1984 พระราชวังหลวงของราชวงศ์หมิงและชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง (Imperial Palaces of the Ming and Qing Dynasties)

พระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่ง แผนที่ https://maps.app.goo.gl/ujNFi3tryyPeperC8
พระราชวังหลวงในเสิ่นหยาง แผนที่ https://maps.app.goo.gl/fWA3htLU8cVPHeyH7
พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง (Imperial Palaces of the Ming and Qing Dynasties) มรดกโลกสะท้อนอำนาจแห่งจักรพรรดิ ประเทศจีน
พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและชิงในปักกิ่งและเสิ่นหยาง คือ มรดกโลกทางวัฒนธรรมที่ประกอบด้วยพระราชวังหลวง 2 แห่ง อันเป็นสัญลักษณ์แห่งอำนาจของจักรพรรดิในสองราชวงศ์สำคัญของจีน ได้แก่ พระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่ง และ พระราชวังมุกเด็น ในเมืองเสิ่นหยาง ทั้งสองแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2530 และ 2547 ตามลำดับ
พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและชิง (Imperial Palaces of the Ming and Qing Dynasties) ในสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยองค์การยูเนสโก (UNESCO) แหล่งมรดกแห่งนี้ประกอบด้วยพระราชวังสองแห่งที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ ได้แก่ พระราชวังต้องห้าม (Forbidden City) ในกรุงปักกิ่ง และพระราชวังมุกเดน (Mukden Palace) หรือพระราชวังเสิ่นหยาง (Shenyang Imperial Palace) ในเมืองเสิ่นหยาง
พระราชวังต้องห้าม ในกรุงปักกิ่งถูกสร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1406 (พ.ศ. 1949) ถึง ค.ศ. 1420 (พ.ศ. 1963) ในรัชสมัยของจักรพรรดิหย่งเล่อ (Yongle Emperor) แห่งราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) และทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการปกครองและที่ประทับของจักรพรรดิจีนถึง 24 พระองค์ (14 พระองค์จากราชวงศ์หมิง และ 10 พระองค์จากราชวงศ์ชิง) เป็นระยะเวลากว่า 505 ปี พระราชวังแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 720,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยอาคารถึง 980 หลัง และมีห้องเกือบ 10,000 ห้อง ล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 10 เมตร และคูน้ำกว้าง 5.2 เมตร ปัจจุบันเป็นที่รู้จักในนามพิพิธภัณฑ์พระราชวัง (Palace Museum)
ส่วนพระราชวังมุกเดน ในเมืองเสิ่นหยาง สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ. 1625 (พ.ศ. 2168) ถึง ค.ศ. 1637 (พ.ศ. 2180) โดยนูร์ฮาชี (Nurhaci) เพื่อเป็นที่ประทับของบรรพบุรุษชาวแมนจู (Manchu) แห่งราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ก่อนที่ราชวงศ์จะย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงปักกิ่งในปี ค.ศ. 1644 (พ.ศ. 2187) แม้จะมีขนาดเล็กกว่าพระราชวังต้องห้าม แต่ก็มีความสำคัญอย่างยิ่งในฐานะพยานแห่งการก่อตั้งราชวงศ์ชิงและสะท้อนถึงประวัติศาสตร์ ตลอดจนขนบธรรมเนียมทางวัฒนธรรมของชาวแมนจูและชนเผ่าอื่นๆ ในภาคเหนือของจีน
พระราชวังหลวงทั้งสองแห่งนี้ได้รับการยกย่องในระดับสากล โดยพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ. 2530) และพระราชวังเสิ่นหยางได้ถูกขยายรวมเข้าเป็นแหล่งมรดกโลกเดียวกันในปี ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) ซึ่งเป็นการตอกย้ำถึงคุณค่าสากลอันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมจักรพรรดิแห่งอารยธรรมจีน
คุณค่าสากลอันโดดเด่น (Outstanding Universal Value)
พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและชิงได้รับการยอมรับในคุณค่าสากลอันโดดเด่นตามเกณฑ์ทางวัฒนธรรมสี่ข้อของยูเนสโก ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญทางสถาปัตยกรรม การแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การเป็นประจักษ์พยานอันพิเศษของอารยธรรมจีน และความยิ่งใหญ่ของสถาบันจักรพรรดิ
-
เกณฑ์ (i): เป็นผลงานชิ้นเอกในการพัฒนาสถาปัตยกรรมพระราชวังในจีน พระราชวังเหล่านี้เป็นผลงานชิ้นเอกของสถาปัตยกรรมพระราชวังจักรพรรดิในประเทศจีน โดยเฉพาะพระราชวังต้องห้าม ซึ่งเป็นหมู่พระราชวังโบราณที่ใหญ่ที่สุดและได้รับการอนุรักษ์ดีที่สุดในโลก แสดงให้เห็นถึงมาตรฐานสูงสุดของเทคโนโลยีและงานฝีมือสถาปัตยกรรมจีนโบราณ
-
เกณฑ์ (ii): แสดงถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพลที่สำคัญระหว่างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมและสถาปัตยกรรมพระราชวังจีน โดยเฉพาะในคริสต์ศตวรรษที่ 17 และ 18 สถาปัตยกรรมของหมู่พระราชวัง โดยเฉพาะพระราชวังเสิ่นหยาง แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนอิทธิพลที่สำคัญระหว่างสถาปัตยกรรมแมนจู (Manchu) ดั้งเดิมและสถาปัตยกรรมพระราชวังจีนในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 17 (พุทธศตวรรษที่ 22) และ 18 (พุทธศตวรรษที่ 23) อาคารทางศาสนาบางแห่งภายในยังเป็นพยานถึงการผสมผสานและการแลกเปลี่ยนทางสถาปัตยกรรมระหว่างวัฒนธรรมฮั่น (Han), แมนจู (Manchu), มองโกเลีย (Mongolian) และทิเบต (Tibetan)
-
เกณฑ์ (iii): เป็นประจักษ์พยานอันพิเศษของอารยธรรมจีนในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง พระราชวังเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นประจักษ์พยานอันยอดเยี่ยมของอารยธรรมจีนในช่วงราชวงศ์หมิงและชิง เป็นแหล่งรวมของภูมิทัศน์ สถาปัตยกรรม เครื่องตกแต่ง และวัตถุศิลปะอันทรงคุณค่า และยังเป็นหลักฐานที่พิเศษของประเพณีและขนบธรรมเนียมการนับถือภูตผี (Shamanism) ที่ปฏิบัติโดยชาวแมนจูมานานหลายศตวรรษ
-
เกณฑ์ (iv): เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของหมู่สถาปัตยกรรมพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในจีน พระราชวังหลวงเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของหมู่สถาปัตยกรรมพระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศจีน ซึ่งแสดงถึงความสง่างามของสถาบันจักรพรรดิย้อนหลังไปตั้งแต่ราชวงศ์ชิงไปจนถึงราชวงศ์หมิงและหยวน (Yuan Dynasty) โดยรวมประเพณีแมนจู (Manchu) เข้าไว้ด้วยกัน และนำเสนอหลักฐานของการวิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมนี้ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 (พุทธศตวรรษที่ 22) และ 18 (พุทธศตวรรษที่ 23) การวางผังเมืองที่เป็นระบบและเทคนิคการก่อสร้างที่ซับซ้อนของพระราชวังต้องห้ามเป็นจุดสูงสุดของความรู้ด้านวิศวกรรมและการออกแบบของมนุษย์
บริบททางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม (Historical and Architectural Context)
1. พระราชวังต้องห้าม (The Forbidden City) ในกรุงปักกิ่ง
พระราชวังต้องห้าม หรือวังกู้กง (Gugong) ตั้งอยู่ใจกลางกรุงปักกิ่ง และถือเป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดและสมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ก่อสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง ระหว่างปี ค.ศ. 1406–1420 สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อแห่งราชวงศ์หมิง (พ.ศ. 1948) เป็นศูนย์กลางอำนาจของจักรพรรดิ 24 พระองค์ สถาปัตยกรรมแบบจีนโบราณอันยิ่งใหญ่ ประกอบด้วยอาคาร 980 หลังสถาปัตยกรรมของพระราชวังแสดงถึงความงดงามและความสมดุลของศิลปะจีนแบบดั้งเดิม ตัวอาคารสร้างจากไม้ทั้งหมดและมุงด้วยหลังคากระเบื้องเคลือบสีเหลือง ซึ่งเป็นสีที่ใช้เฉพาะกับจักรพรรดิพระราชวังต้องห้ามมีพื้นที่กว้างใหญ่กว่า 720,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยห้องต่างๆ มากกว่า 9,000 ห้อง แบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก แบ่งเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
พระราชฐานชั้นนอก (Outer Court): ใช้เป็นสถานที่สำหรับประกอบพิธีการสำคัญทางราชการ และเป็นศูนย์กลางในการติดต่อระหว่างจักรพรรดิกับขุนนาง
พระราชฐานชั้นใน (Inner Court): เป็นที่อยู่อาศัยของจักรพรรดิและครอบครัว รวมทั้งข้าราชสำนักที่ทำงานใกล้ชิด
สถานที่สำคัญภายในพระราชวังต้องห้าม ได้แก่
หอไท่เหอ (Hall of Supreme Harmony): ห้องบัลลังก์หลักที่ใช้สำหรับประกอบพิธีสำคัญต่าง ๆ เช่น พิธีราชาภิเษก
หอเป่าเหอ (Hall of Preserving Harmony): ใช้สำหรับงานราชการที่สำคัญและพิธีต่าง ๆ
พระตำหนักเฉียนชิง (Palace of Heavenly Purity): เป็นห้องที่จักรพรรดิใช้ประทับส่วนพระองค์
พระราชวังต้องห้าม เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งเต็มไปด้วยศิลปะ วัฒนธรรม และสถาปัตยกรรมที่งดงาม ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวจากทั่วโลกต้องมาเยี่ยมชม
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์: การก่อสร้างพระราชวังต้องห้ามเริ่มต้นในเดือนที่สี่ของปี ค.ศ. 1406 (พ.ศ. 1949) และแล้วเสร็จในปี ค.ศ. 1420 (พ.ศ. 1963) ในรัชสมัยของจักรพรรดิหย่งเล่อ (Yongle Emperor) แห่งราชวงศ์หมิง (Ming Dynasty) โดยเป็นศูนย์กลางทางการเมืองและพิธีกรรมของจักรวรรดิจีนมายาวนานกว่าห้าศตวรรษ พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิ 24 พระองค์ (14 พระองค์จากราชวงศ์หมิง และ 10 พระองค์จากราชวงศ์ชิง) ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อารยธรรมจีนรุ่งเรืองและมีการปกครองแบบรวมศูนย์ที่เข้มแข็ง (ไม่มีตำนานเฉพาะเจาะจงที่ระบุในรายงานนี้ ข้อมูลทั้งหมดจึงอ้างอิงจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์)
สถาปัตยกรรม: พระราชวังต้องห้ามถือเป็นแบบอย่างสูงสุดของการพัฒนาสถาปัตยกรรมพระราชวังจีนโบราณ สะท้อนถึงวัฒนธรรมการปกครองแบบลำดับชั้นที่ซับซ้อนและยิ่งใหญ่ พระราชวังครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ประมาณ 720,000 ตารางเมตร ประกอบด้วยอาคารหลักและอาคารประกอบถึง 980 หลัง และมีห้องต่างๆ เกือบ 10,000 ห้อง โครงสร้างทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 10 เมตร และมีคูน้ำกว้าง 5.2 เมตร โดยรอบเพื่อป้องกัน
จุดเด่นที่สำคัญ (Key Highlights)
-
ศูนย์กลางแห่งอำนาจและวัฒนธรรม: เป็นศูนย์กลางการปกครองของจีนมานานกว่าห้าศตวรรษ และเป็นสัญลักษณ์อันล้ำค่าของอารยธรรมจีนในช่วงราชวงศ์หมิงและชิง.
-
พิพิธภัณฑ์พระราชวัง: ปัจจุบันเปิดให้สาธารณชนเข้าชมในฐานะพิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุดของจีน ซึ่งจัดแสดงวัตถุโบราณ ศิลปะ และประวัติศาสตร์อันหลากหลาย.
-
สถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่: การออกแบบที่โอ่อ่าสง่างาม โครงสร้างไม้โบราณที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดีเยี่ยม และการจัดวางผังที่เป็นระบบ แสดงถึงวิศวกรรมและสุนทรียศาสตร์ของสถาปัตยกรรมราชสำนักจีน.
-
สามท้องพระโรงหลัก (Three Great Halls): ท้องพระโรงไท่เหอ (Hall of Supreme Harmony), ท้องพระโรงจงเหอ (Hall of Central Harmony), และท้องพระโรงเป่าเหอ (Hall of Preserving Harmony) เป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของสถาปัตยกรรมพิธีการที่ใช้ในการประกอบพระราชพิธีสำคัญ.
การจัดวางผังของพระราชวังถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนหลัก:
-
พระราชฐานชั้นหน้า (Qianchao): ตั้งอยู่ทางทิศใต้ เป็นพื้นที่สำหรับพิธีการและบริหารราชการ ประกอบด้วยท้องพระโรงหลักสามแห่ง ได้แก่
-
ท้องพระโรงไท่เหอ (Hall of Supreme Harmony): ท้องพระโรงที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด ใช้สำหรับพิธีราชาภิเษกและพิธีสำคัญอื่นๆ.
-
ท้องพระโรงจงเหอ (Hall of Central Harmony): ใช้เป็นห้องเตรียมตัวของจักรพรรดิและสำหรับการฝึกซ้อมพิธี.
-
ท้องพระโรงเป่าเหอ (Hall of Preserving Harmony): ใช้สำหรับงานเลี้ยงและพิธีสอบจอหงวน.
-
-
พระราชฐานชั้นใน (Neiting): ตั้งอยู่ทางทิศเหนือ เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของจักรพรรดิ พระมเหสี และพระสนม ประกอบด้วยพระตำหนักสำคัญ ได้แก่
-
พระตำหนักเฉียนชิง (Palace of Heavenly Purity): พระตำหนักที่ประทับและทรงงานของจักรพรรดิ.
-
พระตำหนักเจียวไท่ (Hall of Union): เป็นที่เก็บตราประทับของจักรพรรดิและใช้ในพิธีสำคัญบางอย่าง.
-
พระตำหนักคุนหนิง (Palace of Earthly Tranquility): ที่ประทับของจักรพรรดินี และใช้ในพิธีแต่งงานของจักรพรรดิ.
-
2. พระราชวังมุกเด็น (Mukden Palace) เมืองเสิ่นหยาง
พระราชวังเสิ่นหยาง ตั้งอยู่ในเมืองเสิ่นหยาง มณฑลเหลียวหนิง พระราชวังนี้ก่อสร้างขึ้นในปี 1625 โดยจักรพรรดิหนูเอ่อร์ฮาชื่อ (Nurhaci) ผู้ก่อตั้งราชวงศ์ชิง เมื่อราชวงศ์ชิงย้ายเมืองหลวงไปยังปักกิ่ง พระราชวังเสิ่นหยางก็ยังคงมีความสำคัญในฐานะพระราชวังรอง พระราชวังแห่งนี้มีสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานศิลปะแบบแมนจู ฮั่น มองโกล และทิเบต ซึ่งแสดงถึงการเชื่อมโยงของวัฒนธรรมในช่วงเริ่มต้นของราชวงศ์ชิงพระราชวังเสิ่นหยางประกอบด้วยอาคารมากกว่า 300 หลัง กระจายอยู่ในพื้นที่ประมาณ 60,000 ตารางเมตร โดยมีสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่ง ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมของราชวงศ์ชิง สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดินู่เอ๋อร์ฮาชื่อแห่งราชวงศ์ชิง (พ.ศ. 2168) เป็นที่ประทับของจักรพรรดิราชวงศ์ชิง 3 พระองค์ ก่อนย้ายเมืองหลวงไปปักกิ่ง สถาปัตยกรรมผสมผสานระหว่างจีน มองโกเลีย และแมนจู จุดเด่น เช่น ท้องพระโรง ตำหนักต้าเจิ้งเตี้ยน ตำหนักฉงเจิ้งเตี้ยน สถานที่สำคัญภายในพระราชวังเสิ่นหยาง ได้แก่
ห้องบัลลังก์ใหญ่ (Grand Hall): สถานที่ประกอบพิธีกรรมทางราชการ
หอฮั่นอู่เก๋อ (Phoenix Tower): หอคอยที่มีสถาปัตยกรรมโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์
พระตำหนักเสี้ยวหนิงกง (Palace of Eternal Peace): สถานที่ที่จักรพรรดิหนูเอ่อร์ฮาชื่อใช้ประทับ
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์: พระราชวังมุกเดนสร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1625 (พ.ศ. 2168) ถึง ค.ศ. 1637 (พ.ศ. 2180) ภายใต้การนำของนูร์ฮาชี (Nurhaci) และต่อมาโดยหวงไท่จี๋ (Hong Taiji) สำหรับเป็นที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของบรรพบุรุษชาวแมนจู (Manchu) แห่งราชวงศ์ชิง (Qing Dynasty) ก่อนที่จะมีการย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงปักกิ่งในปี ค.ศ. 1644 (พ.ศ. 2187) พระราชวังแห่งนี้จึงเป็นพยานสำคัญในการก่อตั้งและช่วงต้นของราชวงศ์ชิง (ไม่มีตำนานเฉพาะเจาะจงที่ระบุในรายงานนี้ ข้อมูลทั้งหมดจึงอ้างอิงจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์)
สถาปัตยกรรม: แม้จะมีขนาดเล็กกว่าพระราชวังต้องห้าม แต่พระราชวังมุกเดนมีความโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานลักษณะของวัฒนธรรมฮั่น (Han), แมนจู (Manchu) และมองโกเลีย (Mongolian) เข้าไว้ด้วยกันอย่างกลมกลืน ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทของราชวงศ์ชิงในการรวมกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในช่วงเริ่มต้นของการปกครอง การจัดวางอาคารภายในพระราชวังเป็นไปตามระบบ "แปดกองธง" (Eight Banners) ซึ่งเป็นโครงสร้างสังคมและการปกครองของชาวแมนจู ทำให้พระราชวังแห่งนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในหมู่สิ่งปลูกสร้างแบบพระราชวัง และเป็นหนึ่งในไม่กี่สถานที่ทางประวัติศาสตร์ของจีนที่รวบรวมวัฒนธรรมของชนกลุ่มน้อยไว้ได้อย่างชัดเจน
จุดเด่นที่สำคัญ (Key Highlights)
-
การผสมผสานทางวัฒนธรรม: เป็นแหล่งมรดกที่สะท้อนการผสมผสานทางสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมระหว่างชนเผ่าฮั่น (Han), แมนจู (Manchu) และมองโกเลีย (Mongolian) ซึ่งหาได้ยากในพระราชวังจีนอื่นๆ.
-
การจัดวางตามระบบแปดกองธง (Eight Banners System): ผังของพระราชวังแสดงถึงระบบสังคมและการทหารอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวแมนจู ซึ่งทำให้มีลักษณะเฉพาะตัวและเป็นพยานถึงวิถีชีวิตของราชวงศ์ชิงในยุคแรกเริ่ม.
-
พยานแห่งการก่อตั้งราชวงศ์ชิง: มีบทบาทสำคัญในฐานะที่ประทับและศูนย์กลางอำนาจของราชวงศ์ชิงในยุคก่อนการย้ายเมืองหลวงไปยังปักกิ่ง ทำให้เป็นแหล่งศึกษาประวัติศาสตร์การกำเนิดของราชวงศ์ที่ทรงอำนาจที่สุดแห่งหนึ่งของจีน.
พระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและชิง ในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เป็นสัญลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของอารยธรรมจีนที่สะท้อนถึงอำนาจทางการเมือง ความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม และความเป็นเลิศทางสถาปัตยกรรมในช่วงสองราชวงศ์สุดท้ายของจักรวรรดิจีน พระราชวังต้องห้ามด้วยขนาดอันโอ่อ่าและผังที่แสดงถึงลำดับชั้นการปกครอง สะท้อนถึงศูนย์กลางอำนาจแห่งราชวงศ์ ส่วนพระราชวังมุกเดนเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ของการก่อตั้งราชวงศ์ชิง และการหลอมรวมวัฒนธรรมอันหลากหลายของชาวแมนจู ฮั่น และมองโกเลีย
แหล่งมรดกโลกทั้งสองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงอาคารเก่าแก่ แต่เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่รวบรวมประวัติศาสตร์ สถาปัตยกรรม ศิลปะ และประเพณีอันลึกซึ้งของจีนไว้ด้วยกัน คุณค่าสากลอันโดดเด่นที่ยูเนสโกรับรอง ตอกย้ำถึงความสำคัญในการเป็นผลงานชิ้นเอกทางสถาปัตยกรรม การเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม การเป็นประจักษ์พยานของอารยธรรม และการเป็นตัวอย่างของสถาปัตยกรรมพระราชวังอันยิ่งใหญ่ การอนุรักษ์แหล่งมรดกเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาเรียนรู้และชื่นชมมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่ถ่ายทอดจากอดีตสู่ปัจจุบัน.
ทั้งสองพระราชวังเป็นตัวแทนของศิลปะสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ของราชวงศ์หมิงและชิง และเป็นศูนย์กลางของการปกครองประเทศจีนในช่วงสองราชวงศ์นี้ พระราชวังหลวงจึงไม่เพียงแต่มีความสำคัญในฐานะที่อยู่อาศัยของจักรพรรดิเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางทางการเมือง วัฒนธรรม และพิธีกรรมที่ทรงอิทธิพลต่อประวัติศาสตร์จีนเป็นอย่างมาก
ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม
ทั้งพระราชวังต้องห้ามในปักกิ่งและพระราชวังเสิ่นหยาง มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์อย่างยิ่ง เพราะเป็นศูนย์กลางการปกครองของราชวงศ์หมิงและชิง ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จีนมีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง สถาปัตยกรรมที่ยิ่งใหญ่และสมบูรณ์แบบของพระราชวังทั้งสองแสดงถึงความสามารถทางวิศวกรรมและศิลปะของชาวจีนในยุคนั้น นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิ ขุนนาง และชีวิตในราชสำนัก
การอนุรักษ์และการท่องเที่ยว
พระราชวังหลวงทั้งสองแห่งได้รับการอนุรักษ์อย่างดีเยี่ยม โดยรัฐบาลจีนให้ความสำคัญในการดูแลรักษาเพื่อให้พระราชวังยังคงเป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า นักท่องเที่ยวที่มาเยี่ยมชมสามารถสัมผัสกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีนผ่านการชมสถาปัตยกรรมและศิลปะภายในพระราชวัง รวมถึงการเดินชมพิพิธภัณฑ์ที่เก็บรักษาเอกสารโบราณ ศิลปวัตถุ และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์หมิงและชิงพระราชวังหลวงของราชวงศ์หมิงและชิงทั้งในปักกิ่งและเสิ่นหยาง เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่สำคัญอย่างยิ่ง ความงดงามของสถาปัตยกรรมที่มีความละเอียดอ่อนและเต็มไปด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ ทำให้พระราชวังทั้งสองเป็นมรดกที่ยิ่งใหญ่ของโลกและของจีน การเยี่ยมชมพระราชวังหลวงเหล่านี้ไม่เพียงแต่เป็นการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นการเรียนรู้และสัมผัสกับความยิ่งใหญ่และวิถีชีวิตในราชสำนักจีนเหตุผลที่ได้รั
การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองแบบจีนโบราณ สะท้อนถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ สังคม และวัฒนธรรมของจีน ในช่วง 5 ศตวรรษ เป็นศูนย์กลางอำนาจทางการเมืองและวัฒนธรรมของจีนในอดีต การเยี่ยมชมพระราชวังหลวงแห่งราชวงศ์หมิงและชิง เปรียบเสมือนการย้อนเวลาสู่อดีตอันรุ่งเรืองของจีน สัมผัสวิถีชีวิตของจักรพรรดิ และชื่นชมสถาปัตยกรรมอันงดงาม
.
-------------------------
ที่มา
- https://whc.unesco.org/en/list
- http://www.globalgeopark.org
- https://www.unesco.org/en/mab/wnbr/
รวบรวมรูปภาพ
-------------------------
------------------------


