iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา

CT51 การพัฒนาโซ่อุปทานโดยใช้ RFID

ลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2551 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

ผู้เขียน ผศ.ดร.สถาพร อมรสวัสดิ์วัฒนา

บทนำ

การนำเทคโนโลยี Radio Frequency Identification (RFID) มาใช้ในการลดต้นทุนในโซ่อุปทาน โดยสามารถสนับสนุนความร่วมมือและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และส่งผลต่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามการนำ RFID มาใช้ในการบริหารโซ่อุปทานยังมีอุปสรรคหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านการตลาด ความปลอดภัย เป็นต้น

คำสำคัญ การจัดการโซ่อุปทาน, บาร์โค้ด, Universal Coding System

เทคโนโลยี RFID

ความพยายามในการลดต้นทุนของโซ่อุปทานของผู้ผลิต ผู้กระจายสินค้า และผู้ค้าปลีก ส่งผลให้มีการนำเอาเทคโนโลยีของ RFID มาใช้ในโซ่อุปทาน ซึ่งเทคโนโลยี RFID เป็นแท็กชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แสดงตัวตนของวัตถุต่างๆ ในอนาคตเทคโนโลยี RFID จะมีราคาถูกลงจนสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ในอุตสาหกรรมค้าปลีก

จากการที่ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ในประเทศสหรัฐอเมริกา เช่น Wal-Mart, Target Corp. และกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกาได้กำหนดให้ซัพพลายเออร์ใช้เทคโนโลยี RFID ทำให้เกิดการขยายตัวของการใช้ RFID เข้าสู่กระบวนการของโซ่อุปทาน เช่น Wal-Mart ได้กำหนดให้ซัพพลายเออร์รายใหญ่ 100 รายแรกติดตั้งชิพ RFID ลงบนกล่องและพาเลททุกชิ้นที่จะนำส่ง Wal-Mart ตั้งแต่ 1 มกราคม 2548 และให้ซัพพลายเออร์อีก 200 ราย ติดตั้งระบบ RFID ให้แล้วเสร็จภายใน 1 มกราคม 2549

จากการศึกษาของไรลีย์ ในวารสาร AMR Research ปี 2548 ซึ่งได้ทำการสำรวจบริษัท 500 แห่งในการใช้เทคโนโลยี RFID ระหว่างปี 2548 ถึง 2550 แสดงดังในรูปที่ 1

ที่มา: งานวิจัยเรื่อง “RFID: an enabler of supply chain operations” โดย Mohsen Attaran ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 12 เล่มที่ 4 ปี 2007 หน้า 249-257.

รูปที่ 1 สถานะของการใช้ RFID ของผู้ประกอบการ

จากรูปที่ 1 จะเห็นว่า 31% ของผู้ตอบได้มีการใช้หรือทดลองใช้ RFID แล้ว ในขณะที่ 69% จะมีการพิจารณาการใช้ RFID โดยมีงบประมาณการใช้ RFID เฉลี่ยที่ 548,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2548 เป็น 771,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2551 ในขณะที่มีบริษัทจำนวน 18% ยังไม่มีแผนในการใช้ RFID

ส่วนประกอบของ RFID

แท็ก (Tag)

แท็ก RFID เป็นชิพที่ติดกับสินค้าหรือพาเลทหรือกล่องของสินค้า ใช้เก็บและส่งข้อมูลของสินค้าที่เกี่ยวข้อง แท็กทำมาจากขดลวดทองแดงที่มีไอซี (Integrated Circuit) ต่อกับเสาอากาศที่บรรจุไว้ในภาชนะที่เหมาะสมและมีรูปทรงหลากหลาย ข้อมูลจะถูกเก็บในตัวไอซีและส่งผ่านทางเสาอากาศไปยังตัวอ่าน

แท็ก RFID แบ่งได้เป็นแบบ Passive (ไม่มีแบตเตอรี) ซึ่งมีราคาถูกกว่า หรือแบบ Active (มีแบตเตอรี) แท็กแบบ Passive ใช้พลังงานจากตัวอ่าน RFID ทำให้มีอายุการใช้งานนาน และมีราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 0.05 เหรียญสหรัฐต่อชิ้น ในขณะที่แท็กแบบ Active ใช้พลังงานจากแบตเตอรีในตัวเอง แท็กแบบ Active จะเหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่สามารถรับ เก็บ และส่งข้อมูลของสินค้าไปยังตัวอ่าน RFID แท็กแบบนี้มีต้นทุนเฉลี่ยที่ 4-20 เหรียญสหรัฐต่อชิ้น

ข้อดีของแท็ก RFID คือสามารถส่งข้อมูลได้ในปริมาณที่มากกว่าบาร์โค้ด โดยที่บาร์โค้ดรองรับข้อมูลได้ไม่เกิน 12-15 ตัวอักษร แต่ RFID สามารถรองรับได้ถึง 94 ตัวอักษร

ตัวอ่าน (Reader)

ตัวอ่าน RFID เป็นตัวรับและส่งสัญญาณวิทยุควบคุมโดยไมโครโปรเซสเซอร์ที่สื่อสารกับแท็ก RFID ตัวอ่านจะใช้เสาอากาศในการรับข้อมูลจากแท็กและส่งต่อไปยังคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลผล ตัวอ่าน RFID มีระยะการอ่านค่าจากไม่กี่เซนติเมตรไปจนถึง 2-3 เมตร ตัว Reader มีหลายขนาดและมีราคาประมาณ 500 เหรียญสหรัฐ

คอมพิวเตอร์  

ข้อมูลที่เก็บได้จากแท็กจะส่งผ่านสายเคเบิลหรือสัญญาณไร้สาย (Wireless) ไปยังเครื่องคอมพิวเตอร์ในรูปแบบเดียวกันกับการสแกนข้อมูลจากระบบบาร์โค้ด เพื่อทำการประมวลผลและเก็บข้อมูล

การประยุกต์ใช้ RFID ในอุตสาหกรรมต่างๆ

ปัจจัยต่างๆ เช่น ข้อกำหนดจากผู้ค้าปลีกรายใหญ่ ความร่วมมือของซัพพลายเออร์ และข้อมูลความต้องการของลูกค้าที่ชัดเจน เป็นตัวเร่งความจำเป็นในการใช้เทคโนโลยี RFID โดยที่เทคโนโลยี RFID สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย เช่น การควบคุมการเข้าออกของตัวอาคาร การติดตามเอกสาร การตรวจสอบย้อนกลับในปศุสัตว์ การพิสูจน์ความแท้จริงของสินค้า การชำระเงินแบบ Wireless      นอกจากนี้ RFID ยังสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ เช่น

  1. การขนส่งและการกระจายสินค้า

ระบบ RFID ช่วยให้ซัพพลายเออร์ค้นหาที่ตั้งของพาเลทได้อย่างถูกต้อง ติดตามตรวจสอบที่การไหลของวัตถุดิบและสินค้าภายในโซ่อุปทาน และสามารถค้นหาเส้นทางในการส่งสินค้าต่อไปได้

  1. อุตสาหกรรมค้าปลีก

แท็ก RFID ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเมื่อสินค้าได้มีการเคลื่อนย้ายจากชั้นวางสินค้าไปยังเคาน์เตอร์ชำระเงิน ซึ่งสามารถลดต้นทุนของแรงงานและขั้นตอนที่ล่าช้าได้ นอกจากนี้ยังสามารถป้องกันการขโมยสินค้า และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในร้านค้าได้ โดย RFID ยังสามารถทำให้กิจกรรมในการจัดซื้อสินค้า การบริหารสินค้าคงคลังทำได้ถูกต้อง แม่นยำมากขึ้น  สำหรับประโยชน์ของบริษัท Wal-Mart ที่ได้จากการใช้ RFID สามารถแสดงได้ดังตารางที่ 1

ที่มา: งานวิจัยเรื่อง “RFID: an enabler of supply chain operations” โดย Mohsen Attaran ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 12 เล่มที่ 4 ปี 2007 หน้า 249-257.

ตารางที่ 1 ประโยชน์ที่ได้จากการใช้ RFID ของ Wal-Mart

  1. อุตสาหกรรมการผลิต

ผู้ผลิตได้ใช้ RFID ในการสร้างความแม่นยำในการผลิต โดยที่ RFID สามารถใช้ในการติดตามชิ้นงานได้ตลอดที่อยู่ในสายการผลิต นอกจากนี้ RFID จะใช้ในการติดตามการใช้งาน ที่ตั้ง และการบำรุงรักษาอุปกรณ์ขนถ่ายวัสดุ

  1. อุตสาหกรรมอาหารและการเกษตร

RFID สามารถใช้ในการตรวจสอบย้อนกลับ (Food Traceability) ในอาหาร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่าอาหารที่ทำการบริโภคมีความสะอาด ปลอดภัยในการบริโภค และสามารถหาแหล่งที่มาจนถึงซัพพลายเออร์ขั้นต้นของอาหารได้ ซึ่งการใช้ RFID ส่งผลให้ทางบริษัทสามารถลดต้นทุนจากการเรียกคืนสินค้ากลับ และข้อร้องเรียนจากลูกค้าได้

อุปสรรคที่สำคัญ

แม้ว่าการใช้ RFID จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อองค์กร แต่การใช้ RFID ยังไม่ได้การยอมรับอย่างแพร่หลาย เนื่องจากการใช้ RFID ต้องใช้เงินลงทุนสูงและไม่เห็นผลชัดเจนในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งในการลดต้นทุนของแท็ก RFID ต้องทำการลดขนาดของชิพ แต่การลดขนาดของชิพจะทำให้การผลิตมีราคาแพงมากขึ้นเช่นเดียวกัน   

สำหรับอุปสรรคด้านเทคนิคที่สำคัญคือ RFID ยังไม่สามารถนำไปใช้กับโลหะได้ และการใช้เทคโนโลยี RFID ได้สร้างข้อมูลที่มีปริมาณเพิ่มขึ้นในแต่ละวัน ซึ่งทำให้การจัดการข้อมูลในระบบสารสนเทศขององค์กรมีความยุ่งยากมากยิ่งขึ้น องค์กรจึงต้องมีระบบการบริหารข้อมูลที่สามารถจัดการข้อมูลที่มีปริมาณเป็นจำนวนมากในระยะเวลารวดเร็วได้

ที่มา:

  1. งานวิจัยเรื่อง “RFID: an enabler of supply chain operations” โดย Mohsen Attaran ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 12 เล่มที่ 4 ปี 2007 หน้า 249-257.

--------------------------------

สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง

สนใจบทความอื่นในชุดนี้คลิกดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง

CT51 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2551” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 80 บทความ นำมาจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษากรณีศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล

 --------------------------------

ที่มา

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551

โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward