภูเขาซงซาน (Mount Song) ใกล้กับเมืองเติงเฟิง (Dengfeng) เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนานิกายเซนและศิลปะการต่อสู้กังฟูอันโด่งดังไปทั่วโลก การเดินทางมายังวัดเส้าหลินไม่ได้เป็นเพียงการเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นการสัมผัสกับจิตวิญญาณแห่งวินัย ปรัชญา และพลังอันน่าทึ่งที่หล่อหลอมขึ้นมานับพันปี ผู้มาเยือนจะได้ตื่นตาตื่นใจกับการแสดงกังฟูที่น่าทึ่ง ซึ่งแสดงโดยพระภิกษุและนักเรียนที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างเข้มข้น สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจอันเป็นเอกลักษณ์ของเส้าหลิน
นอกจากนี้ การสำรวจป่าเจดีย์ (Pagoda Forest) ซึ่งเป็นสุสานโบราณของพระอาจารย์และอดีตเจ้าอาวาสของวัดเส้าหลิน ถือเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่ห้ามพลาด ป่าเจดีย์แห่งนี้เป็นป่าเจดีย์โบราณที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน แต่ละเจดีย์มีรูปทรงและขนาดแตกต่างกันไป สะท้อนถึงสถานะและยุคสมัยของพระภิกษุที่บรรจุอัฐิอยู่ภายใน ป่าเจดีย์แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก "อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์เติงเฟิงใน 'ศูนย์กลางแห่งฟ้าดิน'" ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของวัดเส้าหลิน
ซากปรักหักพังหยิน (Yin Ruins)
ซากปรักหักพังหยิน หรือ Yin Ruins ซึ่งตั้งอยู่ที่อันหยาง (Anyang) เป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโกอีกแห่งหนึ่งในเหอหนาน และเป็นซากปรักหักพังของเมืองหลวงสุดท้ายของราชวงศ์ซาง ซึ่งเป็นราชวงศ์แรกของจีนที่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร การค้นพบที่นี่ได้พลิกโฉมความเข้าใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จีนโบราณอย่างสิ้นเชิง ที่นี่คือสถานที่ที่อักษรจีนแรกสุดที่เรารู้จัก คืออักษรจารึกบนกระดูกเสี่ยงทาย (oracle bone inscriptions) ได้ถูกค้นพบ ซึ่งเป็นการเปิดหน้าต่างสู่ชีวิตประจำวัน ความเชื่อ และการปกครองในยุคสำริดของจีน
ซากปรักหักพังแห่งนี้ยังคงเผยให้เห็นรากฐานของพระราชวังขนาดใหญ่และสุสานอันยิ่งใหญ่ของกษัตริย์และชนชั้นสูงในสมัยนั้น รวมถึงโบราณวัตถุที่ล้ำค่ามากมาย การเดินสำรวจ Yin Ruins เปรียบเสมือนการก้าวเข้าสู่พิพิธภัณฑ์ใต้ดิน ที่เผยให้เห็นถึงความรุ่งเรืองของอารยธรรมซาง เทคโนโลยีการสร้างโลหะสำริด และโครงสร้างสังคมอันซับซ้อนในยุคโบราณ แต่ละการขุดค้นได้นำพาเรื่องราวและหลักฐานใหม่ๆ มาสู่โลก ทำให้เราสามารถปะติดปะต่อภาพของอดีตอันไกลโพ้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
วัดม้าขาว (White Horse Temple)
วัดม้าขาว ซึ่งตั้งอยู่ที่ลั่วหยาง ได้รับการยอมรับว่าเป็นวัดพุทธแห่งแรกอย่างเป็นทางการในประเทศจีน ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 68 (พ.ศ. 611) ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออก การมาเยือนวัดแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการเดินย้อนรอยประวัติศาสตร์การเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียมาสู่จีน วัดแห่งนี้เป็นสถานที่ที่พระภิกษุชาวอินเดียสองรูปแรกได้นำพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปมาสู่แผ่นดินจีน และได้เริ่มแปลพระสูตรเป็นภาษาจีน ทำให้เกิดการวางรากฐานอันมั่นคงของพระพุทธศาสนาในดินแดนแห่งนี้
ภายในวัดมีสถาปัตยกรรมที่งดงามและบรรยากาศอันสงบเงียบ ผู้มาเยือนสามารถเดินชมวิหารต่างๆ เจดีย์ และสัมผัสถึงกลิ่นอายของความศรัทธาที่แผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ วัดม้าขาวไม่เพียงแต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นศูนย์รวมจิตใจและเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นใหม่ เป็นต้นกำเนิดของศาสนาพุทธในจีนที่ได้ส่งอิทธิพลต่อวัฒนธรรม ศิลปะ และปรัชญาของชนชาติจีนมานับพันปี และยังคงเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนและนักประวัติศาสตร์จากทั่วทุกมุมโลก
พิพิธภัณฑ์เหอหนาน (Henan Museum)
พิพิธภัณฑ์เหอหนาน ตั้งอยู่ที่เจิ้งโจว เป็นหนึ่งในพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดในประเทศจีน ภายในเก็บรวบรวมโบราณวัตถุอันล้ำค่ากว่า 170,000 ชิ้น ซึ่งนำเสนอเรื่องราวอันยาวนานและซับซ้อนของอารยธรรมจีน โบราณวัตถุเหล่านี้ครอบคลุมตั้งแต่ยุคหินใหม่ไปจนถึงยุคราชวงศ์ แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการทางสังคม ศิลปะ และเทคโนโลยีของจีนตลอดหลายพันปี การเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งนี้จึงเป็นการเปิดหน้าต่างสู่ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในรากฐานและพัฒนาการของชนชาติจีน
นิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงอย่างเป็นระบบและน่าสนใจ ครอบคลุมหัวข้อต่างๆ เช่น วัฒนธรรมยุคสำริด, เครื่องปั้นดินเผาโบราณ, อักษรจารึกบนกระดูกเสี่ยงทาย, และศิลปะทางพุทธศาสนา แต่ละชิ้นงานล้วนเป็นประจักษ์พยานถึงภูมิปัญญาและความสร้างสรรค์ของบรรพบุรุษชาวจีน นักท่องเที่ยวจะได้เห็นงานฝีมืออันประณีตของภาชนะสำริด รูปปั้นดินเผา และเครื่องประดับต่างๆ ซึ่งล้วนสะท้อนถึงความรุ่งเรืองของราชวงศ์ที่เคยปกครองในเหอหนาน การใช้เทคโนโลยีการจัดแสดงที่ทันสมัยยังช่วยเสริมให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีชีวิตชีวา ทำให้พิพิธภัณฑ์เหอหนานเป็นสถานที่ที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนอย่างแท้จริง
เมืองไคเฟิง (Kaifeng)
ไคเฟิงเป็นเมืองหลวงโบราณที่เปี่ยมด้วยเรื่องราวและมนต์เสน่ห์ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเหลือง เคยเป็นเมืองหลวงของราชวงศ์ซ่งเหนือ ซึ่งเป็นยุคทองของวัฒนธรรมและเศรษฐกิจจีน ความรุ่งเรืองในอดีตยังคงทิ้งร่องรอยให้เห็นได้จากสถานที่สำคัญหลายแห่ง เช่น เจดีย์เหล็ก (Iron Pagoda) ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1049 (พ.ศ. 1592) เป็นเจดีย์ที่ทำจากอิฐสีน้ำตาลเข้มที่ดูคล้ายเหล็ก ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมือง และยังคงยืนหยัดอย่างสง่างามมานับพันปี แม้จะเคยผ่านเหตุการณ์แผ่นดินไหวและภัยพิบัติหลายครั้ง แต่ก็ยังคงความงามและแข็งแกร่ง
นอกจากนี้ยังมี ศาภามังกร (Dragon Pavilion) ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังในอดีต แม้ตัวอาคารเดิมจะไม่เหลืออยู่แล้ว แต่บริเวณนี้ยังคงเป็นสวนสาธารณะที่สวยงามและเป็นแหล่งรวมของเรื่องราวประวัติศาสตร์ วัดเซียงกั่ว (Xiangguo Temple) เป็นหนึ่งในวัดพุทธที่มีชื่อเสียงที่สุดของจีน มีประวัติยาวนานตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฉีเหนือ (ค.ศ. 550–577) และเคยเป็นศูนย์กลางสำคัญทางพุทธศาสนา และห้ามพลาดกับอุทยานเมืองพันปี (Millennium City Park หรือ Qingming Riverside Landscape Garden) ซึ่งเป็นสวนสนุกเชิงวัฒนธรรมที่จำลองวิถีชีวิตและสถาปัตยกรรมของไคเฟิงในสมัยราชวงศ์ซ่ง โดยจำลองมาจากภาพวาด "Along the River During the Qingming Festival" ที่มีชื่อเสียง นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่น ชิมอาหาร และชมการแสดงที่ทำให้รู้สึกเหมือนย้อนเวลากลับไปสู่ไคเฟิงในอดีต
ภูเขาซงซาน (Mount Song)
ภูเขาซงซาน ซึ่งตั้งอยู่ในเมืองเติงเฟิง (Dengfeng) เป็นหนึ่งในห้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่ของจีน (Five Great Mountains) และมีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง ภูเขาแห่งนี้เป็นที่ตั้งของวัดเส้าหลินอันโด่งดัง ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของพระพุทธศาสนานิกายเซนและกังฟู ทำให้ภูเขาซงซานกลายเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณและศิลปะการต่อสู้ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก นอกจากวัดเส้าหลินแล้ว บนภูเขาซงซานยังเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญอื่นๆ เช่น สำนักซงหยาง (Songyang Academy) ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักวิชาโบราณที่ยิ่งใหญ่ของจีน ที่เคยเป็นศูนย์กลางการศึกษาปรัชญาขงจื๊อ และวัดจงเยว่ (Zhongyue Temple) ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าวัดเต๋าที่สำคัญที่สุดของจีน
การปีนเขาซงซานไม่เพียงแต่เป็นการผจญภัยทางกายภาพ แต่ยังเป็นการเดินทางทางจิตวิญญาณ ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับทัศนียภาพอันงดงามของป่าไม้หนาทึบ หน้าผาสูงชัน และเจดีย์โบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ตามไหล่เขา เส้นทางเดินป่ามีหลายระดับความยาก เหมาะสำหรับทั้งนักปีนเขามือใหม่และผู้มีประสบการณ์ ระหว่างทางจะได้พบกับวัดวาอาราม ศาลเจ้า และจารึกโบราณที่ซ่อนตัวอยู่ตามซอกหิน ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยเรื่องราวและความน่าค้นหา ภูเขาซงซานจึงเป็นสถานที่ที่ผสมผสานความงามของธรรมชาติเข้ากับมรดกทางวัฒนธรรมได้อย่างลงตัว
ภูเขาหยุนไถ (Yuntai Mountain)
ภูเขาหยุนไถ ตั้งอยู่ในเมืองเจียวจั้ว (Jiaozuo) เป็นพื้นที่ชมทิวทัศน์ระดับ 5A ของประเทศจีน ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของการจัดอันดับแหล่งท่องเที่ยวในจีน ภูเขาแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านทิวทัศน์ธรรมชาติอันตระการตา โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุบเขาที่ลึก น้ำตกที่ไหลลดหลั่นลงมาอย่างสวยงาม และหน้าผาหินทรายสีแดงที่ตั้งตระหง่านอย่างโดดเด่น ความงามของธรรมชาติที่นี่ทำให้รู้สึกราวกับได้ก้าวเข้าสู่ภาพวาดทิวทัศน์จีนโบราณที่มีชีวิต น้ำตกที่นี่มีความสูงและแรงที่แตกต่างกัน สร้างเสียงดนตรีจากธรรมชาติที่ไพเราะ
หนึ่งในไฮไลท์ของภูเขาหยุนไถคือน้ำตกหยุนไถ (Yuntai Waterfall) ซึ่งเป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในประเทศจีนด้วยความสูงถึง 314 เมตร ไหลลงมาจากหน้าผาสูงชันอย่างน่าเกรงขาม บริเวณโดยรอบมีเส้นทางเดินเท้าที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าถึงจุดชมวิวต่างๆ และสัมผัสความงามของหุบเขาได้อย่างใกล้ชิด นอกจากน้ำตกแล้ว ยังมีถ้ำหิน หน้าผาที่แปลกตา และธารน้ำใสสะอาด ที่ทำให้ภูเขาหยุนไถเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจและแหล่งผจญภัยที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่รักธรรมชาติและต้องการหลีกหนีความวุ่นวายของเมือง
พื้นที่ชมวิวแม่น้ำเหลือง (Yellow River Scenic Area)
พื้นที่ชมวิวแม่น้ำเหลือง ใกล้กับเจิ้งโจว (Zhengzhou) เป็นอีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจที่ให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของแม่น้ำเหลือง หรือ "แม่น้ำมารดาของชนชาติจีน" แม่น้ำสายนี้ไม่ได้เป็นเพียงเส้นทางน้ำ แต่เป็นหัวใจของประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน การได้มาเยือนบริเวณนี้ทำให้เราได้ตระหนักถึงความสำคัญของแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงอารยธรรมมานับพันปี พร้อมกับทัศนียภาพอันกว้างใหญ่ไพศาลของแม่น้ำที่ไหลอย่างช้าๆ แต่ทรงพลัง สีเหลืองของน้ำที่เกิดจากตะกอนดินเหนียวก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่หาชมได้ยาก
ในบริเวณนี้มีอนุสาวรีย์และจุดชมวิวหลายแห่งที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่แม่น้ำเหลืองและบรรพบุรุษของจีน หนึ่งในนั้นคือรูปปั้นขนาดใหญ่ของจักรพรรดิเหลืองและจักรพรรดิหยาน (Yan Emperor) ซึ่งเป็นบรรพบุรุษร่วมกันของชาวจีน ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินเขา มองเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำเบื้องล่าง นักท่องเที่ยวสามารถเดินเล่นในสวนสาธารณะ ล่องเรือในแม่น้ำ (บางช่วงเวลา) หรือเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์การจัดการน้ำท่วมและการพัฒนาที่เกี่ยวข้องกับแม่น้ำเหลือง พื้นที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่สะท้อนถึงความผูกพันอันลึกซึ้งระหว่างชาวจีนกับแม่น้ำสายนี้ และเป็นแหล่งรวมของเรื่องราว ตำนาน และความพยายามของมนุษย์ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ
เทศกาลดอกโบตั๋นลั่วหยาง (Luoyang Peony Festival)
เทศกาลดอกโบตั๋นลั่วหยาง จัดขึ้นทุกเดือนเมษายน ถือเป็นเทศกาลประจำปีที่งดงามและมีชื่อเสียงระดับโลก ดอกโบตั๋นในวัฒนธรรมจีนเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความสง่างาม และความโชคดี การมาเยือนลั่วหยางในช่วงเทศกาลนี้จึงเป็นการดื่มด่ำกับความงามอันตระการตาของดอกโบตั๋นหลากหลายสายพันธุ์ที่เบ่งบานเต็มที่ทั่วทั้งเมือง สวนดอกไม้หลายแห่ง เช่น สวนดอกโบตั๋นแห่งชาติลั่วหยาง (Luoyang National Peony Garden) และสวนดอกโบตั๋นหวังเฉิง (Wangcheng Park) จะเต็มไปด้วยดอกโบตั๋นหลากสีสัน ส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วบริเวณ
เทศกาลนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การจัดแสดงดอกไม้ แต่ยังเป็นงานเฉลิมฉลองทางวัฒนธรรมที่มีการแสดงพื้นเมือง ดนตรี และศิลปะต่างๆ ผู้มาเยือนจะได้ชมการแสดงการเต้นรำ การร้องเพลง และกิจกรรมทางวัฒนธรรมอื่นๆ ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์และประเพณีของลั่วหยาง การเดินเล่นในสวนดอกไม้ท่ามกลางดอกโบตั๋นที่บานสะพรั่งเป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและไม่เหมือนใคร ทำให้ผู้มาเยือนรู้สึกถึงความเบิกบานและความมีชีวิตชีวา เทศกาลดอกโบตั๋นลั่วหยางจึงเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมเมืองหลวงโบราณแห่งนี้ และสัมผัสกับความงามที่ธรรมชาติมอบให้ ผสมผสานกับวัฒนธรรมอันรุ่มรวย
สถานที่น่าสนใจอื่นๆ
เหอหนานยังคงมีสถานที่น่าสนใจอื่นๆ อีกมากมายที่รอการค้นพบ แต่ละแห่งล้วนมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เช่น วัดต้าเซียงกั่ว (Daxiangguo Temple) ในไคเฟิง ซึ่งเป็นวัดพุทธขนาดใหญ่ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน เคยเป็นวัดหลวงและมีอิทธิพลอย่างมากในช่วงราชวงศ์ซ่ง ศาลเจ้าเปากง (Baogong Memorial Temple) ที่อุทิศให้กับท่านเปาบุ้นจิ้น ขุนนางผู้ซื่อสัตย์และยุติธรรมในสมัยราชวงศ์ซ่ง ซึ่งเป็นบุคคลสำคัญในนิทานพื้นบ้านและวัฒนธรรมจีน
สำหรับผู้ที่ชื่นชอบธรรมชาติ เหอหนานมีอุทยานแห่งชาติหลายแห่งที่งดงามและยังคงความบริสุทธิ์ของธรรมชาติไว้ เช่น อุทยานแห่งชาติจีกงซาน (Jigongshan National Park) ที่มีชื่อเสียงด้านทิวทัศน์ที่สวยงามและสภาพอากาศที่เย็นสบาย เหมาะสำหรับการพักผ่อนในช่วงฤดูร้อน อุทยานแห่งชาติหลินลู่ซาน (Linlüshan National Park) ที่มีหุบเขาและป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ อุทยานแห่งชาติชิงเทียนเหอ (Qingtianhe National Park) ที่โดดเด่นด้วยลำธารใสและหุบเขาหินที่แปลกตา อุทยานแห่งชาติเสินหนงซาน (Shennongshan National Park) ซึ่งตั้งชื่อตามเสินหนง บรรพบุรุษในตำนานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและการแพทย์ และ อุทยานแห่งชาติสือเหรินซาน (Shirenshan National Park) ที่มีภูมิทัศน์ภูเขาหินแกรนิตที่สวยงามและรูปทรงแปลกตา อุทยานเหล่านี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการเดินป่า พักผ่อน และสัมผัสกับความหลากหลายทางชีวภาพของมณฑลเหอหนาน
การเดินทางสู่มณฑลเหอหนานเป็นการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจและแรงบันดาลใจอย่างแท้จริง ดินแดนแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งของประเทศจีน แต่เป็นหัวใจที่เต้นรัวของอารยธรรมจีน เป็นแหล่งกำเนิดของประวัติศาสตร์อันยาวนาน วัฒนธรรมอันล้ำลึก และภูมิปัญญาที่หล่อหลอมโลกให้เป็นเช่นทุกวันนี้ ตั้งแต่ถ้ำหลงเหมินอันศักดิ์สิทธิ์ที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปนับแสนองค์ ไปจนถึงวัดเส้าหลินอันเป็นตำนานที่ซึ่งศิลปะการต่อสู้กังฟูถือกำเนิดขึ้น ทุกย่างก้าวในเหอหนานคือการเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษผู้ยิ่งใหญ่
เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์โบราณที่เคยปกครองจากเมืองหลวงที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งเรือง ได้เห็นหลักฐานของการประดิษฐ์อันชาญฉลาดที่เปลี่ยนโฉมหน้าประวัติศาสตร์ และได้ชื่นชมความงามตามธรรมชาติอันหลากหลาย ตั้งแต่ที่ราบอันอุดมสมบูรณ์ไปจนถึงเทือกเขาสลับซับซ้อนที่โอบล้อมเรื่องราวและตำนานอันศักดิ์สิทธิ์ เหอหนานคือดินแดนที่ยังคงรักษาจิตวิญญาณแห่งอดีตไว้ได้อย่างน่าทึ่ง ในขณะเดียวกันก็ก้าวไปข้างหน้าด้วยชีวิตชีวา
การเดินทางครั้งนี้ได้เปิดโลกทัศน์และเติมเต็มความรู้สึกซาบซึ้งในมรดกทางวัฒนธรรมอันยิ่งใหญ่ของจีน ทำให้เราตระหนักว่าเหอหนานไม่ใช่แค่จุดหมายปลายทาง แต่เป็นประสบการณ์ที่จะอยู่ในความทรงจำตลอดไป มันคือบทเรียนประวัติศาสตร์ที่มีชีวิต คือผืนผ้าใบทางศิลปะที่ไม่มีวันสิ้นสุด และคือแหล่งกำเนิดแห่งความเชื่อและปรัชญาที่ยังคงสะท้อนก้องมาจนถึงทุกวันนี้ การเดินทางสู่เหอหนานจึงเป็นการเดินทางสู่ต้นกำเนิดแห่งอารยธรรม ที่ซึ่งคุณจะได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของโลกและจิตวิญญาณของมนุษย์ที่สร้างสรรค์สิ่งอันยิ่งใหญ่มาตลอดกาล
.
-------------------------
ที่มา
-
รวบรวมข้อมูลและรูป
-------------------------
ดูเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่
รวมเรื่องราวการท่องเที่ยว iok2u
-------------------------
