iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ

CT52 การจัดการโซ่อุปทานในประเทศจีน กรณีของบริษัทมัตสึชิตะ (บทความปี 2552)

บทความ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถาพร อมรสวัสดิ์วัฒนา

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552 

การจัดการโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการพัฒนาด้านเทคโนโลยีที่มีความเจริญอย่างต่อเนื่องเป็นสิ่งที่จำเป็นในการแข่งขันของธุรกิจในเวทีโลก ส่งผลให้ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และมีการแข่งขันกันที่รุนแรงกว่าในอดีต ตัวอย่างเช่น บริษัทมัตสึชิตะซึ่งเป็นบริษัทผลิตอุปกรณ์และเครื่องใช้ไฟฟ้าสัญชาติญี่ปุ่นที่เข้าใจถึงเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี ทั้งนี้เนื่องจากทางบริษัทต้องต่อสู้กับคู่แข่งจากประเทศจีนที่มี่ราคาต่ำกว่า ส่งผลให้ยอดขายมีแนวโน้มลดลงและต้นทุนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งทางบริษัทมัตสึชิตะ ตระหนักดีว่าความสำเร็จในระยะยาวจะขึ้นอยู่กับการจัดการโซ่อุปทานที่มีประสิทธิภาพ

มัตสึชิตะเป็นบริษัทผู้นำอุตสาหกรรมที่มีตราสัญลักษณ์ที่เข้มแข็งและมีเทคโนโลยีที่โดดเด่น มีสาขาในประเทศต่าง ๆ กว่า 45 ประเทศและ หน่วยปฏิบัติการมากกว่า 230 แห่ง บริษัทมีธุรกิจต่าง ๆ มากมาย  ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างจนถึงเครื่องมือเครื่องใช้ภายในบ้านดังแสดงในรูปที่ 1

ที่มา งานวิจัยเรื่อง “Insight form the Industry: Matsushita realigns its supply chain in China” โดย Bin Jiang and John D. Hansen ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 8 เล่มที่ 3 ปี 2003 หน้า 185-189.

ในปี  2002  บริษัทมียอดขายทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 52,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ถึงแม้ว่าทางบริษัทจะเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมก็ตาม แต่ทางบริษัทประสบกับความกดดันอย่างรุนแรงจากการแข่งขันในเรื่องราคา  โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศจีนซึ่งผลิตภัณฑ์จะมีราคาต่ำเพราะมีต้นทุนค่าแรงงานและที่ดินราคาถูกรวมทั้งความรู้และเทคโนโลยีที่มีการพัฒนามากขึ้นของวิศวกรจีน  ทำให้ส่วนแบ่งทางการตลาดของมัตสึชิตะสูญเสียไป ส่งผลให้ยอดขายและกำไรของมัตสึชิตะลดลงตลอด 3  ปีที่ผ่านมา

ปัญหาของมัตสึชิตะเกิดจากต้นทุนที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่งเนื่องจากการดำเนินการโดยใช้ฐานการผลิตในประเทศญี่ปุ่น (Japan-based Operations) ซึ่งค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยของชาวญี่ปุ่นสูงกว่าชาวจีนมากกว่า 20 เท่า   ในขณะที่ราคาที่ดินในญี่ปุ่นซึ่งสูงกว่าจีนประมาณ  30 เท่า  ดังนั้นหากมัตสึชิตะต้องการที่จะลดต้นทุน บริษัทต้องตัดสินใจที่จะย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศจีน

ในปี 1994 มัตสึชิตะ เปิดโรงงานผลิตเตาไมโครเวฟขึ้นในเมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งโรงงานแห่งนี้มีกำลังการผลิตปีละ 500,000  เครื่อง  โรงงานนี้จะใช้กลยุทธ์เช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ ที่จะเปิดในปีต่อมา  โดย การนำเข้าวัตถุดิบและส่วนประกอบที่จำเป็นจากประเทศญี่ปุ่น    ซึ่งทางมัตสึชิตะมั่นใจว่ากลยุทธ์นี้จะทำให้บริษัทยังคงได้เปรียบทางการค้าจากชิ้นส่วนในการผลิตที่มีคุณภาพสูงของญี่ปุ่นและมีต้นทุนค่าแรงงานและที่ดินที่ต่ำของจีน ทำให้ทางบริษัทสามารถลดต้นทุนได้จริง จากการที่เตาไมโครเวฟที่ผลิตจากโรงงานในเมืองเซี่ยงไฮ้นี้มีราคาเฉลี่ยถูกกว่าที่ผลิตในโรงงานในประเทศญี่ปุ่นถึง 30%

ปัญหาที่มัตสึชิตะเผชิญไม่ได้มีเพียงแต่เรื่องของต้นทุนเท่านั้น แต่บริษัทของประเทศจีนยังมีข้อได้เปรียบในเรื่องของส่วนประกอบในการผลิต และช่างเทคนิคที่มีความเชี่ยวชาญที่มีต้นทุนที่ต่ำกว่าอีกด้วย  เพราะส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทมัตสึชิตะยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง ในปี  1998 โรงงานมัตสึชิตะที่เซี่ยงไฮ้สามารถผลิตเตาไมโครเวฟได้เพียง  120,000 เครื่องต่อปี ในทางตรงกันข้ามบริษัท Galanz ซึ่งเป็นบริษัทของประเทศจีนที่ใหญ่ที่สุดสามารถผลิตเตาไมโครเวฟได้ถึง 12 ล้านเครื่องต่อปี และขายมากกว่าสินค้าของมัตสึชิตะในทุกตลาด การที่บริษัทมัตสึชิตะขายสินค้าสู้คู่แข่งไม่ได้นั้นเพราะมีต้นทุนที่สูงกว่า โดยมีสามเหตุมาจากการจัดการโซ่อุปทานที่ไม่มีประสิทธิภาพ

ดังนั้น บริษัทจึงลงทุนในโครงการพัฒนาโซ่อุปทาน (Supply chain realignment) โดยมีการกำหนดหลักการไว้ 4 ข้อหลัก ๆ คือ

1. ย้ายโรงงานและกิจกรรมทั้งหมดมาที่จีน

2. จัดตั้งหน่วยงาน R&D ในประเทศจีน

3. จัดหาและใช้วัตถุดิบในประเทศจีน

4. ก่อตั้งและวางช่องทางการจัดจำหน่ายในประเทศจีนอย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งสามารถอธิบายในรายละเอียดได้ดังนี้

1. การย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศจีน (Chinese manufacturing) บริษัทมัตสึชิตะได้ปิดโรงงานเครื่องแฟกซ์ที่ประเทศเยอรมันในปี  2000 และปิดโรงงานแอร์คอมเพรสเซอร์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี  2001 ทั้งยังเปิดโอกาสในคนงานชาวญี่ปุ่นกว่า 10,000 คน ในส่วนของโรงงานเกษียณอายุงานก่อนกำหนดแม้ว่า  1  ใน 3 ของสินค้าที่ผลิตจากบริษัทยังคงมาจากญี่ปุ่น โดยทางบริษัทมัตสึชิตะ คาดว่าในปี  2005 การผลิตโดยส่วนใหญ่จะดำเนินการในประเทศจีนเกือบทั้งหมด

2. จัดตั้งหน่วยงาน R&D ในประเทศจีน (Chinese R&D) ในเดือนกุมภาพันธ์ 2001 บริษัทมัตสึชิตะ ประกาศที่จะทุ่มการวิจัยและพัฒนาในประเทศจีนโดยทำการเปิดศูนย์ R&D Electric ของมัตสึชิตะในกรุงปักกิ่ง ซึ่งศูนย์นี้จะใหญ่เป็นอันดับ 2 จากจำนวนทั้งหมด 16  ศูนย์วิจัยและพัฒนาของมัตสึชิตะทั่วโลก มีเพียงศูนย์เดียวที่เป็นสำนักงานใหญ่ในญี่ปุ่นเท่านั้นที่ใหญ่กว่า  บริษัทหวังว่าศูนย์ในปักกิ่งนี้จะพัฒนางานวิจัยให้เป็นประโยชน์กับนักวิจัยและวิศวกรชาวจีน   รวมถึงผู้บริโภคชาวจีนซึ่งเคยถูกละเลยเนื่องจากความเชื่อที่ว่าประเทศจีนขาดแคลนงานวิจัย รวมทั้งขาดแคลนวิศวกรที่มีความสามารถ  ซึ่งจากการสำรวจพบว่า บริษัทญี่ปุ่นกว่า  50% เชื่อว่าประเทศจีนซึ่งเป็นของพวกเขาจะสามารถไล่ตามบริษัทต่างชาติได้ทันในไม่ช้านี้

3.การจัดหาและใช้วัตถุดิบในประเทศจีน (Chinese Procurement) ในประเทศจีนบริษัทมัตสึชิตะได้เข้าไปติดต่อกับซัพพลายเออร์ที่มีวัตถุดิบราคาถูก (Low cost suppliers)  หลายรายซึ่งบริษัทคู่แข่งชาวจีนใช้บริการอยู่ โดยทางมัตสึชิตะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลจีน   เนื่องจากโครงสร้างสาธารณูปโภคภายในที่ยังไม่ได้พัฒนาของประเทศจีน และการขนส่งที่ยังกระจัดกระจายของแต่ละภูมิภาค  รัฐบาลจีนได้วางแผนทำระบบระหว่างซัพพลายเออร์และลูกค้าที่ซื้อขายด้วยกัน โดยทำการจัดตั้งศูนย์กลางการค้าขายที่ลูกค้าสามารถพบกับซัพพลายเออร์จากประเทศจีนและจากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก  ซึ่งศูนย์กลางการค้านี้จะใช้ราคาเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์ในวันนั้น ๆ  เป็นพื้นฐานหรือมาตรฐานด้วยข้อมูลราคาที่เปิดเผยชัดเจน  การที่มัตสึชิตะใช้ซัพพลายเออร์ของประเทศจีนทดแทนมากเท่าที่สามารถจะเป็นได้  และเพิ่มการแข่งขันระหว่างซัพพลายเออร์  ส่งผลให้ให้มัตสึชิตะลดภาระต้นทุนลงไปได้

4. ช่องทางการกระจายสินค้าในประเทศจีน (Chinese Channels of Distribution) บริษัทมัตสึชิตะเป็นเช่นเดียวกับบริษัทอื่น ๆ  ที่เน้นการผลิตในปริมาณมาก (Economy of scale) ซึ่งจะสามารถดำเนินการได้ถ้าบริษัทสามารถขยับเข้าไปในตลาดของผู้บริโภคในประเทศจีนที่ใหญ่มหาศาล  โดยทั่วไปแล้วบริษัทต่างชาติในประเทศจีนจะให้ความสนใจอยู่ที่เมืองชายฝั่งทะเลทางฝั่งตะวันออก  เนื่องจากความยุ่งยากของการขนส่ง บริการ และเครดิตของตลาดในแผ่นดินใหญ่ที่อยู่ทางตะวันตก  ดังนั้นตลาดชายฝั่งทะเลจึงมีการแข่งขันสูง ทั้ง ๆ ที่ประชากรกว่า  70%  ของจีนอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางฝั่งตะวันตก  บริษัทชาวต่างชาติยังเพิกเฉยต่อจตลาดนี้เพราะการติดต่อสื่อสารและขนส่งเป็นไปได้ด้วยความยากลำบาก   แต่ยังมีบริษัท  Galanz ซึ่งเป็นคู่แข่งหลักของมัตสึชิตะประสบความสำเร็จในการเติบโตของยอดขายในตลาดพื้นที่ท่งฝั่งตะวันตกนี้

เนื่องจากความยากลำบากในการที่จะเข้าถึงตลาดทางฝั่งตะวันตก ทางบริษัทมัตสึชิตะจึงตัดสินในที่จะเข้าไปในตลาดนี้โดยใช้กลยุทธ์สร้างพันธมิตรร่วมกับ TCL ซึ่งเป็นผู้ผลิตทีวีที่ใหญ่ที่สุดในจีน ทั้ง 2 บริษัท ต่างมีสิ่งที่แต่ละฝ่ายต้องการ คือ ทางบริษัทมัตสึชิตะต้องการเครือข่ายการขนส่งในชนบทของ TCL  ซึ่งครอบคลุมตัวแทนศูนย์กระจายสินค้าในตลาดของประเทศจีน ในทางกลับกัน ทางบริษัท TCL  ต้องการความเป็นเลิศทางเทคโนโลยีของมัตสึชิตะ ในขณะที่  TCL ได้รับอนุญาตให้ใช้สิทธิบัตรของมัตสึชิตะ ในเครื่องเล่น DVD, ทีวี และเครื่องปรับอากาศ  ลูกค้าที่มีศักยภาพถึง 10 ล้านคนที่บริษัทเข้าถึงได้ทำให้การผลิตในปริมาณมากเพื่อลดต้นทุนของบริษัทมัตสึชิตะกลับมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง

ที่มา:

งานวิจัยเรื่อง “Insight form the Industry: Matsushita realigns its supply chain in China” โดย Bin Jiang and John D. Hansen ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 8 เล่มที่ 3 ปี 2003 หน้า 185-189.

.

สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง

 --------------------------------

ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่

 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน  หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล

 --------------------------------

ที่มา

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552

โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward