iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ

เที่ยวจีน เหอหนาน ลั่วหยาง ถ้ำหินหลงเหมิน (Longmen Grottoes)

 

แผนที่ https://maps.app.goo.gl/NvyyijAA2KuSMoDA8

ถ้ำหินหลงเหมิน: มหัศจรรย์แห่งศรัทธา สลักเสลาจากหินสู่จิตวิญญาณนิรันดร์

ลองหลับตาจินตนาการถึงภูเขาหินปูนสูงตระหง่านทอดตัวยาวริมแม่น้ำอันเงียบสงบ ตลอดแนวผาหินนั้นเต็มไปด้วยเรื่องราวแห่งศรัทธาที่ถูกสลักเสลาลงบนเนื้อหินมานานนับพันปี นี่ไม่ใช่เพียงแค่ภาพวาดในจินตนาการ แต่คือความจริงอันน่าอัศจรรย์ ณ ถ้ำหินหลงเหมิน (Longmen Grottoes) มรดกโลกที่ได้รับการยกย่องจาก UNESCO และ National Geographic ว่าเป็นหนึ่งในการแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของมนุษย์ที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และเป็นจุดสูงสุดของงานแกะสลักหินของจีน การเดินทางสู่ถ้ำหินหลงเหมินจึงไม่ใช่แค่การเยี่ยมชมสถานที่ทางประวัติศาสตร์ แต่เป็นการดำดิ่งสู่ห้วงเวลาแห่งอารยธรรม ความศรัทธา และศิลปะอันน่าทึ่ง

เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ สายลมที่พัดผ่านช่องเขาและแม่น้ำอี้ (Yi River) จะนำพากลิ่นอายของอดีตกาลมาสัมผัสเรา ราวกับกระซิบเล่าเรื่องราวของจักรพรรดิผู้ทรงอำนาจ พระภิกษุผู้เปี่ยมด้วยศรัทธา และช่างฝีมือผู้มีจิตวิญญาณศิลปิน ผู้ซึ่งอุทิศชีวิตเพื่อสร้างสรรค์พุทธศิลป์อันยิ่งใหญ่เหล่านี้ขึ้นมา ผาหินสูงชันที่เคยเป็นเพียงผืนหินธรรมชาติได้กลายเป็นผืนผ้าใบขนาดมหึมาที่บรรจงรังสรรค์ภาพพุทธประวัติ เทพยดา และผู้ศรัทธา ให้คงอยู่คู่กาลเวลา แม้จะผ่านพ้นแดดฝนและลมหนาวมาหลายศตวรรษ แต่ร่องรอยแห่งความยิ่งใหญ่ยังคงปรากฏชัดเจน และสะกดทุกสายตาให้หยุดนิ่งด้วยความเคารพและชื่นชม

การสำรวจถ้ำหินหลงเหมินคือการผจญภัยที่พาเราเดินทางผ่านยุคสมัยของราชวงศ์เว่ยเหนือและราชวงศ์ถัง ยุคที่พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดในประเทศจีน ทุกย่างก้าวที่เราเดินไปตามทางเดินแคบๆ เลียบหน้าผา เราจะได้พบกับพระพุทธรูปองค์แล้วองค์เล่า แต่ละองค์ล้วนมีเอกลักษณ์และเรื่องราวที่แตกต่างกันไป ตั้งแต่พระพุทธรูปองค์เล็กจิ๋วขนาดเพียงหนึ่งนิ้ว ไปจนถึงพระพุทธรูปประธานขนาดมหึมาที่สูงตระหง่านดุจภูเขาหิน ภาพแกะสลักนูนต่ำที่บอกเล่าเรื่องราวในพุทธศาสนา รูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่เปี่ยมด้วยเมตตา และเหล่านักรบผู้พิทักษ์ธรรมที่ดูสง่างาม ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความอลังการของศิลปะในยุคสมัยนั้นได้อย่างชัดเจน

ถ้ำหินหลงเหมินจึงเป็นมากกว่าแหล่งโบราณคดี เป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งความเลื่อมใส เป็นหอศิลป์ธรรมชาติที่กาลเวลาและมนุษย์ร่วมกันรังสรรค์ขึ้น และเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความไม่ย่อท้อและความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัดของบรรพบุรุษชาวจีน การมาเยือนที่นี่จึงเป็นการเปิดโลกทัศน์ทางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ที่ไม่เหมือนใคร พร้อมกับสร้างความประทับใจที่ยากจะลืมเลือน และกระตุ้นให้เราหวนคิดถึงพลังแห่งศรัทธาที่สามารถเนรมิตสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้นได้จริงบนโลกใบนี้

ที่ตั้งและภูมิประเทศ

ถ้ำหินหลงเหมินตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ห่างจากใจกลางเมืองลั่วหยางประมาณ 12 กิโลเมตร หรือ 13 กิโลเมตร (ตามข้อมูลจาก Lonely Planet) โดยมีตำแหน่งที่แม่น้ำอี้ (Yi River) ไหลผ่านกลางภูเขาเซียงซาน (Mount Xiang) และภูเขาหลงเหมิน (Mount Longmen) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "หลงเหมิน" ที่แปลว่า "ประตูมังกร" เนื่องจากลักษณะของภูเขาทั้งสองที่ขนาบแม่น้ำดูคล้ายประตูที่มังกรกำลังจะทะยานออกไป

ภูมิประเทศโดยรอบเป็นหินปูนสูงชันทอดตัวยาวเลียบแม่น้ำอี้เป็นระยะทางกว่า 1 กิโลเมตร หรือมากกว่าหนึ่งกิโลเมตร ซึ่งเป็นลักษณะที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการแกะสลักถ้ำและพระพุทธรูปขนาดใหญ่ลงบนหน้าผาโดยตรง บรรยากาศเงียบสงบและงดงามด้วยธรรมชาติของสายน้ำและขุนเขาที่โอบล้อม ช่วยเสริมให้งานศิลปะอันศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้มีความขลังและน่าค้นหามากยิ่งขึ้น

สภาพภูมิอากาศของเมืองลั่วหยางซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำหินหลงเหมิน ไม่มีข้อมูลอุณหภูมิที่ระบุเป็นหน่วยองศาเซลเซียสอย่างชัดเจนในรายงาน แต่โดยทั่วไปแล้วเมืองลั่วหยางมีภูมิอากาศแบบทวีปชื้น ซึ่งหมายความว่ามีฤดูร้อนที่ร้อนจัดและฤดูหนาวที่หนาวเย็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน (กรกฎาคม-สิงหาคม) อากาศจะอบอุ่นถึงร้อน ในขณะที่ฤดูหนาวจะหนาวเย็นและอาจมีหิมะตก การเยี่ยมชมควรพิจารณาสภาพอากาศตามฤดูกาลเพื่อเตรียมตัวให้เหมาะสม

ประวัติศาสตร์

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของถ้ำหินหลงเหมินเริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 1036 (ค.ศ. 493) ในช่วงปลายราชวงศ์เว่ยเหนือ หลังจากจักรพรรดิเสี้ยวเหวิน (Emperor Xiaowen) ทรงย้ายราชธานีมายังเมืองลั่วหยาง การย้ายเมืองหลวงในครั้งนั้นนำมาซึ่งการแพร่หลายของพุทธศาสนาและการสร้างสรรค์งานศิลปะพุทธบูชาขนาดใหญ่ ถ้ำแห่งแรกๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคนี้คือถ้ำกูหยาง (Guyang Cave) และถ้ำปินหยางกลาง (Middle Binyang Cave) ซึ่งสะท้อนลักษณะศิลปะแบบราชวงศ์เว่ยเหนือที่มีความละเอียดอ่อนและสง่างาม

การแกะสลักถ้ำและพระพุทธรูปดำเนินต่อเนื่องยาวนานกว่าสี่ศตวรรษ โดยมีช่วงเวลาที่เข้มข้นที่สุดคือตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 8 ซึ่งครอบคลุมทั้งราชวงศ์เว่ยเหนือและราชวงศ์ถัง โดยประมาณ 30% ของรูปปั้นมาจากราชวงศ์เว่ยเหนือ และ 60% มาจากราชวงศ์ถัง งานแกะสลักที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นการแสดงออกทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการเผยแผ่ศาสนาพุทธ และเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจและความศรัทธาของชนชั้นปกครอง รวมถึงจักรพรรดิและชนชั้นสูงที่ให้การอุปถัมภ์การสร้างสรรค์งานเหล่านี้

ยุคทองของการสร้างสรรค์ถ้ำหินหลงเหมินคือในสมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 7 ซึ่งเป็นช่วงที่พุทธศาสนารุ่งเรืองถึงขีดสุด จักรพรรดินีบูเช็กเทียน (Empress Wu Zetian) ทรงเป็นผู้อุปถัมภ์คนสำคัญในการสร้างสรรค์ถ้ำเฟิงเซียน (Fengxian Temple Grotto) ซึ่งเป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุด โดยเชื่อกันว่าพระพักตร์ของพระพุทธรูปไวโรจนะประธานในถ้ำนี้จำลองมาจากพระพักตร์ของพระนางเอง การสร้างสรรค์งานพุทธศิลป์เหล่านี้จึงเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์การเมืองและสังคมจีนอย่างแยกไม่ออก

แม้ว่าถ้ำหินหลงเหมินจะได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ การป่าเถื่อน และการลักลอบขโมยโบราณวัตถุในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่ส่วนที่ยังคงหลงเหลืออยู่ก็ยังคงแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และคุณค่าทางศิลปะอย่างมหาศาล ปัจจุบัน ถ้ำหินหลงเหมินเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญยิ่งของประเทศจีน และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ในปี พ.ศ. 2543 (ค.ศ. 2000) ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมในระดับโลก

ตำนานและความสำคัญ

ถ้ำหินหลงเหมินไม่ได้เป็นเพียงแค่แหล่งรวบรวมงานแกะสลักหิน แต่ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยตำนานและความเชื่ออันลึกซึ้งที่สะท้อนถึงพลังแห่งศรัทธาและอิทธิพลของพุทธศาสนาในสังคมจีนโบราณ ตำนานที่โดดเด่นที่สุดประการหนึ่งคือเรื่องราวของพระพุทธรูปไวโรจนะประธานในถ้ำเฟิงเซียน (Fengxian Temple Cave) ซึ่งเชื่อกันว่าพระพักตร์ของพระองค์จำลองมาจากจักรพรรดินีบูเช็กเทียนผู้ทรงอำนาจแห่งราชวงศ์ถัง เรื่องเล่านี้ไม่เพียงแต่เน้นย้ำถึงความศรัทธาอันแรงกล้าของจักรพรรดินีที่มีต่อพุทธศาสนา แต่ยังสะท้อนถึงบทบาทของพระองค์ในฐานะผู้อุปถัมภ์ศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งถือเป็นเรื่องราวที่น่าทึ่งที่เชื่อมโยงระหว่างผู้ปกครองสูงสุดกับพุทธศิลป์อันยิ่งใหญ่

ในด้านความสำคัญ ถ้ำหินหลงเหมินเป็น "พระไตรปิฎกในหิน" เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่ถูกจารึกไว้บนหน้าผาอย่างถาวร สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งรวมงานพุทธศิลป์ที่หลากหลายและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของจีน ประกอบด้วยถ้ำและช่องเจาะกว่า 2,300 แห่ง ประดิษฐานพระพุทธรูปหินกว่า 110,000 องค์ เจดีย์พุทธกว่า 60 องค์ และจารึกบนศิลาจารึกกว่า 2,800 รายการ ตลอดระยะเวลาการสร้างสรรค์กว่า 400 ปี ศิลปะที่ปรากฏในถ้ำหินหลงเหมินสะท้อนให้เห็นถึงวิวัฒนาการของศิลปะพุทธจีน ตั้งแต่ความเรียบง่ายและสง่างามของราชวงศ์เว่ยเหนือ ไปจนถึงความอลังการและสมจริงของราชวงศ์ถัง

การออกแบบทางสถาปัตยกรรมของถ้ำเหล่านี้แสดงถึงความเชี่ยวชาญอันน่าทึ่งของช่างแกะสลักโบราณ ตัวอย่างเช่น พระพุทธรูปไวโรจนะในถ้ำเฟิงเซียน ซึ่งเป็นประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด มีความสูงถึง 17.14 เมตร (56 ฟุต) ขณะประทับนั่ง โดยมีใบหูเพียงอย่างเดียวมีความยาวถึง 2 เมตร (6.56 ฟุต) รายล้อมด้วยพระโพธิสัตว์และเทพผู้พิทักษ์ธรรมขนาดใหญ่ ซึ่งสูงตระหง่านและดูมีชีวิตชีวา รายละเอียดของการแกะสลักเสื้อผ้า รอยยิ้ม และการแสดงออกทางสีหน้า ล้วนเป็นงานฝีมือชั้นเลิศที่แสดงให้เห็นถึงความลึกซึ้งทางศิลปะและเทคนิคการแกะสลักหินในสมัยนั้น นอกจากนี้ ถ้ำบางแห่งยังคงมีร่องรอยของสีสันเดิมที่เคยถูกทาไว้ แสดงให้เห็นถึงความงดงามที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นภาพที่สดใสและมีชีวิตชีวา

ความสำคัญทางวัฒนธรรมของถ้ำหินหลงเหมินยังรวมถึงการเป็นศูนย์กลางการศึกษาและเผยแผ่พระพุทธศาสนาในอดีต จารึกต่างๆ บนศิลาจารึกให้ข้อมูลอันล้ำค่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ ศาสนา และสังคมในสมัยโบราณ สถานที่แห่งนี้จึงเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับนักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี และผู้สนใจในวัฒนธรรมจีนและพุทธศาสนาทั่วโลก การได้รับการยอมรับจาก UNESCO ให้เป็นมรดกโลกในปี 2000 เป็นการยืนยันถึงคุณค่าสากลอันโดดเด่นของถ้ำหินหลงเหมิน ในฐานะที่เป็นประจักษ์พยานแห่งความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ที่ไร้กาลเวลา และเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบของมรดกทางวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ไว้สำหรับคนรุ่นหลัง

ไฮไลท์และจุดที่น่าสนใจ

ถ้ำเฟิงเซียน (Fengxian Temple Grotto)

ถ้ำเฟิงเซียนคือหัวใจและจุดสูงสุดของการเยี่ยมชมถ้ำหินหลงเหมิน สร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์ถังระหว่างปี พ.ศ. 1215-1218 (ค.ศ. 672-675) ภายใต้การอุปถัมภ์อันแข็งแกร่งของจักรพรรดินีบูเช็กเทียน ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำที่ใหญ่ที่สุดและงดงามที่สุดในบรรดาถ้ำทั้งหมดที่หลงเหมิน โดดเด่นด้วยกลุ่มพระพุทธรูป 9 องค์ขนาดมหึมาที่ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงลงบนหน้าผาหินปูนที่เปิดโล่ง พระพุทธรูปประธานคือพระไวโรจนะ ผู้ทรงประทับนั่งอย่างสง่างาม ด้วยความสูงถึง 17.14 เมตร (56 ฟุต) ซึ่งสูงตระหง่านราวกับภูเขาหินน้อยใหญ่ รายละเอียดบนพระพักตร์ที่สงบนิ่งและเปี่ยมด้วยเมตตา ว่ากันว่าได้จำลองแบบมาจากพระพักตร์ของจักรพรรดินีบูเช็กเทียนเอง แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างศาสนา ศิลปะ และอำนาจทางการเมืองในยุคสมัยนั้น

พระพุทธรูปไวโรจนะถูกขนาบข้างด้วยพระโพธิสัตว์ 2 องค์, พระสาวก 2 องค์, เทพแห่งสวรรค์ 2 องค์ และนักรบผู้พิทักษ์ธรรม 2 องค์ โดยมีเพียงใบหูของพระพุทธรูปไวโรจนะที่ยาวถึง 2 เมตร การจัดวางองค์ประกอบของกลุ่มพระพุทธรูปนี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงความสมดุลทางศิลปะเท่านั้น แต่ยังสื่อถึงโลกทัศน์ทางพุทธศาสนาอันสมบูรณ์แบบ ความยิ่งใหญ่ของถ้ำเฟิงเซียนยังเป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งเรืองของราชวงศ์ถังและสถานะของเมืองลั่วหยางในฐานะศูนย์กลางทางวัฒนธรรมและศาสนาที่สำคัญ การได้ยืนอยู่เบื้องหน้างานแกะสลักหินอันตระการตานี้ สร้างความรู้สึกทั้งอัศจรรย์ใจและนอบน้อมต่อความสามารถและความศรัทธาของมนุษย์ในอดีต ที่สามารถเนรมิตศิลปะอันยิ่งใหญ่นี้ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง

ถ้ำหมื่นพุทธ (Wanfo Cave)

ถ้ำหมื่นพุทธ หรือ Wanfo Cave สร้างเสร็จในปี พ.ศ. 1223 (ค.ศ. 680) ในสมัยราชวงศ์ถัง ได้รับการตั้งชื่อตามจำนวนพระพุทธรูปเล็กๆ จำนวนมหาศาลกว่า 15,000 องค์ที่ถูกแกะสลักไว้อย่างหนาแน่นบนผนังถ้ำ ทำให้ถ้ำแห่งนี้เปรียบเสมือนมหานครแห่งพระพุทธรูปที่แสดงถึงความศรัทธาอันไร้ขีดจำกัดของผู้สร้างสรรค์ แต่ละองค์แม้จะมีขนาดเล็ก แต่ก็มีความประณีตและรายละเอียดที่น่าทึ่ง ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงเทคนิคการแกะสลักหินขั้นสูงและความพากเพียรของช่างฝีมือในยุคนั้น นอกจากพระพุทธรูปเล็กๆ เหล่านี้แล้ว ภายในถ้ำยังมีพระพุทธรูปประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่ตรงกลาง บ่งบอกถึงความสำคัญและเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้ที่เข้ามาสักการะ

นอกจากจำนวนพระพุทธรูปที่น่าตื่นตาตื่นใจแล้ว ภายในถ้ำหมื่นพุทธยังมีการแกะสลักลวดลายและภาพเล่าเรื่องในพุทธศาสนาอีกมากมาย ทำให้ถ้ำแห่งนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่ไม่ควรพลาดสำหรับผู้ที่ต้องการสัมผัสกับความงามและความหลากหลายของพุทธศิลป์ที่หลงเหมิน การเดินสำรวจภายในถ้ำที่เต็มไปด้วยพระพุทธรูปนับหมื่นองค์นี้ ให้ความรู้สึกราวกับได้หลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งที่เต็มไปด้วยความสงบและศรัทธาอันแรงกล้า แม้ว่าบางส่วนจะได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะของธรรมชาติและกาลเวลา แต่ความงดงามและเรื่องราวที่ซ่อนอยู่ในแต่ละร่องรอยยังคงตรึงใจผู้มาเยือนได้อย่างไม่เสื่อมคลาย

ถ้ำปินหยาง (Binyang Caves)

ถ้ำปินหยางประกอบด้วยถ้ำหลักสามแห่ง ได้แก่ ถ้ำปินหยางเหนือ ถ้ำปินหยางกลาง และถ้ำปินหยางใต้ ถ้ำเหล่านี้สร้างขึ้นในช่วงราชวงศ์เว่ยเหนือ โดยถ้ำปินหยางกลางเป็นหนึ่งในถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดที่หลงเหมิน เริ่มต้นการแกะสลักในปี พ.ศ. 1048 (ค.ศ. 505) และยังคงมีร่องรอยของสีสันดั้งเดิมปรากฏอยู่ การแกะสลักในถ้ำปินหยางสะท้อนถึงรูปแบบศิลปะในช่วงต้นของราชวงศ์เว่ยเหนือ ซึ่งมีความสง่างามและเป็นธรรมชาติ มีความแตกต่างจากรูปแบบที่อลังการและสมจริงของราชวงศ์ถังอย่างชัดเจน รูปปั้นพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์และสาวกที่แกะสลักอยู่ภายในถ้ำมีความประณีตและงดงาม แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของพุทธศิลป์ในยุคแรกเริ่ม

ถ้ำปินหยางยังเป็นแหล่งรวมจารึกและภาพแกะสลักนูนต่ำที่บอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และพิธีกรรมทางศาสนา ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับนักวิชาการในการศึกษาพุทธศาสนาและวัฒนธรรมจีนโบราณ หนึ่งในไฮไลท์คือภาพแกะสลักของจักรพรรดิและจักรพรรดินีที่นำคณะผู้ติดตามถวายสักการะ ซึ่งเป็นภาพที่สะท้อนถึงประเพณีและขนบธรรมเนียมในราชสำนักสมัยนั้นได้อย่างมีชีวิตชีวา การได้เยี่ยมชมถ้ำปินหยางจึงเป็นการย้อนรอยอารยธรรมและศิลปะพุทธจีนในยุคบุกเบิก และได้เห็นถึงรากฐานอันมั่นคงที่นำไปสู่ความรุ่งเรืองของงานแกะสลักหินที่หลงเหมินในเวลาต่อมา

ถ้ำกูหยาง (Guyang Cave)

ถ้ำกูหยาง หรือ Guyangdong เป็นถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดและใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่ถ้ำหินหลงเหมิน เริ่มต้นการสร้างสรรค์ในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 5 ถ้ำแห่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะถ้ำแรกที่ถูกแกะสลักขึ้นหลังจากจักรพรรดิเสี้ยวเหวินย้ายเมืองหลวงมายังลั่วหยาง ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปสามองค์ที่มีขนาดใหญ่กว่าคนจริง ได้แก่ พระศากยมุนีประธาน และพระโพธิสัตว์สององค์ขนาบข้าง รูปแบบศิลปะในถ้ำกูหยางเป็นตัวแทนที่ชัดเจนของยุคราชวงศ์เว่ยเหนือ ด้วยการแกะสลักที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง สะท้อนถึงอิทธิพลของพุทธศาสนาจากอินเดียที่หลอมรวมกับศิลปะจีนดั้งเดิม

สิ่งที่ทำให้ถ้ำกูหยางมีความโดดเด่นยิ่งขึ้นคือการเป็นแหล่งรวมจารึกพุทธศาสนาจำนวนมาก ที่ถูกแกะสลักโดยชนชั้นสูงและบุคคลสำคัญต่างๆ ซึ่งแต่ละจารึกจะบอกเล่าถึงเจตนาของผู้สร้างในการอุทิศบุญกุศลและขอพร จารึกเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังเป็นบทกวีแห่งศรัทธาที่บอกเล่าเรื่องราวของผู้คนที่เข้ามามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์พุทธศิลป์อันยิ่งใหญ่นี้ ถ้ำกูหยางจึงเป็นทั้งแหล่งโบราณคดีที่เก่าแก่ที่สุดและเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณแห่งความศรัทธาที่ยังคงส่งผ่านเรื่องราวมาสู่ผู้มาเยือนในปัจจุบัน

ความยิ่งใหญ่และคุณภาพทางศิลปะ

ถ้ำหินหลงเหมินได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งใน "สามถ้ำใหญ่" ของจีน และถูกจัดอยู่ในอันดับสูงสุดในด้านคุณภาพทางศิลปะและความอลังการของประติมากรรมหิน สถานที่แห่งนี้เป็นมหกรรมของงานศิลปะที่แกะสลักอย่างพิถีพิถันลงบนหน้าผาหินปูนเป็นระยะทางกว่าหนึ่งกิโลเมตร ประกอบด้วยพระพุทธรูปและภาพแกะสลักนูนต่ำรวมกันกว่า 110,000 รูป ตั้งแต่ขนาดเล็กจิ๋วเพียง 1 นิ้ว ไปจนถึงขนาดมหึมาที่สูงถึง 17 เมตร แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายและวิวัฒนาการของศิลปะพุทธจีนในช่วงกว่า 400 ปี ความละเอียดของลวดลาย การแสดงออกทางสีหน้า และการจัดองค์ประกอบของภาพ ล้วนสะท้อนถึงฝีมือระดับปรมาจารย์ของช่างแกะสลักในอดีต

ยูเนสโกได้ยกย่องถ้ำหินหลงเหมินว่าเป็น "การแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะของมนุษย์ที่โดดเด่น" ซึ่งตอกย้ำถึงคุณค่าสากลของสถานที่แห่งนี้ คุณภาพของงานศิลปะที่นี่ไม่เพียงแต่เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความรุ่งเรืองของพุทธศาสนาในจีนเท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงระดับความซับซ้อนทางสังคมและวัฒนธรรมอันสูงส่งของราชวงศ์ถังที่สามารถสร้างสรรค์ผลงานระดับโลกเช่นนี้ได้ แม้ว่าบางส่วนจะได้รับความเสียหายจากการถูกทำลาย การกัดเซาะจากธรรมชาติ และการโจรกรรมในช่วงหลายศตวรรษที่ผ่านมา แต่ส่วนที่เหลือรอดมาได้ก็ยังคงมีพลังและน่าประทับใจอย่างไม่เสื่อมคลาย เป็นมรดกที่ล้ำค่าและควรค่าแก่การศึกษาและชื่นชมอย่างยิ่ง

สองฝั่งแม่น้ำอี้: ตะวันตกและตะวันออก

ถ้ำหินหลงเหมินตั้งอยู่ขนาบทั้งสองฝั่งของแม่น้ำอี้ โดยส่วนใหญ่ของงานแกะสลักพุทธศาสนาที่สำคัญและมีขนาดใหญ่จะอยู่บนฝั่งตะวันตก ซึ่งเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวใช้เวลาสำรวจเป็นหลัก ด้วยจำนวนถ้ำและรูปปั้นที่หนาแน่นกว่า มีทางเดินที่ทอดยาวเลียบหน้าผาให้เดินชมความงดงามของพุทธศิลป์ได้อย่างใกล้ชิด ในขณะที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำ แม้จะมีถ้ำและรูปปั้นจำนวนน้อยกว่า แต่ก็เป็นที่ตั้งของวัดและสวนหย่อมที่สวยงาม นักท่องเที่ยวสามารถข้ามสะพานจากฝั่งตะวันตกไปยังฝั่งตะวันออกเพื่อชมทัศนียภาพมุมกว้างของถ้ำหินหลงเหมินที่ทอดตัวยาวตามแนวแม่น้ำ ซึ่งเป็นภาพที่งดงามและน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง การได้เห็นภาพรวมของภูเขาที่เต็มไปด้วยถ้ำแกะสลักจากอีกฝั่งหนึ่ง ทำให้เราได้สัมผัสถึงความยิ่งใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ในมุมมองที่แตกต่างออกไป

การจัดแบ่งพื้นที่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำช่วยให้การสำรวจมีความหลากหลายและน่าสนใจยิ่งขึ้น บนฝั่งตะวันออก นอกจากจะได้เพลิดเพลินกับความสงบของวัดและสวนแล้ว ยังมีเส้นทางเดินและจุดชมวิวที่สวยงาม เหมาะสำหรับการถ่ายภาพและพักผ่อนหย่อนใจ ซึ่งแตกต่างจากฝั่งตะวันตกที่เน้นการชมศิลปะแกะสลักเป็นหลัก ผู้มาเยือนสามารถเลือกใช้บริการรถกอล์ฟไฟฟ้าหรือเรือนำเที่ยวเพื่อความสะดวกในการเดินทางสำรวจบริเวณกว้างใหญ่ของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ ซึ่งโดยรวมแล้วใช้เวลาประมาณ 3-4 ชั่วโมงในการเยี่ยมชมทั้งหมด การเดินทางข้ามไปมาระหว่างสองฝั่งแม่น้ำยังเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศและมุมมองที่ทำให้ประสบการณ์การสำรวจถ้ำหินหลงเหมินมีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

ถ้ำหินหลงเหมินไม่ใช่เพียงแค่การรวมตัวของถ้ำและรูปปั้นพุทธศาสนาบนหน้าผาเท่านั้น แต่เป็นหน้าต่างที่เปิดออกสู่โลกแห่งศรัทธา ศิลปะ และประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของจีน การเดินทางสู่มรดกโลกแห่งนี้คือการผจญภัยอันน่าอัศจรรย์ ที่ทุกย่างก้าวพาเราย้อนเวลากลับไปสู่ยุคสมัยที่ช่างฝีมือผู้เปี่ยมด้วยความเพียรพยายามได้บรรจงสลักเสลาเรื่องราวแห่งจิตวิญญาณลงบนเนื้อหินแข็งกระด้าง ก่อเกิดเป็นมหกรรมพุทธศิลป์ที่งดงามและทรงพลัง

ตั้งแต่พระพุทธรูปไวโรจนะองค์มหึมาในถ้ำเฟิงเซียนที่เปรียบเสมือนดวงวิญญาณแห่งหลงเหมิน ไปจนถึงพระพุทธรูปนับหมื่นองค์ในถ้ำหมื่นพุทธ และศิลปะอันสง่างามของราชวงศ์เว่ยเหนือในถ้ำปินหยางและกูหยาง ทุกถ้ำ ทุกรูปปั้น ล้วนสะท้อนถึงความศรัทธาอันแรงกล้า ความคิดสร้างสรรค์อันไร้ขีดจำกัด และความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรมของชนชาติจีนในอดีต แม้กาลเวลาจะผันผ่านและทิ้งร่องรอยไว้บนพื้นผิวหิน แต่จิตวิญญาณแห่งศิลปะและความเลื่อมใสยังคงส่องประกายอย่างไม่เสื่อมคลาย ณ ถ้ำหินหลงเหมินแห่งนี้

การมาเยือนถ้ำหินหลงเหมินจึงเป็นการเติมเต็มจิตวิญญาณด้วยความซาบซึ้งในมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้สร้างสรรค์ไว้ เป็นประสบการณ์ที่ทำให้เราตระหนักถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์ในการสร้างสรรค์สิ่งงดงามอมตะ และเป็นแรงบันดาลใจให้เราชื่นชมความมหัศจรรย์ของโลกใบนี้ ที่ยังคงมีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และงดงามเช่นนี้ให้เราได้ค้นพบและเรียนรู้ การเดินทางกลับจากหลงเหมินจึงไม่ใช่แค่ความทรงจำ แต่เป็นการพกพาเอาเรื่องราวแห่งศรัทธาและศิลปะอันยิ่งใหญ่กลับมาสู่หัวใจ ให้เราได้ระลึกถึงและแบ่งปันให้โลกได้รับรู้ตลอดไป

.

-------------------------

ที่มา

รวบรวมข้อมูลและรูป

www.iok2u.com

-------------------------

ดูเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่

เที่ยวจีน (Travel China)

เที่ยวรอบโลก (World Travel)

รวมเรื่องราวการท่องเที่ยว iok2u

-----------------------

ชมอัลปั้มภาพเพิ่มเติมที่

.

.

xxx

yyy

.

---------------------

 

 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward