Waranon จีน นั่งรถไฟสาย Trans Tibet ไปเมืองลาซา Lhasa 2
สายๆของวันที่ 25 พฤษภาคม 2024 หลังจากนั่งๆเอนๆ ง่วงๆสลับงีบๆ บนรถไฟมาเกือบ 23 ชั่วโมง ข้าพเจ้าก็มาถึงเมืองลาซา เมืองหลวงของทิเบตจนได้
การเข้ามาเที่ยวทิเบตนี้ นักท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีใบอนุญาตพิเศษกันทุกคน เวลาจะขึ้นรถไฟ เช็คอินโรงแรม เข้าสถานที่ท่องเที่ยว วัดอารามขนาดใหญ่ จะต้องแสดงพาสปอร์ตทุกครั้ง ในจีนจะตรวจพาสปอร์ตเรา บ่อยทุกครั้งที่มีโอกาส สังเกตุว่าไม่ได้แค่ตรวจดูเฉยๆ เพราะ เมื่อตรวจแล้ว มักจะมีการพิมพ์ชื่อของเราลงไปใน แอปบนมือถือของเจ้าหน้าที่ ถ้าคิดในแง่ดีน่ะ เราคงไม่หายไปจากสายตาเจ้าหน้าที่ ก็นับว่าเป็นความปลอดภัยอย่างหนึ่งร่วมกับทุกๆครั้ง ที่เราสแกนจ่ายเงิน ที่จะรู้ว่าเราอยู่ที่ไหน มีเงินเหลือในแอปเท่าไหร่??? นับว่าปลอดภัยจริงๆขอรับ
ขบวนรถไฟที่ข้าพเจ้านั่งมาคือ ขบวนรถไฟสาย Trans Tibet อันมีชื่อเสียง จากออกจากเมือง Xining ในมลฑล Gansu ที่ระดับความสูง 2,179 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล (ก็พอๆกับความสูงของดอยอินทนนท์ ในเมืองไทย ล่ะขอรับ) แล้ววิ่งอ้อมทะเลสาปชิ่งไห่ ซึ่งเป็นทะเลสาปน้ำเค็มบนบกที่ใหญ่ติดอันดับโลก ที่มองจาก Google map จะเป็นสีฟ้าอมขาวสวยงาม แต่ถ้ามองจากบนรถไฟ ก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น ถ้าจะเอาให้สวยเหมือนที่เขา Review เรื่อง ทางรถไฟสายทรานส์ทิเบต กัน ก็ขอให้ทำใจเผื่อไว้เย่อะๆ น่ะคร้าบ
และที่สำคัญ ทะเลสาปน้อยใหญ่นับร้อยๆแห่ง บนที่ราบสูงชิ่งไห่นี้ มีแร่ลิเธียมละลายอยู่ในน้ำในปริมาณสูง จึงมี Petrochemical industry ขนาดใหญ่ในชื่อเมือง Golmud ที่คาดว่าน่าจะเป็นแหล่งผลิตแร่ลิเธียมป้อนสู่โลกอุตสาหกรรม
จากเมือง Golmud ที่อยู่เหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 เมตร จะค่อยๆไต่ความสูงขึ้นเทือกเขาคุนหลุน Kunlun Mountains ที่บรรดาคอหนังจีนกำลังภายใน และ หนังสือกำลังภายใน จะเคยได้ยิน และคุ้นเคยกันดี เนื่องจากเป็นถิ่นก่อกำเนิดจอมยุทธ์มากมายหลายสำนัก และหลายท่าน อาทิ อาวเอี้ยงฮง โอวหยางฟาน ฉายาจอมพิษประจิม และ อาวเอี๊ยงเคี๊ยก พรรคเขาอูฐขาว ในนิยายเรื่อง มังกรหยก อันโด่งดัง แต่เท่าที่สังเกตุ จอมยุทธ์จากเทือกเขาคุนหลุน มักจะเป็นตัวร้าย อาจจะเป็นเพราะว่าความลี้ลับในเทือกเขาอันแห้งแล้ง แต่หนาวเย็น อาจจะดูน่ากลัว ก็เลยให้เป็นผู้ร้าย ไปเสียเลย แต่ในลัทธิเต๋า กลับเชื่อว่าเชื่อว่าเป็นดินแดนแห่งสุขาวดี อืมม สังสัยว่าใครแอบหนีเมียเข้าไปแล้ว ไม่ได้กลับบ้านสักคน หุหุ
เทือกเขาคุนหลุนนี้ วางตัวเกือบๆ แนวตะวันออกตะวันตก กั้นเขตทะเลทรายซินเจียง ที่อยู่ด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ออกจากทิเบต
รถไฟขบวนที่ข้าพเจ้านั่น วิ่งขึ้นเทือกเขาคุนหลุน ด้านที่ค่อนมากทางตะวันออก จนไปผ่านช่องเขาคุนหลุน Kunlun Pass ที่มีหิมะปกคลุมทั้งปีที่ความสูง 4,424 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แล้วค่อยๆ ลดต่ำลงไปจนถึงเมือง ลาซา ที่ความสูง 3,661 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล
ระหว่างทางนั้น ทั้งสองข้างทางจะแห้งแล้งมาก มีแต่หิน และที่ราบกรวด นานๆทีก็เห็นเนินหินเขาหินบ้างไม่มีต้นไม้เลย บางแห่งไม่มีหญ้าด้วยซ้ำ แต่ก็มีลำธารเล็กๆ ที่เกิดจากการละลายของหิมะ ให้เห็นโดยทั่วไป ข้าพเจ้าคิดว่า ชาวบ้านก็คงจะพยายามปลูกอะไรกันบ้าง แต่ดินคงไม่มีสารอาหารเอาเสียเลย ก็คงมีแต่หญ้าขึ้นหร๋อมแหร๋ม คงได้แต่เลี้ยงวัว Yak กินนมวัวเนื้อวัวกันไป
อ้อ ข้าพเจ้าตื่นเต้นมากที่ได้เห็นแท่นเจาะน้ำมันด้วยล่ะ แต่ช่วงที่เห็นจะอยู่ใกล้เมือง ลาซา หรือใกล้เทือกเขาหิมาลัย เข้ามาแล้ว ซึ่งนักธรณีวิทยา ต้องรู้ว่า แผ่นทวีปอินเดีย มุดเข้าใต้แผ่นทวีปเอเซีย และดันยกเอาแผ่นทวีปเอเซียลอยขึ้นมาร่วม 8,800 เมตร ที่ยอดเขา Everest และค่อยๆลาดลงไปที่มืองซีหนิง ที่อยู่ทางเหนือ อนึ่ง พื้นที่ด้านหลังของแนวมุดตัว Sub duction zone นี้ ก็เป็นตำแหน่งที่มีการค้นพบปิโตรเลียมอยู่บ่อยๆ ครับ
ในวันที่ข้าพเจ้ามาถึงเมืองลาซานั้น ก็มีเมฆราว 40-50% แต่ถ้าแดดส่องโดนตัวล่ะก็จะร้อนแสบๆจริงๆ แต่ถ้าอยู่ในร่มก็สบายๆ สัก 17-19° C เห็นจะได้
ข้าพเจ้าจะพักที่ Shambhala Palace ซึ่งเป็นอาคารที่ตกแต่งแบบบูทิค แบบวังกษัตรย์จีนโบราณ ( อ้อ สำหรับใครที่ไม่ชอบอะไรที่ดูเก่าๆโบราณๆ ก็อาจจะขนลุกได้บ้าง คริคริ) 3 คืนด้วยกัน เพื่อปรับสภาพร่างกายนิดหน่อย สำหรับการขึ้นไปที่ Everest Base Camp ที่ระดับความสูงสัก 5,100-5,500 เมตร ในเขตประเทศจีน
ข้าพเจ้าเตรียมเอาที่วัดออกซิเจนในเลือดมาด้วย โดยลองวัดตั้งแต่ที่สนามบินสุวรรณภูมิ (ให้ 4-5 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล) ดูก็ได้ระหว่าง 95-98 พอมาถึง ซีหนิง (ความสูง2,100เมตร) ก็ลองวัดดูใหม่ ปรากฏว่าเหลือ 91-94 แต่พอมาถึงที่ ลาซา ที่ความสูง 3,661 เมตร ปรากฏว่า ระดับออกซิเจนเหลือ 86-89 เอง ถ้าอยู่เฉยๆ ก็รู้สึกเหนื่อยนิดๆ แปลกๆ คงกำลังปรับตัว แต่ตอนบ่ายนี้ กำลังจะออกไปเดินเล่นข้างนอก แต่ดัน ลืมของในห้องพักชั้นสาม เลยกึ่งเดินกึ่งวิ่งขึ้นไป ปรากฏว่าอ้าว หอบหายใจแฮ่กๆๆ หัวใจเต้นเร็ว เหมือนกัน แต่ไม่เป็นอะไร ขาลงก็เดินลงปรกติ ไม่มีอะไร คงต้องคอยเตือนตัวเองว่าอย่าพึ่งรีบเดินรีบวิ่ง ใจเย็นๆ น่ะ เพ่ ดังนั้น วันที่จะไป Everest Base camp คงต้องกินยาแก้แพ้ความสูงไว้สักหน่อย จะดีกว่าเน้อะ อุตส่าห์เสียเงินไปหาหมอ และเตรียมตัวมาแล้วนิ
อุปกรณ์ที่ข้าพเจ้า เอามาอีกอันหนึ่งคือ เครื่องวัด % O2 ในอากาศ ก่อนมานั้น ข้าพเจ้าวัดที่กรุงเทพได้ O2 20.5% แต่วัดที่ Lanzhou ได้ O2 21% แต่พอมาวัดที่ Lhasa และที่ Kunlun pass นั้นได้ตั้ง 20.3 ถึง 23% จึงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจว่า จำนวน O2 ในอากาศ มันคงมีเท่าๆกันน่ะ แต่ พอขึ้นมาที่สูง ก็าซบางตัวที่หนักกว่า O2 อาจจะมีปริมาณน้อยกว่าหรือเปล่าน่ะขอรับ??? ดังนั้น ก๊าซออกซิเจนในอากาศ น่ะมี ไม่มีก๊าซ CO2 และ CO มากให้กวนใจ เหลือแต่เพียงความกดอากาศที่ลดลง และ อาจจะทำให้ O2 ที่เราสูดเข้าไปในปอด ลดลงด้วย เท่านั้นเองขอรับ
หลังจากนอนงีบบนที่นอนอุ่นๆ ในวังซัมบาล่า ไปสามชั่วโมง ก็พอมีแรงออกมาเดินย่าน Old town ของเมืองลาซา ที่ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็เป็น ทิเบ๊ด ทิเบต
แว่ะไปกินอาหารกลางวันควบอาหารเย็น ในร้านอาหารทิเบต ก็อร่อยดีครับ รสชาตก็ปนๆกันระหว่างจีนกับอินเดีย ราคาก็ไม่แพง เมื่อเทียบกับสถานที่ และความเป็น Tourist ของเรา
อ้อ เห็นคนจากสิกขิม แต่งกายด้วยชุดสิกขิม เดินไปมาด้วย สอบถามได้ความว่า มาไหว้พระทำบุญ ก็เลยไปเปิด Google map ดู ก็ถึงบางอ้อ เพราะว่า ทิเบตกับสิกขิม มีพรมแดนติดกันนั่นเองน่ะขอรับ
วันนี้พอก่อนแค่นี้ แม้ว่าสามทุ่มแล้ว ก็ยังพอสว่างอยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าขอปรับตัวด้วยการนอนซุกผ้าห่มอุ่นๆ รับอากาศเย็น 12-17°C กันหน่อยคร้าบ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ขอรับ
-------------------------------------------------
ที่มา
- https://www.facebook.com/waranon555
รวบรวมข้อมูลและภาพ
-------------------------------------------------
บทความ วรานนท์ หล้าพระบาง (Waranon Laprabang) รวมข้อมูล
รวมบทความที่น่าสนใจจากนักธรณีวิทยาของไทย-------------------------------------------------