Waranon จีน ลาซา Everest Base Camp
Everest Base Camp Tibet China
หนึ่งในความไฝ่ฝันมาตั้งแต่เป็นเด็กคือ การได้มาเห็น ยอดเขาเอเวอร์เรส Mount Everest สักครั้ง ในชีวิต
การปีนเขา Everest นั้น คงเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อม ทั้งสภาพร่างกาย ที่ต้องแข็งแรงมาก ควรจะเป็นนักกีฬา ต้องฝึกหายใจบนที่สูง ที่มีอากาศเบาบาง และที่สำคัญ เขาว่ากันว่าต้องใช้เงินเยอะมาก ก็คงจะไม่ไหวมั้งครับ
หลายปีก่อนโน้น สมัยเคยทำงานอยู่ในประเทศอินเดีย ก็เคยมีความคิดจะไปเยือน Base Camp ในฝั่งเนปาล แต่การหาข้อมูลในสมัยนั้นก็ยุ่งยาก ระยะทางไกล แค่นั่งรถไฟก็หมดเป็นวันๆ ก็เลยยกเลิกความคิดไป แต่เมื่อสักยี่สิบกว่าปีนี้ เคยไปเที่ยวเนปาลมาครั้งหนึ่ง แต่พอเห็นโปรแกรมการเดิน แล้วก็ถอย เพราะเดินไกลหลายวัน และเดินไต่ความสูงสามสี่พันเมตร ก็เป็นเรื่องที่ดูจะยากไปสำหรับข้าพเจ้า
แต่พอปีนี้มาเจอโปรแกรมมา Everest Base Camp ฝั่งทิเบต ที่รถยนตร์ จากเมือง ลาซา ที่ความสูง 3,600 เมตร จนมาถึง ที่ระดับความสูง 5,200 เมตร ถึงตีนเขา เอเวอร์เรส ก็ดีใจมาก ที่จะมาเติมความฝันของตัวข้าพเจ้าให้เต็ม ประหยัดแรงเดินไปตั้งเยอะ สะดวกกว่ามากกว่าฝั่งเนปาล
การมาเยี่ยม Everest Base Camp ในทิเบต ด้วยตัวเองนั้น ยังคงไม่ง่ายนัก เนื่องจากต้องใช้ Permit มากมายหลายขั้นตอน ดังนั้นการใช้บริการทัวร์ฝั่งไทยและฝั่งทิเบต จึงยังเป็นสิ่งที่จำเป็น การเดินทางมาลาซา ทิเบต จะเลือกบินตรงมาเลยก็ได้ หรือ ไปนั่งรถไฟสาย Trans Tibet จาก เมืองซีหนิง Xi Ning มาลาซาก็ได้ แล้วแต่ว่าอยากจะเพิ่มความมันส์ ให้กับชีวิตสักขนาดไหน
การปรับสภาพความสูงสำหรับคนไทย เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ดังนั้น การมานั่งๆนอนๆพักผ่อน ชมวัด และสถานที่ท่องเที่ยวใน ลาซา แบบ ชิลๆ ง่ายๆ ไม่เร่งร้อน สักสองถึงสี่วัน จึงสำคัญมาก แล้วค่อยๆ เริ่มเดินทาง แว่ะระหว่างทางไปแบบสบายๆ จะช่วยให้ร่างกายของเรา ไม่ฝืนเกินไป
บนที่ราบสูงทิเบตนี้ มีความสูงตั้งแต่ สามพันเมตร ถึงสี่พันห้าร้อยเมตร ก็นับว่าสูงมากเมื่อเทียบกับกรุงเทพ ที่มีความสูงเหนือน้ำทะเลแค่ สามสี่เมตร และ ที่ทิเบตนี้ มีเทือกเขาหิมาลัย สูง หกพันถึงแปดพันเมตรยาวหลายพันกิโลเมตร ขวางทางลม บังเมฆฝน ที่พัดมาจากมหาสมุทรอินเดีย ทำให้เมฆฝนจะลอยสูง ไปตกอีกทีแถวไซบีเรียปู้น ดังนั้น พื้นที่แถวนี้ จนถึงซินเกียง เลยกลายเป็นพื้นที่อับฝน ได้แต่มองเมฆ พัดข้ามหัวไป พื้นที่แถวนี้ ก็เลยกลายเป็นทะเลหิน ภูเขาหิน สุดลูกหูลูกตา แต่ก็ยังดีที่ ยอดภูเขาที่สูงเกิน ห้าพันเมตร ที่มีหิม่ะปกคลุมทั้งปี มีหลายสิบยอด ที่คอยให้น้ำที่ละลายจากหิม่ะ มาป้อนเป็นน้ำดื่มน้ำใช้ให้กับคนทิเบตมาช้านาน
คนทิเบตใช้น้ำที่ละลายจากหิม่ะบนยอดเขา ปลูกข้าวบาร์เลย์ ได้ปีล่ะครั้ง สี่เดือนจึงจะเก็บเกี่ยวได้ กับเลี้ยงวัวจามรี หรือ Yak ก็นับว่าลำบากยากจนมาก ช่วงที่ข้าพเจ้ามาชม Everest Peak นี้ เป็นปลายเดือนพฤษภาคม 2024 นี้ เริ่มเข้าหน้าร้อนแล้ว ที่ลาซา อุณหภูมิ 12-20°C และที่ Everest Base Camp อยู่ที่ -4° ถึง 15° C แต่ตอนหัวค่ำลมเย็นจะไหลพรั่งพรู ไหลลงมาจากยอดเขา Everest ลงมาตาม Gracier และ ลำห้วย จนมาถึงแค้มป์ จะรู้สึกหนาวลมเป็นพิเศษ
ข้าพเจ้านั่งมองยอดเขา Everest จนพระอาทิตย์ตก ระหว่างนั้นก็ใช้กล้องส่องทางไกลขนาดเล็กที่พกเอามาด้วย ก็สังเกตุว่า ส่วนยอดของภูเขาจะเป็นทรงสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ใต้สามเหลี่ยมหน้าจั่วนั้น จะเป็น หินปูน Limestone bed ที่เหลืองนวล ที่ชัน สังเกตุง่ายเพราะจะไม่มีหิม่ะปิดคลุม และใต้นั้นเขาว่ากันว่าจะเป็น Slightly metamorphosed rock สีเทาเข้ม และ รองรับด้วย Granitic gneiss สีเหลืองนวลอีกทีหนึ่ง ซึ่ง หินที่ว่ามานี้ มีความทนทานต่อการบีบอัดและ ผุกร่อนได้ดี จึงอาจจะเป็นส่วนที่สำคัญที่ทำให้ ยอดเขาเอเวอร์เรส ถึงยืนตระหง่านเสียดฟ้า ได้สูงที่สุดในโลก
ข้าพเจ้าดีใจมาก ที่ได้มาเยือนใกล้ๆ ระยะทางวัดบน Google map ก็แค่ 8 กิโลเมตร มันดูเหมือนอยู่ใกล้มาก แทบจะเอื้อมเอามือไปจับได้เลยล่ะขอรับ Everest Base Camp ฝั่งทิเบตนี้ ไปง่ายมาง่าย เห็นยอดเขาเอเวอร์เรส เหมือนกัน ค่าใช้จ่ายถูกกว่าฝั่งเนปาล และดีกว่าที่ไม่ต้องเดิน จึงน่าสนใจมากกว่าเยอะ ข้าพเจ้าจึงอยากจะเชิญชวนเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ มิตรสหายทุกท่านมาเที่ยวกันน่ะครับ
คุ้มค่าจริงๆครับ
-------------------------------------------------
ที่มา
- https://www.facebook.com/waranon555
รวบรวมข้อมูลและภาพ
-------------------------------------------------
บทความ วรานนท์ หล้าพระบาง (Waranon Laprabang) รวมข้อมูล
รวมบทความที่น่าสนใจจากนักธรณีวิทยาของไทย-------------------------------------------------