CT54 CT54 การจัดการข้อมูลวัสดุคงคลังให้มีความแม่นยำ
ลิขสิทธิ์ สำนักโลจิสติกส์
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
หลายโรงงานมักมีปัญหาเรื่องสต็อก เช่น ในบันทึกลงว่ามีวัตถุดิบ A 200 ชิ้น และในการผลิตต้องการ 180 ชิ้น แต่เมื่อถึงเวลาเบิกของออกมาใช้ กลับพบว่าวัตถุดิบ A มีไม่ถึง 180 ชิ้นส่งผลให้แผนการผลิตที่วางไว้ต้องหยุดชะงัก แล้วลองนึกถึงโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีวัตถุดิบมากมายหลายชนิด และเมื่อผลิตเป็นสินค้ายังมีความแตกต่างกันมากเช่นกัน เช่น ท่อทองแดงซึ่งเป็นชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศ มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายขนาด ความยาวและลักษณะความโค้งงอของท่อหลายแบบ เป็นต้น นอกจากเครื่องปรับอากาศแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น ยังมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่น ซึ่งใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกันมากมาย ท่านคิดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการขาดความแม่นยำของสินค้าคงคลังจะมากแค่ไหน โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูง และสินค้าที่กระบวนการผลิตเป็นแบบต่อเนื่อง ดังนั้นการบริหารจัดการวัตถุดิบจึงมีความสำคัญ
ตัวอย่างจากประสบการณ์ในสถานประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์พบปัญหา เช่น
- สถานประกอบการส่วนใหญ่จัดเก็บวัตถุดิบทุกชนิดไว้รวมกัน ไม่จัดระบบการจัดเก็บให้ชัดเจน
- การกำหนดรหัสกำกับวัตถุดิบแต่ละชนิดทำได้ไม่ครบถ้วน ทำให้ยากต่อการควบคุมปริมาณสินค้าคงคลังแต่ละชนิด
- พฤติกรรมการทำงานของพนักงานยังไม่มีวินัยเพียงพอในการปฏิบัติตามขั้นตอนการจัดเก็บที่ดี เช่น การไม่บันทึกข้อมูลตามกิจกรรมการรับและจ่ายวัตถุดิบจากคลัง การบันทึกล่าช้า การบันทึกข้อมูลจำนวน ปริมาณ หรือชนิดวัตถุดิบผิดพลาด เป็นต้น ทำให้ข้อมูลวัตถุดิบคงคลังที่ปรากฏในระบบ มีความคลาดเคลื่อนไปจากสถานะที่เป็นจริงของปริมาณวัตถุดิบคงคลังของสถานประกอบการ
แนวทางการจัดการข้อมูลสินค้าหรือวัตถุดิบคงคลังให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น ได้แก่
- กำหนดกฎเกณฑ์และระเบียบในการปฏิบัติงาน
- สร้างวินัยในการทำงานด้วยการฝึกอบรมพนักงานให้สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนต่างๆ อย่างครบถ้วน ไม่ข้ามขั้นตอน
- กำหนดระยะเวลาการจดบันทึกในแต่ละกิจกรรมให้ที่แน่นอน เช่น ทำการบันทึกทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นในหนึ่งวันให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 10.00 น. ของวันทำการถัดมา เป็นต้น
- นำเทคโนโลยีสารสนเทศด้านการจัดการวัสดุคงคลัง เช่น รหัสแท่ง (Barcode) หรือ Radio Frequency Identification (RFID) มาใช้จะช่วยให้สามารถบันทึกข้อมูลวัสดุคงคลังที่มีการเคลื่อนไหวได้อย่างทันที (Real Time) ทำให้ลดโอกาสความผิดพลาดของข้อมูลวัตถุดิบและสินค้าคงคลังลงได้
- เลือกวิธีการนับสต็อกที่เหมาะสมกับหน่วยงาน เช่น นับตามรอบบัญชีอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง (Periodic Inventory Audit) หรือ การนับแบบหมุนเวียน (Cycle Counting) ซึ่ง Periodic Inventory Audit จะมีข้อเสียเปรียบอยู่หลายอย่าง เช่น การผลิตต้องถูกระงับเพื่อทำการนับสต็อก ใช้แรงงานและเอกสารมากในการตรวจนับ มีโอกาสผิดพลาดสูงเนื่องจากต้องพยายามปรับตัวเลขสต็อกให้ตรงกับบัญชีซึ่งอาจไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นสำหรับโรงงานที่มีจำนวนวัตถุดิบหลาย Stock Keeping Unit (SKU) ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้วิธีการแบบ Cycle Counting เพื่อความแม่นยำและแก้ไขสาเหตุของปัญหาสต็อก
สถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีวิธีการจัดการเพื่อเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลสินค้าคงคลังโดยใช้ตัวชี้วัด Inventory Accuracy ในทุกรายการสินค้าและวัตถุดิบ ในระดับ SKU โดยการเปรียบเทียบข้อมูลสต็อกในระบบกับข้อมูลที่ทำการตรวจนับจริงด้วย Cycle Count ซึ่งข้อดี คือ สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความผิดพลาดของสต็อกได้อย่างทันที สามารถนับสต็อกได้โดยไม่ต้องหยุดการผลิต สามารถขจัดปัญหาที่สาเหตุได้
ตัวอย่างการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าคงคลังของโรงงานผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง รายละเอียดดังตาราง
ตารางแสดงตัวอย่างการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าคงคลัง นับเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553
ลำดับที่ |
ชนิดของสินค้า |
ปริมาณจากระบบ j |
ปริมาณที่นับได้จริง k |
ความคลาดเคลื่อน (%) ABS((k-j)/k)x100 |
คะแนน เกณฑ์0% |
คะแนน เกณฑ์1% |
1 |
สินค้า A |
688 |
690 |
0.29 |
0 |
1 |
2 |
สินค้า B |
27 |
27 |
0 |
1 |
1 |
3 |
สินค้า C |
124 |
125 |
0.80 |
0 |
1 |
4 |
สินค้า D |
303 |
301 |
0.66 |
0 |
1 |
5 |
สินค้า E |
47 |
46 |
2.17 |
0 |
0 |
6 |
สินค้า F |
700 |
700 |
0 |
1 |
1 |
|
รวมคะแนน |
2 |
5 |
|||
|
คำนวณ % Inventory Accuracy |
33% |
83% |
หมายเหตุ
เกณฑ์ 0% หมายถึง ไม่ให้มีความคลาดเคลื่อนในข้อมูลเปรียบเทียบ
เกณฑ์ 1% หมายถึง ให้มีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลเปรียบเทียบได้ 1%
วิธีการนี้ให้นำข้อมูลการนับสต็อกมาเปรียบเทียบกับข้อมูลในระบบ ณ เวลาเดียวกัน สินค้าหรือวัตถุดิบที่มีข้อมูลตรงกัน ได้ 1 คะแนน ถ้าไม่ตรงจะได้ 0 คะแนน นับจำนวนที่มีสต็อกถูกต้องจากจำนวนชนิดสินค้าทั้งหมด ก็จะสามารถคำนวณ Inventory Accuracy ได้ ดังในตัวอย่าง เกณฑ์ความคลาดเคลื่อน 0% มีข้อมูลที่ถูกต้องเพียง 2 รายการ จากสินค้าทั้งหมด 6 รายการ ดังนั้น Inventory Accuracy = 33%
สถานประกอบการบางแห่ง อนุญาตให้มีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลสต็อกแต่ละ SKU ได้ 1% ดังนั้นหากเปรียบเทียบแล้วมีความคลาดเคลื่อนไม่มากกว่า 1% จะได้ 1 คะแนน ถ้ามีความคลาดเคลื่อนมากกว่า 1% จะได้คะแนนเป็น 0 และนำมาคำนวณ Inventory Accuracy ดังในตัวอย่าง เกณฑ์ 1% มีข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนไม่มากกว่า 1% จำนวน 5 รายการ จากสินค้าทั้งหมด 6 รายการ ดังนั้น Inventory Accuracy = 83%
แต่ละสถานประกอบการเป็นผู้กำหนดเกณฑ์การคำนวณ Inventory Accuracy เอง โดยพิจารณาจากผลกระทบของค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ เช่น ใช้เกณฑ์ 1% แทนที่จะใช้เกณฑ์ 0% ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการสืบค้นเพื่อหาสาเหตุของความคลาดเคลื่อนของข้อมูลสินค้าคงคลังในแต่ละรายการ อาจใช้เวลานานและเกี่ยวข้องกับบุคลากรจากหลายหน่วยงาน เช่น ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายผลิต ฝ่ายวางแผนการผลิต ฝ่ายบัญชี เป็นต้น
เมื่อสถานประกอบการมีประสบการณ์และทักษะในการสืบค้นหาสาเหตุของปัญหาและมีมาตรการแก้ไขในเบื้องต้นแล้ว สามารถทำให้มีความถูกต้องของข้อมูลสินค้าคงคลัง (Inventory Accuracy) สูงขึ้น สถานประกอบการอาจปรับเปลี่ยนเกณฑ์จาก 1% เป็น 0% ในอนาคตได้ หากต้องการให้การจัดการด้านความถูกต้องข้อมูลสินค้าคงคลังเป็น 100%
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่