1987 ถ้ำโม่เกา (Mogao Caves)

แผนที่ https://maps.app.goo.gl/ABNR9Cax3zWFQsPn9
ถ้ำโม่เกา (Mogao Caves): ขุมทรัพย์ศิลปะและศาสนาแห่งเส้นทางสายไหม ประเทศจีน มรดกโลกแห่งพุทธศิลป์และศูนย์กลางวัฒนธรรมบนเส้นทางสายไหม
ถ้ำโม่เกา (Mogao Caves) ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของโอเอซิสเมืองตุนหวง (Dunhuang) ในมณฑลกานซู (Gansu Province) สาธารณรัฐประชาชนจีน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ในปีคริสต์ศักราช 1987 (พ.ศ. 2530) สถานที่อันน่าทึ่งแห่งนี้เป็นที่รู้จักในฐานะแหล่งรวมพุทธศิลป์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด อุดมสมบูรณ์ที่สุด และมีการใช้งานยาวนานที่สุดในโลก โดยสะท้อนถึงวิวัฒนาการของพุทธศิลป์ในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 (พุทธศตวรรษที่ 9) จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 (พุทธศตวรรษที่ 19) การก่อสร้างถ้ำเริ่มต้นขึ้นในคริสต์ศักราช 366 (พ.ศ. 909) เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับการบำเพ็ญภาวนาและการสักการะบูชาในพระพุทธศาสนา และยังคงได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 (พ.ศ. 1843) ด้วยทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์บนเส้นทางสายไหม (Silk Road) โบราณ ถ้ำโม่เกาจึงเป็นจุดเชื่อมต่อสำคัญสำหรับการค้า รวมถึงอิทธิพลทางศาสนา วัฒนธรรม และภูมิปัญญา
แหล่งมรดกแห่งนี้ประกอบด้วยถ้ำที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้จำนวน 492 ถ้ำ ซึ่งมีภาพจิตรกรรมฝาผนังประมาณ 45,000 ตารางเมตร และประติมากรรมแกะสลักและปั้นกว่า 2,000 ชิ้น ผลงานศิลปะเหล่านี้มอบข้อมูลเชิงลึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปะ ศาสนา ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ และวิถีชีวิตในภาคตะวันตกของจีนยุคกลาง ศิลปะอันโดดเด่นที่พบในตุนหวงเป็นการผสมผสานระหว่างประเพณีศิลปะของชาวฮั่น (Han Chinese) กับอิทธิพลจากศิลปะอินเดียโบราณ (ancient Indian) ศิลปะคันธาระ (Gandharan) ศิลปะเตอร์ก (Turk) ศิลปะทิเบตโบราณ (ancient Tibetan) และวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ของจีน
คุณค่าสากลอันโดดเด่น (Outstanding Universal Value)
ถ้ำโม่เกาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีคริสต์ศักราช 1987 (พ.ศ. 2530) เนื่องจากมีคุณค่าสากลอันโดดเด่น (Outstanding Universal Value - OUV) ที่ตรงตามเกณฑ์ทางวัฒนธรรมทั้งหกข้อ (i, ii, iii, iv, v, และ vi) ดังต่อไปนี้:
-
เกณฑ์ (i): เป็นความสำเร็จทางศิลปะที่ไม่เหมือนใครและเป็นผลงานชิ้นเอกของอัจฉริยภาพในการสร้างสรรค์ของมนุษย์ ถ้ำโม่เกาประกอบด้วยถ้ำ 492 ถ้ำที่แกะสลักเข้าไปในหน้าผา ซึ่งภายในบรรจุประติมากรรมแกะสลักและปั้นกว่า 2,000 ชิ้น และภาพจิตรกรรมฝาผนังประมาณ 45,000 ตารางเมตร ซึ่งหลายชิ้นถือเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะจีน ผลงานเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการของพุทธศิลป์ตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 4 (พุทธศตวรรษที่ 9) ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 (พุทธศตวรรษที่ 19)
-
เกณฑ์ (ii): มีบทบาทสำคัญในการแลกเปลี่ยนทางศิลปะระหว่างจีน เอเชียกลาง และอินเดีย ตลอดระยะเวลากว่าหนึ่งพันปี ตั้งแต่ราชวงศ์เว่ยเหนือ (Northern Wei Dynasty) ถึงราชวงศ์หยวน (Yuan Dynasty) ถ้ำโม่เกาเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับการถ่ายทอดและการผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรมพุทธตามเส้นทางสายไหม ศิลปะที่นี่สะท้อนให้เห็นถึงการหลอมรวมประเพณีศิลปะของชาวฮั่นกับรูปแบบศิลปะจากอินเดียโบราณ คันธาระ เติร์ก ทิเบตโบราณ และวัฒนธรรมชนกลุ่มน้อยอื่นๆ ของจีน
-
เกณฑ์ (iii): เป็นประจักษ์พยานอันพิเศษต่ออารยธรรมจีนโบราณ ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่โม่เกาให้ข้อมูลที่กว้างขวางและมีชีวิตชีวา depicting ด้านต่างๆ ของการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ศิลปะ ศาสนา ความสัมพันธ์ทางชาติพันธุ์ และวิถีชีวิตในภาคตะวันตกของจีนยุคกลางในช่วงราชวงศ์สุย (Sui Dynasty) ถัง (Tang Dynasty) และซ่ง (Song Dynasty) การค้นพบ "ถ้ำคัมภีร์" (Library Cave) ซึ่งมีต้นฉบับหลายหมื่นเล่ม ให้ข้อมูลเชิงลึกอันล้ำค่าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันซับซ้อนของจีนโบราณและเอเชียกลาง
-
เกณฑ์ (iv): เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของแหล่งพุทธศิลปะถ้ำหิน ถ้ำเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่น่าทึ่งของหมู่ถ้ำวัดพุทธ (Buddhist grotto temple complex) ซึ่งทำหน้าที่เป็นสถานที่สำหรับพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนในการศึกษาหลักธรรมและบำเพ็ญภาวนา
-
เกณฑ์ (v): รักษาตัวอย่างของที่ตั้งสำนักสงฆ์แบบดั้งเดิม ด้วยการเป็นที่พำนักของพระสงฆ์มานานหลายศตวรรษ หมู่ศิลปะถ้ำหินที่โม่เกาจึงเป็นตัวแทนของที่ตั้งสำนักสงฆ์แบบดั้งเดิม
-
เกณฑ์ (vi): มีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ข้ามทวีปและการเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั่วเอเชีย ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์บนเส้นทางสายไหม โอเอซิสตุนหวงที่ถ้ำตั้งอยู่นั้นเป็นสถานีถ่ายทอดที่สำคัญสำหรับการแลกเปลี่ยนไม่เพียงแต่สินค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแนวคิดต่างๆ ต้นฉบับที่พบภายในถ้ำ รวมถึงข้อความภาษาจีน ทิเบต โซกดิก คุตาน อุยกูร์ และแม้แต่ฮีบรู เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของประวัติศาสตร์อันรุ่มรวยของการแลกเปลี่ยนข้ามวัฒนธรรมและการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
บริบททางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม (Historical and Architectural Context)
การก่อสร้างถ้ำโม่เกาเริ่มขึ้นในคริสต์ศักราช 366 (พ.ศ. 909) ซึ่งเป็นยุคที่พระพุทธศาสนาเริ่มแพร่หลายในภูมิภาคเอเชียกลางและจีน สถานที่แห่งนี้ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากราชวงศ์ต่างๆ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 14 (พ.ศ. 1843) ซึ่งครอบคลุมระยะเวลาเกือบหนึ่งพันปี ข้อมูลที่นำเสนอในที่นี้อ้างอิงจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่ได้รับการยืนยันเป็นข้อเท็จจริง
ถ้ำเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน แต่เป็นผลมาจากการแกะสลักและการประดับตกแต่งเพิ่มเติมโดยผู้ศรัทธาในช่วงเวลาต่างๆ ทำให้เกิดลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย ภายในถ้ำทั้ง 492 ถ้ำ ประกอบด้วยองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมที่แกะสลักเข้าไปในหิน เช่น เสา ซุ้มประตู และแท่นบูชา โดยมีการใช้เทคนิคการเจาะหินและการปั้นดินเหนียวเป็นโครงสร้างหลัก
จุดเด่นทางสถาปัตยกรรมและศิลปะอยู่ที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังขนาดรวมประมาณ 45,000 ตารางเมตร และประติมากรรมแกะสลักและปั้นกว่า 2,000 ชิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ เทวดา และภาพบุคคลสำคัญทางศาสนา ศิลปะที่ปรากฏเป็นเอกลักษณ์ของตุนหวงนั้น เป็นการผสมผสานศิลปะจากหลากหลายอารยธรรมอย่างกลมกลืน ตั้งแต่ศิลปะอินเดียและคันธาระในยุคแรกเริ่ม ซึ่งแสดงให้เห็นอิทธิพลของพระพุทธรูปที่มีมวยผมและลักษณะทางกายภาพแบบอินเดีย ไปจนถึงศิลปะเปอร์เซียและกรีกที่มาพร้อมกับเส้นทางสายไหม และในที่สุดก็หลอมรวมเข้ากับประเพณีศิลปะจีนของชาวฮั่นอย่างสมบูรณ์แบบในช่วงราชวงศ์ถัง สิ่งนี้สะท้อนผ่านการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบการแต่งกาย ท่าทาง และรายละเอียดทางสถาปัตยกรรมที่ปรากฏในภาพจิตรกรรมฝาผนังและประติมากรรม
ภาพจิตรกรรมฝาผนังยังทำหน้าที่เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์อันมีค่า แสดงถึงเรื่องราวจากชาดกพุทธประวัติ นิทานชาดก ภาพพุทธประวัติ ภาพจิตรกรรมพุทธปรินิพพาน และภาพวิถีชีวิตของสังคมในยุคต่างๆ รวมถึงภาพวาดของบุคคลสำคัญ ผู้บริจาค และการเฉลิมฉลองทางศาสนา เทคนิคการวาดภาพใช้แร่ธาตุและเม็ดสีธรรมชาติ ซึ่งมีส่วนช่วยในการรักษาสภาพของงานศิลปะเหล่านี้ให้คงอยู่มาได้หลายศตวรรษ
จุดเด่นที่สำคัญ (Key Highlights)
ถ้ำโม่เกาโดดเด่นด้วยองค์ประกอบสำคัญหลายประการที่ยืนยันถึงสถานะมรดกโลก:
-
ถ้ำคัมภีร์ (Library Cave - ถ้ำที่ 17): การค้นพบครั้งสำคัญในคริสต์ศักราช 1900 (พ.ศ. 2443) ถ้ำคัมภีร์นี้ถูกปิดผนึกไว้ในคริสต์ศตวรรษที่ 11 (พุทธศตวรรษที่ 16) และภายในบรรจุเอกสาร ต้นฉบับ และสิ่งประดิษฐ์จำนวนมหาศาลกว่า 50,000 ชิ้น รวมถึงภาพวาด และสิ่งทอ เอกสารเหล่านี้ไม่เพียงแต่มีคัมภีร์พุทธศาสนาที่ไม่ซ้ำใครเท่านั้น แต่ยังมีข้อความศาสนาอื่นๆ เช่น มานิเคียน (Manichaean) คริสเตียน (Christian) และโซโรแอสเตอร์ (Zoroastrian) ซึ่งสะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมอันหลากหลายบนเส้นทางสายไหม
-
วิวัฒนาการทางศิลปะ: ศิลปะภายในถ้ำแสดงถึงวิวัฒนาการที่ต่อเนื่องและโดดเด่นของพุทธศิลป์ในภูมิภาคนี้ ตลอดระยะเวลาหนึ่งพันปี ตั้งแต่ศิลปะอินเดียและคันธาระในยุคแรกไปจนถึงการผสมผสานกับศิลปะจีนที่พัฒนาอย่างเต็มที่ในราชวงศ์ถัง ทำให้เกิดรูปแบบศิลปะตุนหวงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
-
ประติมากรรมและจิตรกรรมฝาผนัง: ถ้ำแห่งนี้เป็นแหล่งรวมประติมากรรมแกะสลักและปั้น และจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์และศิลปะอันล้ำค่า ที่สะท้อนภาพรวมของสังคม การเมือง เศรษฐกิจ และความเชื่อในยุคต่างๆ ของจีน
-
ศูนย์กลางเส้นทางสายไหม: ตำแหน่งที่ตั้งของถ้ำโม่เกาเป็นหัวใจของเส้นทางสายไหม ทำให้เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้า แนวคิด และวัฒนธรรมระหว่างตะวันออกและตะวันตก ซึ่งเห็นได้ชัดจากความหลากหลายทางศิลปะและเอกสารที่ค้นพบ
ความพยายามในการอนุรักษ์ถ้ำโม่เกาได้รับการดูแลโดย Dunhuang Research Academy โดยร่วมมือกับองค์กรต่างๆ เช่น Getty Conservation Institute โดยมุ่งเน้นที่การเสริมความแข็งแรงของโครงสร้าง การบูรณะ การรักษาสภาพจิตรกรรมฝาผนัง และการจัดทำเอกสารดิจิทัล เพื่อให้มรดกอันล้ำค่านี้คงอยู่ต่อไป
ถ้ำโม่เกา (Mogao Caves) เป็นประจักษ์พยานอันล้ำค่าของมนุษยชาติและพุทธศิลป์ที่ยืนยงผ่านกาลเวลาบนเส้นทางสายไหม สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นแหล่งรวบรวมงานศิลปะพุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ศาสนา และภูมิปัญญาที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์ การอนุรักษ์ถ้ำโม่เกาจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพื่อรักษาคุณค่าสากลอันโดดเด่นของแหล่งมรดกโลกแห่งนี้ไว้ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติสืบไป
.
-------------------------
ที่มา
- https://whc.unesco.org/en/list
- http://www.globalgeopark.org
- https://www.unesco.org/en/mab/wnbr/
รวบรวมรูปภาพ
-------------------------
------------------------


