เศรษฐศาสตร์ บทที่ 8 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 8 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
8.1 ความหมายและความสำคัญของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
- นโยบายการเงิน (Monetary Policy) และนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางและเสถียรภาพของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินเกี่ยวข้องกับการจัดการปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย โดยมีธนาคารกลางเป็นผู้กำหนด ส่วนใหญ่นโยบายการเงินจะถูกใช้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่นโยบายการคลังเกี่ยวข้องกับการกำหนดการใช้จ่ายของรัฐบาลและการจัดเก็บภาษี โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลเศรษฐกิจและสนับสนุนการเจริญเติบโต
- นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ มาตรการที่ธนาคารกลางใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ และ/หรือ อัตราดอกเบี้ย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การรักษาเสถียรภาพของราคา การส่งเสริมการจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
- นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คือ มาตรการที่รัฐบาลใช้ในการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำ และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค ทั้งสองนโยบายมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ
8.2 เครื่องมือของนโยบายการเงิน
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน และมีผลต่อการลงทุน การบริโภค และอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางใช้การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วยกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยช่วยควบคุมเงินเฟ้อและลดการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- การดำเนินงานตลาดเปิด (Open Market Operations) คือ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิดโดยธนาคารกลาง เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การซื้อพันธบัตรจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ในขณะที่การขายพันธบัตรจะลดปริมาณเงินในระบบ เป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางซื้อหรือขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิดเพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การซื้อพันธบัตรจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ขณะที่การขายพันธบัตรจะลดปริมาณเงิน
- การกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement) คือ สัดส่วนของเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บไว้เป็นเงินสำรอง การเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมายจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และมีผลต่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือไว้เป็นเงินสำรอง การปรับอัตราส่วนนี้สามารถเพิ่มหรือลดปริมาณเงินที่ธนาคารสามารถให้กู้ยืมได้ ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของปริมาณเงินในเศรษฐกิจ
8.3 เครื่องมือของนโยบายการคลัง
- การจัดเก็บภาษี (Taxation) คือ การที่รัฐบาลเรียกเก็บเงินจากประชาชนและธุรกิจ เพื่อนำมาเป็นรายได้ของรัฐบาล ภาษีมีหลายประเภท เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร รัฐบาลสามารถใช้การเพิ่มหรือลดภาษีเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของประชาชนและธุรกิจ การเพิ่มภาษีจะลดการใช้จ่ายและการลงทุน ขณะที่การลดภาษีจะกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน
- การใช้จ่ายภาครัฐ (Government Spending) คือ การที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและการลงทุน เช่น การสร้างถนน โรงพยาบาล โรงเรียน และการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ รัฐบาลสามารถเพิ่มหรือลดการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจ การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคและการสนับสนุนทางสังคม สามารถเพิ่มความต้องการสินค้าและบริการและกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การลดการใช้จ่ายสามารถช่วยลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
8.4 ผลกระทบของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังต่อเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงิน การปรับอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลโดยตรงต่อการลงทุน การใช้จ่ายของผู้บริโภคและอัตราเงินเฟ้อ ตัวอย่างเช่น การลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ก็อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อหากเศรษฐกิจขยายตัวเร็วเกินไป
- การลดอัตราดอกเบี้ย: กระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
- การเพิ่มอัตราดอกเบี้ย: ชะลอการลงทุนและการบริโภค ทำให้เศรษฐกิจหดตัว
- การเพิ่มปริมาณเงินในระบบ: กระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
- การลดปริมาณเงินในระบบ: ชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจหดตัว
- นโยบายการคลัง การปรับการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของรัฐบาล สามารถกระตุ้นหรือชะลอการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ตัวอย่างเช่น การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลในช่วงเศรษฐกิจถดถอยสามารถช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ แต่ก็อาจนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
- การลดภาษี: เพิ่มรายได้ของประชาชนและธุรกิจ กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
- การเพิ่มภาษี: ลดรายได้ของประชาชนและธุรกิจ ชะลอการบริโภคและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจหดตัว
- การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐ: สร้างงานและรายได้ กระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจขยายตัว
- การลดการใช้จ่ายภาครัฐ: ลดงานและรายได้ ชะลอการใช้จ่ายและการลงทุน ทำให้เศรษฐกิจหดตัว
8.5 ระบบการเงินและบทบาทของธนาคาร
ระบบการเงิน เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยสถาบันการเงิน ตลาดการเงิน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดการและหมุนเวียนเงินในเศรษฐกิจ ธนาคารมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ที่มีเงินออมและผู้ที่ต้องการเงินกู้ รวมถึงการให้บริการทางการเงินต่าง ๆ เช่น การรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ และการให้คำปรึกษาทางการเงิน ธนาคารกลางยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบการเงินและการดำเนินนโยบายการเงิน
- ระบบการเงิน (Financial System) คือ กลไกที่ช่วยในการระดมเงินทุนจากผู้ที่มีเงินออม ไปให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุนเพื่อการลงทุนหรือการบริโภค
- บทบาทของธนาคาร ธนาคารมีบทบาทสำคัญในระบบการเงิน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน รับฝากเงินจากผู้มีเงินออม และปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุน
8.6 การสร้างเงินและนโยบายการเงิน
- การสร้างเงิน (Money Creation) ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างเงินฝากได้มากกว่าเงินสดที่รับฝากไว้ โดยอาศัยกลไกการให้สินเชื่อและการหมุนเวียนของเงินฝาก เป็นกระบวนการที่ธนาคารพาณิชย์สามารถเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านการให้สินเชื่อ เมื่อธนาคารพาณิชย์ให้กู้เงิน เงินจะถูกฝากเข้าสู่บัญชีของผู้กู้และสามารถนำไปใช้จ่ายหรือเก็บออมได้ กระบวนการนี้เรียกว่า "การสร้างเงินในระบบการธนาคาร" และมีผลในการเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงินและการสร้างเงิน ธนาคารกลางสามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยการใช้นโยบายการเงินที่มีผลต่อความสามารถในการสร้างเงินของธนาคารพาณิชย์ มีบทบาทในการควบคุมการสร้างเงินและการขยายตัวของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมอัตราส่วนเงินสำรองเพื่อควบคุมการสร้างเงินและรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
8.7 ตลาดเงินและตลาดทุน
- ตลาดเงิน (Money Market) คือ ตลาดที่ใช้ในการระดมเงินทุนระยะสั้น เช่น ตลาดตั๋วเงินคลัง ตลาดเงินฝากระหว่างธนาคาร เป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่มีระยะเวลาครบกำหนดไม่เกินหนึ่งปี สินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดเงินรวมถึงตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills) พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น และสินเชื่อระยะสั้น ตลาดเงินมีความสำคัญในการจัดหาเงินทุนระยะสั้นให้กับธุรกิจและรัฐบาล
- ตลาดทุน (Capital Market) คือ ตลาดที่ใช้ในการระดมเงินทุนระยะยาว เช่น ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ เป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่มีระยะเวลาครบกำหนดเกินกว่าหนึ่งปี สินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดทุนรวมถึงหุ้นและพันธบัตรระยะยาว ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนระยะยาวให้กับธุรกิจและรัฐบาล รวมถึงเป็นแหล่งที่นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนในระยะยาว
บทนี้ได้อธิบายถึงความหมายและความสำคัญของ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เครื่องมือของแต่ละนโยบาย ผลกระทบของนโยบายต่อเศรษฐกิจ ระบบการเงินและบทบาทของธนาคาร การสร้างเงินและนโยบายการเงิน ตลาดเงินและตลาดทุน ความเข้าใจในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระบบการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้เราเข้าใจถึงการทำงานของเศรษฐกิจในภาพรวม และผลกระทบของนโยบายต่างๆ ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง
นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง มีผลต่อการทำงานของตลาดเงินและตลาดทุน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการคลังสามารถส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์ทางการเงินในตลาดเหล่านี้ และสามารถมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------