ลุยเมืองกาญนะจ๊ะบุรี (1) น้ำตกไทรโยคใหญ่ในสายพระเนตรของพระปิยมหาราช
รูปที่ 1 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสตำบลไทรโยค
ในโอกาสที่กลุ่มหนึ่งของนักเรียนเก่าชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 รุ่นปีพ.ศ. 2508 โรงเรียนบุญวาทย์วิทยาลัย ลำปาง(หนา) จะไปเที่ยวเมืองกาญจน์ ปลายเดือนมิถุนายน ปึ2568 นี้ ข้าพเจ้าจึงขอบันทึกข้อมูลที่น่าสนใจบางประการไว้ ณ ที่นี้ ให้เพื่อนๆ ได้อ่านไว้ก่อน
น้ำตกไทรโยคใหญ่ในสายพระเนตรของพระปิยมหาราช
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินประพาสตำบลไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี พร้อมด้วยเจ้านายและข้าราชบริพารเป็นขบวนใหญ่ถึง 2 ครั้ง คือในพ.ศ. 2420 และ พ.ศ. 2431 ในการเสด็จประพาสครั้งแรกนั้น พระองค์ได้มีพระราชนิพนธ์ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน รวมทั้งบรรยายถึงน้ำตก (ที่ในสมัยนั้นน่าจะเรียก “น้ำพุ”) ที่มีมากมายตามลำน้ำแควน้อย และมีชื่อเรียกหลากหลาย รวมทั้ง “พุใหญ่” ซึ่งคาดว่า ก็คือน้ำตกไทรโยคใหญ่ในปัจจุบันนั่นเอง โดยพระองค์ได้มีพระราชนิพนธ์ไว้ว่า
“ตรงกลางน้ำนั้นตกลงมาเป็นหลายทาง ทางหนึ่งนั้นตกลงมาในอ่าง กระทบกันเป็นชั้นๆ หลายอ่าง ดูเหมือนหนึ่งเขียนหรือที่ไทยๆ แกล้งทำแต่ก่อน ยากจะพรรณาให้เห็นจริง ข้างซ้ายมือเป็นศิลาผาชัน ยอดข้างบนเสมอพื้น น้ำตกรอบเขาลงมาถึงอ่างใหญ่“
”ที่หน้าผานั้นมีต้นไผ่และต้นใบแฉกเล็กๆ ขึ้นเต็มทั้งหน้าผา เหมือนหนึ่งกับเอาพรมหรือฝากระดาษปิดผนัง หรือดอกไม้ร้อยแบบขึ้นไปแปะไว้ เขียวสดๆ เวลาน้ำตกข้างนอกต้นไม้ที่หน้าผานั้นอยู่ข้างในงามแท้ทีเดียว ที่ทางน้ำตกเล็กๆ ลงไปอีกนั้น ตกลงมาเป็นขั้นบันได กระทบกันเป็นชั้นๆ กระทบศิลาเป็นฝอยขาวเสียงดัง งามนัก ที่ปากอ่างมีต้นไผ่จีนเล็กๆ ขึ้นเป็นหย่อมๆ เหมือนหนึ่งไผ่จีนที่ปลูกเขามอเล่น และเฉพาะที่ที่ควรปลูกด้วย ที่เป็นก้อนศิลาน้ำตกข้างบนทุกๆ แห่ง มีต้นแฉกไปตามซอกศิลาที่ไม่ถูกน้ำทางน้ำราดไปราบๆ เป็นแต่น้ำซึมพอถูกใบเขียวสดชื่นอยู่เสมอ ถ้านักเลงเขามอหรือช่างแล้ว ควรจะดูจริงๆ ทีเดียว ไม่เห็นว่าน้ำพุที่ไหนจะงามเท่าที่นี่เลย ไม่เป็นของใหญ่เกินนัยน์ตาที่จะแลดู และเกินกำลังที่จะทำเอาอย่าง ถ้าเราได้เห็นช่างก่อภูเขาและน้ำพุอย่างนี้ขึ้นในบางกอก ก่อนที่จะได้มาเห็นภูเขานี้ คงจะคิดว่าช่างนั้นแกล้งทำให้งามเกินกว่าที่จะเป็นเองได้ แต่ก่อนมาเห็นรูปเขียนบ้าง ช่างทำภูเขาบ้าง ยังไม่งามถึงที่นี่“
อันบรรดาสัตว์ป่าที่เราไม่เคยจะได้พบเห็นภายในเมือง เช่น นกยูงนั้น ตั้งแต่เมืองกาญจนบุรีขึ้นไปก็ชักจะมีชุกชุมขึ้นทุกที บางทีลงมาอยู่ชายฝั่ง และเกาะอยู่บนต้นไม้หลายๆ ตัว ส่งเสียงวิเวกวังเวงระคนกับเสียงนกอื่นๆ ทำให้อารมณ์เพลิดเพลินยิ่งนัก เมื่อตอนเสด็จประทับ ณ พลับพลาตำบลวังหมึกคราวเสด็จ (พ.ศ. 2420) ก็ทรงพระราชนิพนธ์โคลงบรรยายทัศนียภาพไว้ว่า
“พระลบเจียนลับไม้ รอมรอน
แสงส่องสั่งอัมพร พ่างย้อม
สีสลับกับสาคร เขียวโสด ใสแฮ
อีกหมู่ไม้ไล่ล้อม เล่ห์ล้ำระบายสี”
“ปักษาเซ่งแซ่ร้อง หลายเสียง
บ้างหยุดบ้างบินเฉียง สู่ไม้
ขึ้นรังร่วมคู่เคียง กันพลอด
ฟังเพลิดเพลินใจให้ ห่วงน้องเนาหลัง”
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อคราวเสด็จในปี พ.ศ. 2431 ก็ทรงพระราชนิพนธ์กลอนไว้อย่างละเอียดลออและไพเราะยิ่งนัก ดังนี้
“นกยูงหางยาวเฟื้อยร้องเจื่อยแจ้ว ก๊อกก๊อกก๊อกแล้วกระโต้งโห่ง
กระสาแดงแฝงตอทำคอโง้ง พอปลาผุดฮุบโผงกลืนพองคอ
สาลิกาเกาะกิ่งต้นไม้โกร๋น เต้นกระโจนแจจรรพูดกันจ้อ
ยังพวกฝูงเจ้าขุนทองจับกองออ เสียงแจ้จ้อเจรจาภาษากัน”
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมข้าพเจ้า
.
-------------------------
ที่มา
- https://www.facebook.com/nares.sattayarak
รวบรวมข้อมูลและภาพ
-------------------------
บทความ ดร. นเรศ สัตยารักษ์ (Nares Sattayarak)
รวมบทความที่น่าสนใจจากนักธรณีวิทยาของไทย
-------------------------