Supply Positioning Model รูปแบบการแบ่งกลุ่มซัพพลายเออร์
รูปแบบการแบ่งกลุ่มซัพพลายเออร์ (Supply Positioning Model) คือ การกำหนดแผนและวางยุทธศาสตร์ในเรื่อง การบริหารจัดเลือกซัพพลายเออร์ การเลือกเทคนิคการจัดซื้อ การจัดการความสัมพันธ์ และการเลือกนักจัดซื้อ เพื่อให้สามารถบริหารด้านชัพพลายเชนได้ดีที่สุด โดยใช้ปริมาณยอดการสั่งซื้อ และความสำคัญของสินค้าที่ซื้อมาใช้แบ่งกลุ่มตามความสำคัญสูงต่ำ เพื่อทำการจัดแบ่งรูปแบบในการดูแลและจัดการจะแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
1. สินค้ากลุ่มที่ไม่เกิดผลกระทบมากนัก (Routine or Non-critical Supplies / (Low Value - Low Risk)) คือ สินค้ากลุ่มที่หาง่ายหรืออาจใช้น้อย ไม่ควรเสียเวลากับมันมากนักแต่ควรมีแผนบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ (Low Supply Risk–Low Profit Impact) ดูแลการซื้อให้อยู่ในราคาที่ปกติไม่แพงมากไปก็พอ ไม่ควรเสียเวลาจัดการหรือทำการต่อราคาสินค้ากลุ่มนี้มากไปเพราะไม่ได้มีผลอะไรต่อธุรกิจ การสินค้ากลุ่มนี้มีในปริมาณหรือมูลค่าต่อครั้งน้อย หากไปจัดการมากไปกลับอาจจะทำให้เกิดไปเพิ่มเป็นต้นทุนได้
2. สินค้ากลุ่มที่ควรสนในและปรับปรุงได้ดี (Leverage Supplies / (High Value - Low Risk)) คือ สินค้ากลุ่มที่ควรสนใจและปรับปรุงให้ดีได้ เพราะการลดต้นทุนของผู้ซื้อจากกลุ่มนี้จะช่วยสร้างผลกำไรที่สูงขึ้น (Low Supply Risk–High Profit Impact) ปัจจุบันองค์กรมักจะขาดการวิเคราะห์ในกลุ่มนี้ดีพอ อาจสับสนว่าสินค้ากลุ่มนี้เป็น กลุ่มอื่นจึงมีปัญหาในการจัดการที่ไม่ดีพอ อาจเกิดการต่อรองราคาหรือการบริหารการสั่งซื้อได้ไม่ดีพอ การรู้จักผู้ขายหรือแหล่งซื้อสินค้าน้อยเกินไป ทำให้ไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากการบริหารจัดการสินค้ากลุ่มนี้
3. สินค้ากลุ่มที่จะเกิดปัญหาเมื่อขาด (Bottleneck Supplies / (Low Value - High Risk)) คือ สินค้ากลุ่มที่หากขาดจะทำให้เกิดปัญหาในขั้นตอนการทำงานจนต้องรอ อาจเรียกว่า เป็นคอขวด (Bottleneck) และเรียกกลุ่มสินค้ากลุ่มนี้ว่า สินค้ากลุ่มที่เป็นคอขวด (Bottleneck Items) กลุ่มนี้จะมีความเสี่ยงในการเกิดทำให้เกิดผลกระทบมาก แต่แม้ว่าอาจจะมีมูลค่าไม่มาก (High Supply Risk–Low Profit Impact) หากเป็นสินค้าที่มีมูลค่าไม่มากอาจเลือกวิธีแก้ปัญหาด้วยการซื้อมาเก็บตุนไว้ เพื่อช่วยลดความวุ่นวาย ลดค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อ และลดการจัดการภายในลง แต่ก๊มีข้อจำกัดปัญหาควรพิจารณาเช่น มีค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้จัดเก็บ มีการเสื่อมสภาพ และมีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดเก็บ (holding costs) บางครั้งกลุ่มนี้อาจใช้วิธีการทำสัญญาหรือตกลงซื้อขายกันล่วงหน้า เพื่อให้มีความสม่ำเสมอของสินค้าเข้ามาช่วย สิ่งสำคัญอีกเรื่องคือต้องดูจากกลุ่มนี้คือเรื่องของความน่าเชื่อถือ ความสามารถการส่งมอบ และความมั่นคงของชัพพลายเออร์ด้วย
4. สินค้ากลุ่มที่ต้องระวังและเฝ้าติดตาม (Critical Supplies / (High Value - High Risk)) คือ สินค้ากลุ่มที่ควรต้องระวังและเฝ้าติดตาม อาจเรียกว่าเป็น กลุ่มพิเศษมีผลต่อธุรกิจ (Strategic Items) เพราะไม่เพียงแต่จะเกิดความเสียหายที่สูง แต่ยังจะใช้สร้างผลกำไรที่สูงด้วย (High Supply Risk–High Profit Impact) หากต้องการทำในกลุ่มนี้ ควรต้องเริ่มวางแผนมองหาทางเลือกในการใช้สินค้าทดแทน และหาซัพพลายเออร์เพิ่มให้มีมากขึ้น เพื่อเป็นคู่เทียบหรือเป็นทางเลือกไม่ควรมีชัพพลายเออร์น้อยกว่าสองถึงสามราย เพราะหากชัพพลายเออร์ที่ส่งนั้นมีปัญหาก็อาจส่งผลกระทบที่สูง ต้องสามารถสลับหารายอื่นมาทดแทนได้ทันเพื่อช่วยลดปัญหาจาก Supply Risk และแผนระยะยาวควรเร่งผลักสินค้ากลุ่มนี้ให้เป็นมาเป็นกลุ่ม Leverage Items ที่เราผู้ซื้อมีอำนาจต่อรองได้มากกว่า
องค์กรที่ดีควรใช้ข้อมูลการสั่งซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ ในการจัดแบ่งกลุ่มหากใช้จัดการด้านไอทีเข้ามาช่วยให้มีความชัดเจนในการใช้วัตถุดิบมากขึ้น ช่วยให้มั่นใจได้ว่าแผนพิจารณาป้องกันผลกระทบต่อกลุ่มสินค้าและวัตถุดิบที่มีให้มากที่สุดได้ ช่วยให้เกิดแผนรับมือกับปัญหาตามสถานการณ์ได้ การจัดซื้อทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น ฝ่ายผู้ซื้อหรือฝ่ายผู้ขาย ไม่ควรที่จะปล่อยให้ฝ่ายใดมีอำนาจควบคุมการต่อรองมากเกินไป ทั้งสองฝ่ายจะต้องมีการปรับดุลเพื่อไม่ให้มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบมากเกินไป ควรที่ทั้งสองฝ่ายจะต้องช่วยกันแบบได้ประโยชน์ร่วมกัน (win-win) เพื่อช่วยให้สามารถรักษาดุลยภาพของอำนาจในการซื้อขายต่อรองธุรกิจร่วมกันเอาไว้
-------------------------------------