Supplier Preferencing Model รูปแบบความสัมพันธ์กับชัพพลายเออร์
รูปแบบความสัมพันธ์กับชัพพลายเออร์ (Supplier Preferencing Model) คือ การพยายามมองกลับในมุมมองของผู้ขายที่มองกลับมาที่เรา โดยคิดในหลักที่ว่าหากเรามีการจัดระดับผู้ขายเพื่อกำหนดกลยุทธ์ในการจัดได้ ฝั่งของผู้ขายเองก็มีโอกาสจัดระดับเราในการซื้อเพื่อจัดการด้วยเช่นกัน การที่เรารู้ในมุมมองของฝั่งผู้ขายได้จะช่วยให้เรารู้ระดับลูกค้าของเราว่าอยู่ในสถานะไหน ทั้งเราและเขาต่างก็จะต้องมีกลยุทธที่ใช้ในการต่อรองที่มีความแตกต่างกันไปตามระดับตำแหน่งที่แตกต่างกัน
ดังนั้นผู้ทำงานด้านจัดซื้อควรมีแนวคิดที่ใช้จัดแบ่งกลุ่มความสัมพันธกับผู้จัดจำหน่าย เพื่อใช้ประเมินคุณค่าตัวเอง ก่อนที่จะทำการต่อรองการจัดซื้อ หรือใช้เลือกผู้จัดจำหน่ายที่จะให้เป็นประโยชน์แก่เรามากที่สุด
รูปแบบความสัมพันธ์กับผู้จัดจำหน่าย (Supplier Preferencing Model) อาจใช้หลักการคิดที่ว่า เรามีการประเมินจัดกลุ่มผู้ขายอย่างไร ผู้ขายก็มีการประเมินจัดกลุ่มลูกค้าอย่างเราด้วยเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพราะหากเราประเมินเขา โดยไม่ได้มองกลับว่าผู้ขายเขามองเราว่าเป็นลูกค้าระดับใด บางครั้งเราอาจทำให้การเจรจาต่อรองการค้าที่เราเสียเปรียบได้ แนวคิดขั้นตอนประกอบด้วย
1. ควรสรุปข้อมูลการซื้อที่มีว่า ปัจจุบันเราได้มีการซื้อกับผู้ขายรายใดบ้าง ความถี่ ปริมาณสินค้า และมูลค่าเท่าไร
2. ความน่าสนใจของธุรกิจของเราที่มีกับผู้ขายเป็นอย่างไร คิดเกี่ยวกับปัจจัยเช่น
- เราจะจ่ายเงินหรือค่าใช้จ่ายให้กับผู้ขายตรงเวลาไหม
- ผู้ขายได้มอบหมายให้เราเป็นผู้แทนหรือมีการทำสัญญามอบสิทธ์จัดการเฉพาะหรือไม่
- เราจะมีปัญหาหรือไม่หากขาดสินค้าของเขา หรือที่มักเรียกว่า เป็นสินค้าที่ทำให้เกิดคอขวดหรือไม่
- ผู้ขายเขายอมรับเราในเรื่องไรได้บ้าง
เป็นต้น จากนั้นนำข้อที่กำหนดมาให้คะแนน โดยอาจมองภาพรวมแบ่งระดับเป็น ต่ำ (LOW) ไปถึงสูง (HIGH)
3. ทำการสรุปให้ได้ว่า ผู้ขายที่มีกับเรานั้นมีความสัมพันธ์กันอยู่ในระดับกลุ่มใด เพื่อที่เราจะได้กำหนดแผนและแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์กับผู้ขาย ให้เกิดความเหมาะสมทั้งสองฝ่าย ลดการเสียเวลากับผู้ขายที่ไม่สำคัญหรือไม่คุ้มค่าลง เพราะจะมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดหาและไปลดในส่วนรายได้ของเรา
ระดับความสัมพันธ์ของเราจากมุมมองของผู้ขาย อาจแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
- กลุ่มหลัก (Core / High Attractiveness - High Spend) คือ กลุ่มที่เราและผู้ขายให้ความสำคัญสนใจและยอดการซื้อที่สูง ในกลุ่มนี้เพราะเราอาจเป็นลูกค้าหลัก มีความน่าสนใจเป็นผลประโยชน์ต่อเขา หรือยังมียอดการซื้อในมูลค่าราคาที่มาก ผู้ขายจะให้ควรสำคัญในระดับสูง และจากยอดการซื้อที่มีสูงอาจเป็นสินค้าที่สำคัญมากหรือผู้ขายเป็นผู้จัดหาหลัก การติดต่อก็ต้องให้ความสำคัญที่ดีเป็นพิเศษ
- กลุ่มที่ควรพัฒนา (Develop / High Attractiveness - Low Spend) คือ กลุ่มที่เราและผู้ขายให้ความสำคัญสนใจแต่ยังยอดการซื้อที่ไม่มาก ในกลุ่มนี้เพราะเรายังอาจไม่ได้เป็นลูกค้าหลัก แม้มีความน่าสนใจแต่ก็ไม่เป็นผลประโยชน์ต่อเขามากนัก เราควรจะให้ควรสำคัญเพื่อยกระดับการซื้อให้เรามีระดับที่สูง อาจเรียกว่าควรต้องมีการให้ความสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ในกลุ่มนี้
- กลุ่มจำเป็นใช้ประโยชน์ (Exploitable / Low Attractiveness - High Spend) คือ กลุ่มที่ผู้ขายยังไม่ได้ให้ความสำคัญสนใจเราแม้ว่าจะมียอดการซื้อที่สูง แต่สำหรับผู้ขายอาจไม่ใช่ในระดับที่เขาควรสนใจ เช่นเราซื้อมากก็จริงแต่อาจเป็นปริมาณมาณที่น้อยสำหรับเขาเมื่อเทียบกับลูกค้ารายอื่นๆ ในกลุ่มนี้เราอาจไม่ใช่ลูกค้าหลัก การให้ความสนใจขเามีน้อย เพราะมองว่าไม่เป็นผลประโยชน์หลักของเขา อาจใช้ความสำพันธ์ หรือการสั่งซื้อในปริมาณที่มาก ในการต่อรองเพื่อให้เขาเกิดความสนใจมาเป็นผู้จัดจำหน่าย
- กลุ่มที่สร้างความรำคาญ (Nuisance / Low Attractiveness - Low Spend) คือ กลุ่มที่ผู้ขายไม่ให้ความสำคัญสนใจ อาจเกิดจากยอดการซื้อที่ต่ำหรือลูกค้ามีปัญหาในเรื่องความสัมพันธการซื้อขายเช่น มีเอกสารและขั้นตอนการทำงานเยอะ ค้างค่าชำระหรืออาจจ่ายเงินช้า ระยะทางไกลหรือลำบากในการจัดส่ง เป็นต้น ทำให้ชัพลายออร์จะให้ความสำคัญเราในระดับต่ำ พร้อมจะเลิกทำการค้ากับเราได้ตลอด หากเราตกในกลุ่มนี้ เนื่องจากความน่าสนใจต่ำหรือมียอดการใช้จ่ายที่ต่ำ ไม่เป็นที่น่าสนใจของผู้ขาย เราต้องมีกลยุทธหาผู้ขายรายอื่นมาไว้สำรอง เพราะบางครั้งผู้ขายมองเราเป็นลูกค้าที่สร้างความรำคาญในงานเขา ดังนั้นผู้ขายอาจยกเลิกการขายให้เราไปเลย
ผลจากการประเมินการซื้อของเราในฝั่งผู้ขาย จะมีประโยช์เมื่อเราได้นำมาใช้ร่วมกับ รูปแบบการแบ่งกลุ่มซัพพลายเออร์ (Supply Positioning Model)เพื่อที่จะได้กำหนดแนวทางในการดำเนินความสัมพันธ์กับผู้ขายให้เกิดความเหมาะสมทั้งสองฝ่าย กำหนดเป็นกลยุทธในการวางแผนการจัดซื้อจัดหาวัสดุขององค์กร ลดการเสียเวลากับผู้ขายที่ไม่สำคัญหรือไม่คุ้มค่าลง เพราะจะมีผลกระทบต่อค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อจัดหาและไปลดในส่วนรายได้ของเราตอนนี้