CT51 การพัฒนาระบบศุลกากร และระบบ การค้าไร้เอกสาร: กรณีศึกษา ประเทศสิงคโปร์ (Development e-Custom & e-Trading System: Case Study Singapore)
ลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2551 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ผู้เขียน ดร. พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา
1 บทนำ
เนื่องจากระบบ Paperless เป็นระบบที่มีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน อีกทั้งยังเพิ่มประโยชน์ให้กับองค์กรหลายๆด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเพิ่มความรวดเร็วในการส่งเอกสารการลดการต้นทุนของการใช้ทรัพยากรแรงงาน และการลดต้นทุนการประกอบการต่าง ๆ ที่จะต้องใช้คนในการเดินเอกสาร ดังนั้นการที่องค์กรหรือบริษัทต่างๆ จะเริ่มนิยมหันมาให้ความสนใจกับระบบ Paperless นี้เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัวกันมากแล้วการและยังเป็นการช่วยลดการใช้กระดาษในการทำงานและในชีวิตประจำวัน เพื่อความประหยัด สะดวก รวดเร็ว และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน โดยการนำเทคโนโลยีมาใช้อย่างอย่างคุ้มค่า อันจะนำไปสู่การสงวนรักษาทรัพยากรธรรมชาติและพลังงานระบบการให้บริการผ่านทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องใช้เอกสารในส่วนที่ต้องใช้สำแดงกับเจ้าหน้าที่ในเบื้องต้น เช่น ใบขนสินค้าและบัญชีราคาสินค้า (Invoice) เป็นต้น เราควรมีการเปลี่ยนมาใช้ระบบ Paperless เพื่อช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่อาจจะเกิดขึ้น เนื่องจากการใช้ประมาณกระดาษที่เพิ่มมากขึ้น นอกจากการลดปริมาณการใช้กระดาษจะช่วยให้องค์กรมีต้นทุนที่ลดลงแล้ว ยังสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งของประเทศ สามารถเห็นได้จาก การพัฒนาด้าน ประเทศจีนที่มุ่งเน้นในการพัฒนาระบบ e-Customs, e-Port, และ e-Adminของประเทศจีน และ ความสำเร็จของประเทศสิงคโปร์ ที่มุ่งเน้นการพัฒนาระบบ IT เพื่อให้เป็น Intelligent Island
2 ระบบศุลกากรไร้เอกสารคืออะไร
ระบบการให้บริการผ่านพิธีการศุลกากรทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ต้องใช้เอกสารในส่วนที่ต้องใช้สำแดงกับเจ้าหน้าที่ศุลกากรในเบื้องต้น เช่นใบขนสินค้าและบัญชีราคาสินค้า (Invoice) เป็นต้น และมีการนำเทคโนโลยี PKI (Public Key Infrastructure) และการลงDigital Signature (Digital Signature) มาใช้ แทนการลงลายมือชื่อในกระดาษ พร้อมทั่งมีการปรับเปลี่ยนกระบวนการทำงานใหม่ (Process Redesign) เพื่อลดขั้นตอนการให้บริการด้วย ซึ่งจะสามารถทำให้ลดความซ้ำซ้อนในการบันทึกข้อมูล[1] นอกจากนั้น Mr. YounKyong Kang, Deputy Director, E-Business Policy Division, Ministry of Commerce, Industry & Energy, Republic of Korea ได้กล่าวในการประชุม APEC Initiative on Paperless Trade: Asia-Pacific Economic Cooperation ที่เมือง Geneva, Switzerland, 2006 ว่า ระบบ E-Custom (paperless) จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพการบริการจัด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขั้น ทั้งภาคธุรกิจ (ธนาคาร, บริษัทประกันภัย, ตัวแทนผู้ขนส่งสินค้า ฯ) และภาครัฐ (กรมศุลกากร กระทรวงพาณิชย์ ฯ) ดังนี้
- ลดค่าใช้จ่ายในสื่อสาร การส่งเอกสาร (Transportation & Communication Cost Reduction)
- ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินการ (Administration Cost Reduction)
- ลดความผิดพลาดของการส่งและจัดเก็บข้อมูล (Fewer Errors)
- เพิ่มประสิทธิภาพของระบบโซ่อุปทาน (Efficient Supply Chain)
อย่างไรก็ตามหัวใจในการทำระบบศุลกากรไร้เอกสารนั้นก็คือระบบความปลอดภัยในการส่งเอกสารและการลงนามเอกสาร ดังนั้นในการติดต่อกับศุลกากรด้วยระบบไร้เอกสารจะนั้นจะต้องประกอบด้วย องค์ประกอบที่สำคัญ 2 องค์ประกอบด้วยกัน คือ 1) Public Key Infrastructure (PKI) System; และ 2) Digital Signature
2.1) Public & Private Key Infrastructure (PKI)
Public Key Infrastructure (PKI) คือระบบป้องกันข้อมูลในการสื่อสารผ่านระบบ Paperlessโดยมีหลักการทำงานดังนี้
PKI จะใช้ กุญแจคู่ (Key pairs) ในการเข้ารหัสและถอดรหัสข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยกุญแจคู่นี้ประกอบด้วยกุญแจส่วนตัว (Private Key) และกุญแจสาธารณะ (Public key) กุญแจทั้งสองจะได้ มาพร้อมกับใบรับรองที่ CA ออกให้ การะบวนการในการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง Public Key & Private Key โดยผ่านการรับรับรอง CA และในการส่งผ่านข้อมูลจะมีการส่งผ่านไปที่ Registration Authority (RA) ได้แสดงดังแผนภาพที่ 1
โดยการเข้ารหัสด้วยกุญแจหนึ่งจะต้องถอดรหัสด้วยอีกกุญแจหนึ่งเท่านั้น กุญแจส่วนตัว (Private key) จะเก็บไว้ที่เจ้าของใบรับรองและกุญแจสาธารณะ (Public key) นั้น CA จะแจกจ่ายให้กับผู้อื่นเพื่อจะได้นำไปใช้ติดต่อกับเจ้าของใบรับรอง ด้วยหลักการของ PKI และการรับรองการใช้กุญแจคู่จาก CA ทำให้การสื่อสารข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตมีความปลอดภัยและเชื่อถือได้ โดยที่ CA จะออกให้โดย Certification Authority เป็นองค์กรที่เป็นที่เชื่อถือได้ ที่ทำหน้าที่เป็นบุคคลที่สามดำเนินการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ ให้กับผู้ทำธุระ กรรมอิเล็กทรอนิกส์
แผนภาพที่ 1 แผนภูมิแสดงระบบป้องกันข้อมูล Paperless
2.2) Digital Signature
อย่างไรก็ตามในระบบ Paperless สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ ระบบความปลอดภัยในการรับส่งเอกสาร และที่สำคัญที่สุดก็คือ การรับรองเอกสาร ดังนั้นการรักษาความปลอดภัยของการส่งข้อมูลในระบบ Paperless ซึ่ง SUN Microsystems[2] ได้อธิบายถึงปัจจัยพื้นฐานในการความเรื่องความปลอดภัยของระบบดังนี้ การอนุญาตให้บุคคลผู้มีสิทธ์ในการเข้าใช้ระบบ (User Authorisation) การควบคุมการเข้าถึง (Access Control) การรักษาความลับ (Confidentiality) ความถูกต้องครบถ้วนของข้อมูล (Integrity) และการป้องกันการปฏิเสธความรับผิด (Non - repudiation) นั้น จำเป็นต้องอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการรักษาความปลอดภัย ซึ่งเทคโนโลยีที่นิยมในปัจจุบัน ได้แก่ การลงลายมือชื่อดิจิตอล (Digital Signature)
Digital Signature เป็นDigital Signature สำหรับการลงDigital Signatureกำกับข้อความที่ต้องการส่งผ่านระบบ Paperless ผู้ส่งข้อความจะใช้ Private key ของตนในการลง Digital Signature เป็นการรับรองว่าข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่ส่งมานั้นเป็นข้อมูลที่ส่งโดยผู้ส่งที่อ้างไว้จริง และ ใช้Digital Signatureนี้ในการตรวจสอบข้อมูลว่ามีการปลอมแปลงในระหว่างขั้นตอนการส่งหรือไม่ เช่น การลงDigital Signatureกำกับ e-paper ซึ่งผู้ส่งจะใช้กุญแจส่วนตัว (Private key) ของตนทำการลงDigital Signatureกำกับe-paperฉบับนั้น และ ผู้รับจะสามารถตรวจสอบความถูกต้องของลายมือชื่อดังกล่าวโดยใช้Public Key ของผู้ส่ง ซึ่งลายมือชื่อของผู้ส่งจะถูกรับรองด้วยองค์กรออกใบรับรอง (Certification Authority: CA) โดยแสดงอยู่ในรูปของ "ใบรับรองดิจิตอล" (Digital Certification) ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าe-paperเป็นของผู้ส่งที่อ้างไว้จริง โดยในการตรวจสอบนั้นผู้รับจะต้องใช้กุญแจสาธารณะ (Public key) ที่อยู่ในใบรับรองของผู้ส่งมาทำการตรวจสอบe-paperที่ส่งมาว่ามาจากผู้ส่งจริง และไม่มีการปลอมแปลงข้อมูลระหว่างขั้นตอนการส่ง ดังแสดงในแผนภาพที่ 2
แผนภาพที่ 2 การแสดงการตรวจสอบ Digital Signature ของการระบบ Paperless
3) กรณีศึกษา: ประโยชน์ การพัฒนาระบบ e-Custom (Paperless) ในประเทศสิงคโปร์
ประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาระบบ IT มาตั้งแต่ในช่วงปี 1980 ดังแสดงในแผนภาพที่ 3 จนในปัจจุบันประเทศสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีระบบ IT ชั้นนำของโลก4 อย่างไรก็ตามพื้นฐานของการพัฒนาในการจัดการโลจิสติกส์ของสิงคโปรที่รุดหน้าจนได้รับการจัดอันดับว่าเป็นประเทศที่มี ความสามารถในการบริหารจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index: LPI) เป็นอันดับ 1 ของโลก จากการจัดอันดับของ World Bank[3] ในปี 2007
แผนภาพที่ 3 แนวทางการพัฒนาระบบ IT ของสิงคโปร์
Mr. Lee Yow Jinn[4] (2007) ได้สรุปประโยชน์ในการพัฒนาระบบ e-Custom (Paperless) และ e-Trading สำหรับการค้า การนำเข้า และส่งออก โดยมีการเชื่องโยงกับระบบที่เรียกว่า TradeNet ซึ่งจะมีการเชื่อมระบบ e-Custom เข้ากับหน่วยงานที่สำคัญ ๆ เช่น Port of Singapore (PSA), Custom & Excise Department (C&E), Civil Aviation Authority of Singapore (CAAS), และ Singapore Airline Terminal Service (SATS), Trader, Shipper Agent เป็นต้น (ดังแสดงในแผนภาที่ 4)
แผนภาพที่ 4 การเชื่อมโยงระบบ ICT, Paperless & e-Custom ของประเทศสิงคโปร์
จากการพัฒนาและเชื่องโยงระบบดังกล่าวสามารถทำให้สิงคโปร์เพิ่มระดับความมารถในการบริหารจัดการ ประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่ง Mr. Lee Yow Jinn ได้เปรียบเทียบประโยชน์ที่ได้รับในการพัฒนาระหว่างการใช้ระบบปกติที่ ใช้ทรัพยากรบุคคลในการดำเนินการด้านเอกสาร กับการนำระบบ TradeNet มาใช้ดังแสดงในแผนภาพที่ 5
4) สรุป
e-Custom & e-Trading เป็นระบบ ที่จะเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว เพิ่มความถูกต้อง ลดขั้นตอนและกระบวนการต่าง และ ลดค่าใช้จ่าย ต่าง ๆ ให้กับ องค์ของทั้งภาครัฐ และเอกชน นอกจากสามารถเพิ่มความความเร็วยังสามารถยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการทำงานโดย การเพิ่มอัตราการ Utilisation ทรัพยากร ทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่เกี่ยวข้องกับระบบการขนส่ง นำเข้า และส่งออกของสินค้า และประสิทธิภาพดังกล่าวนี้จะส่งผลให้เกิด การเพิ่มความสามารถความรวดเร็วและถูกต้องในการเชื่อมโยงติดต่อสื่อสารข้อมูลของประเทศ ซึ่งจะสามารถเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ”Greater Conectivity = Greater Competitiveness” ดังที่กล่าวไว้ในหนังสือ ”The World is Flat” โดย Thomas L. Friedman ดังที่ได้เห็นตัวอย่าง และนโยบายในการพัฒนาประเทศของประเทศสิงคโปร์
[1] http://lcbcustoms.net/index.php?p=faq&faq_id=7&area=1#8
[2] Sun Microsystem, Sun BluePrintsTM Online, Public Key Infrastructure: Overview – August 2001; by Joel Weise – SunPSSM Global Security Practice
[3] http://info.worldbank.org/etools/tradesurvey/mode1b.asp
[4] Lee Yow Jinn, 2007, Overview of Holistic Trade Facilitation and Customers Modernization in Singapore, by International Trade Institute of Singapore (ITIS)
--------------------------------
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
สนใจบทความอื่นในชุดนี้คลิกดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT51 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2551” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 80 บทความ นำมาจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษากรณีศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่