2014 เส้นทางสายไหม เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน (Silk Roads: the Routes Network of Chang'an-Tianshan Corridor)

แผนที่ เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน
เส้นทางสายไหมเครือข่ายเส้นทาง Chang'an-Tianshan Corridor มรดกโลกแห่งธรรมชาติและวัฒนธรรมของ ประเทศจีน ข้ามทวีป
"เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน" (Silk Roads: the Routes Network of Chang'an-Tianshan Corridor) เป็นแหล่งมรดกโลกขององค์การยูเนสโก (UNESCO World Heritage Site) ที่ได้รับการยอมรับในฐานะเส้นทางประวัติศาสตร์อันสำคัญยิ่ง เส้นทางมรดกนี้ทอดยาวประมาณ 5,000 กิโลเมตร เชื่อมโยงนครหลวงของจีน ได้แก่ ฉางอาน (Chang'an หรือปัจจุบันคือ ซีอาน – Xi'an) และลั่วหยาง (Luoyang) เข้ากับภูมิภาคเชติซู (Zhetysu) ในเอเชียกลาง ครอบคลุมพื้นที่ในประเทศจีน คาซัคสถาน และคีร์กีซสถาน
เครือข่ายเส้นทางนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 2014 (พ.ศ. 2557) ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญครั้งที่ 38 ณ กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ โดยเป็นการเสนอชื่อร่วมจากสามประเทศได้แก่ จีน คาซัคสถาน และคีร์กีซสถาน ซึ่งประกอบด้วยแหล่งมรดก 33 แห่งย่อย (component sites) แหล่งเหล่านี้ประกอบด้วยเมืองหลวง โบราณสถานพระราชวัง เมืองค้าขาย ถ้ำวัดพุทธศาสนา เส้นทางโบราณ ที่ทำการไปรษณีย์ ช่องเขา หอประภาคาร ส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองจีน ป้อมปราการ สุสาน และอาคารทางศาสนา โดยแบ่งเป็น 22 แห่งในประเทศจีน, 8 แห่งในประเทศคาซัคสถาน และ 3 แห่งในประเทศคีร์กีซสถาน
เครือข่ายเส้นทางนี้เริ่มก่อตัวขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 ก่อนพุทธกาล) ถึงศตวรรษที่ 1 คริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6) และรุ่งเรืองอย่างมากระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 6 ถึง 14 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 11 ถึง 19) ก่อนที่จะยังคงเป็นเส้นทางการค้าสำคัญต่อเนื่องจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21)
คุณค่าโดดเด่นสากล (Outstanding Universal Value)
"เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน" มีคุณค่าโดดเด่นสากลตามเกณฑ์ของยูเนสโก 4 ประการ ดังนี้:
-
(ii) การแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ (Interchange of Human Values): เส้นทางนี้แสดงให้เห็นถึงปฏิสัมพันธ์อันกว้างขวางระหว่างภูมิภาคทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างอารยธรรมเร่ร่อนในทุ่งหญ้า กับอารยธรรมการเกษตร/โอเอซิส/ปศุสัตว์ที่ตั้งถิ่นฐาน ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาอย่างลึกซึ้งในด้านสถาปัตยกรรม การวางผังเมือง ศาสนา วัฒนธรรมเมือง และการค้า
-
(iii) การเป็นประจักษ์พยานอันเป็นเอกลักษณ์แก่ประเพณีวัฒนธรรม (Exceptional Testimony to Cultural Traditions): เส้นทางสายไหมนี้เป็นประจักษ์พยานอันเป็นเอกลักษณ์ของประเพณีการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรม รวมถึงการพัฒนาทางสังคมทั่วทวีปยูเรเซีย ตั้งแต่ศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 ก่อนพุทธกาล) จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 21)
-
(v) ตัวอย่างอันโดดเด่นของการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม (Outstanding Example of Human Interaction with the Environment): เส้นทางนี้แสดงให้เห็นถึงการปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมผ่านการตั้งถิ่นฐานแบบดั้งเดิมและการใช้ที่ดินที่ถูกกำหนดโดยความจำเป็นของการค้า
-
(vi) ความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์และบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์ (Direct Association with Pivotal Historical Events and Figures): แหล่งมรดกนี้มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับเหตุการณ์สำคัญทางประวัติศาสตร์และบุคคลสำคัญ เช่น การสำรวจของ จางเชียน (Zhang Qian) ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 ก่อนพุทธกาล) ซึ่งวางรากฐานสำหรับการแลกเปลี่ยนทางการทูตและการค้ากับเอเชียกลาง รวมถึงการเผยแผ่ศาสนาและปรัชญาที่สำคัญในวงกว้าง
บริบททางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม (Historical and Architectural Context)
ประวัติศาสตร์: "เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน" ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างแรกสุดและกว้างขวางที่สุดของเครือข่ายเส้นทางบกที่เชื่อมโยงอารยธรรมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน การก่อตั้งของเส้นทางนี้เริ่มขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 ก่อนพุทธกาล) ถึงศตวรรษที่ 1 คริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 6) โดยมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมต่อฉางอานและลั่วหยาง ซึ่งเป็นเมืองหลวงหลักของจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่นและราชวงศ์ถัง เข้ากับภูมิภาคเชติซูในเอเชียกลาง ตลอดระยะเวลากว่า 1,800 ปี เส้นทางนี้ได้อำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนที่ลึกซึ้งทั้งในด้านการค้า ความเชื่อทางศาสนา ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ นวัตกรรมทางเทคโนโลยี การปฏิบัติทางวัฒนธรรม และศิลปะ ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาอารยธรรมอันยิ่งใหญ่หลายแห่ง
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ระบุว่า การเดินทางสำรวจของนักสำรวจชาวจีนนามว่า จางเชียน (Zhang Qian) ในศตวรรษที่ 2 ก่อนคริสต์ศักราช (ประมาณพุทธศตวรรษที่ 3 ก่อนพุทธกาล) ได้วางรากฐานสำคัญสำหรับความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้ากับเอเชียกลาง เส้นทางนี้เป็นเครื่องมือสำคัญในการเผยแผ่ศาสนาพุทธจากอินเดียผ่านเอเชียกลางมายังจีน เช่นเดียวกับการแลกเปลี่ยนสินค้าหลากหลายชนิด อาทิ ผ้าไหม เครื่องเทศ เซรามิก และโลหะมีค่า ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่ได้รับการบันทึกไว้ ไม่ใช่ตำนาน
สถาปัตยกรรม: แหล่งมรดกย่อย 33 แห่งตลอดแนว "เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน" แสดงให้เห็นถึงมรดกทางสถาปัตยกรรมที่หลากหลาย สะท้อนบทบาทหลายมิติของเส้นทางนี้ อาทิ:
-
เมืองหลวงและหมู่พระราชวัง: ตัวอย่างเช่น พระราชวังเว่ยหยาง (Weiyang Palace) และพระราชวังต้าหมิง (Daming Palace) ในซีอาน และซากเมืองลั่วหยาง (Luoyang City ruins) ตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกถึงราชวงศ์เว่ยเหนือ
-
ชุมชนการค้า: หลักฐานของกิจกรรมเชิงพาณิชย์ที่คึกคักตามเส้นทาง
-
ถ้ำวัดพุทธศาสนา: เช่น ถ้ำม่อเกา (Mogao Caves) (ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกอยู่แล้วตั้งแต่ ค.ศ. 1987 หรือ พ.ศ. 2530) ถ้ำหลงเหมิน (Longmen Grottoes) (ขึ้นทะเบียน ค.ศ. 2000 หรือ พ.ศ. 2543) และถ้ำไม้จีซาน (Maijishan Grottoes) ซึ่งเป็นพยานถึงการเผยแผ่ศาสนาพุทธ
-
เส้นทางโบราณ ที่ทำการไปรษณีย์ และช่องเขา: รวมถึงช่องเขาหานกู่ (Hangu Pass) และส่วนของถนนโบราณ ซึ่งมีความสำคัญต่อการเดินทางและการสื่อสาร
-
หอประภาคารและป้อมปราการ: รวมถึงบางส่วนของกำแพงเมืองจีนที่สร้างขึ้นเพื่อป้องกันเส้นทางการค้า
-
สุสานและอาคารทางศาสนา: เน้นย้ำถึงความสำคัญทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณของเส้นทาง ตัวอย่างที่โดดเด่นในประเทศคาซัคสถานได้แก่ แหล่ง Aktobe Stepninskoe, Akyrtas, Karamergen, Kayalyk, Kostobe, Kulan, Ornek และ Talgar ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยซากของชุมชนโบราณและสุสานขนาดใหญ่ ส่วนในประเทศคีร์กีซสถานมีสามแหล่ง ได้แก่ ชุมชนโบราณ Suyab (Ak-Beshim), Balasagun (Burana) ซึ่งมีหอบูรานา (Burana Tower) ที่ทำหน้าที่เป็นมินาเร็ตและประภาคารภายในประเทศ และ Nevaket (Krasnaya Rechka) ซึ่งเป็นแหล่งที่ใหญ่ที่สุดในคีร์กีซสถาน แสดงให้เห็นถึงซากปรักหักพังและโบราณวัตถุจากอารยธรรม ราชวงศ์ ชนเผ่า และความเชื่อที่หลากหลาย
จุดเด่นสำคัญ (Key Highlights)
เครือข่ายเส้นทางสายไหมนี้เป็นตัวแทนของหนึ่งในเครือข่ายเส้นทางบกที่เก่าแก่และกว้างขวางที่สุด ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมโยงอารยธรรมตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน เป็นแหล่งมรดกแบบต่อเนื่อง (serial property) ที่มีขนาดประมาณ 5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยแหล่งมรดกย่อย 33 แห่ง กระจายอยู่ในสามประเทศ ได้แก่ จีน (22 แห่ง), คาซัคสถาน (8 แห่ง) และคีร์กีซสถาน (3 แห่ง) แหล่งเหล่านี้ร่วมกันแสดงให้เห็นถึงบทบาทของเครือข่ายในการอำนวยความสะดวกในการแลกเปลี่ยนข้ามทวีปมานานกว่า 1,800 ปี
จุดเด่นสำคัญและเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เยี่ยมชม ได้แก่ แหล่งมรดกในเมืองซีอาน (Xi'an) และลั่วหยาง (Luoyang) ในประเทศจีน ซึ่งมักมีการพัฒนาเพื่อการท่องเที่ยวที่ดีกว่า และหอบูรานา (Burana Tower) ในประเทศคีร์กีซสถาน ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมโดดเด่นที่เหลืออยู่จากเมืองบาลาซากุน (Balasagun) ในยุคกลาง
แนวทางสำหรับผู้เยี่ยมชมและข้อบังคับ (Visitor Guide and Regulations)
สำหรับ "เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน" ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกแบบต่อเนื่องและข้ามชาติ ไม่มีข้อบังคับสำหรับผู้เยี่ยมชมที่รวมศูนย์เป็นหนึ่งเดียว เนื่องจากประกอบด้วยแหล่งย่อยจำนวนมากที่บริหารจัดการโดยหน่วยงานของแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตาม มีข้อมูลสำหรับแหล่งย่อยบางแห่ง เช่น หอบูรานา (Burana Tower) ในคีร์กีซสถาน ซึ่งมีค่าเข้าชมเล็กน้อย
มีการพยายามใช้แนวปฏิบัติที่ยั่งยืนสำหรับการท่องเที่ยวและการอนุรักษ์แหล่งมรดก รวมถึงการศึกษาขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว (carrying capacity studies) เพื่อจัดการจำนวนผู้เยี่ยมชมอย่างเหมาะสม ผู้เยี่ยมชมได้รับการสนับสนุนให้สำรวจแหล่งย่อยต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ เช่น ซีอานและลั่วหยาง ซึ่งมักจะมีการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวมากกว่า สำหรับรายละเอียดเกี่ยวกับค่าเข้าชม เวลาทำการ หรือบริการนำเที่ยวสำหรับแหล่งย่อยแต่ละแห่ง ผู้เยี่ยมชมควรติดต่อสอบถามจากหน่วยงานท้องถิ่นหรือผู้บริหารจัดการของแหล่งนั้นๆ โดยตรง
"เส้นทางสายไหม: เครือข่ายเส้นทางฉางอาน-เทียนชาน" เป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความอุตสาหะของมนุษย์ในการเชื่อมโยงโลก และเป็นสัญลักษณ์ของการหลอมรวมอารยธรรมที่ก่อให้เกิดการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์ เส้นทางนี้ไม่เพียงเป็นเส้นทางการค้า แต่ยังเป็นช่องทางของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม ศาสนา และองค์ความรู้ ที่หล่อหลอมภูมิรัฐศาสตร์และสังคมของยูเรเซียมานานหลายศตวรรย์ การขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกโดยยูเนสโกยืนยันถึงคุณค่าสากลที่โดดเด่นของเครือข่ายนี้ ในฐานะมรดกอันล้ำค่าที่สะท้อนถึงบทเรียนแห่งการเชื่อมโยงและเข้าใจซึ่งกันและกันระหว่างผู้คนและวัฒนธรรมต่าง ๆ ทั่วโลก


เส้นทางสายไหม ในอดีตของจีน

เส้นทางสายไหมใหม่ที่จีนพยายามฟื้นฟู
.
-------------------------
ที่มา
- https://whc.unesco.org/en/list
- http://www.globalgeopark.org
- https://www.unesco.org/en/mab/wnbr/
รวบรวมรูปภาพ
-------------------------
------------------------





