iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
Industry4_006 อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ความสำคัญ
แนวโน้มทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมของโลกในอนาคตข้างหน้า (Global Megatrends) ได้ให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะบทบาทที่เพิ่มขึ้นของภูมิภาคเอเชีย ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของประชากรโลก ซึ่งส่งผลให้มีประชากรผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น โดยองค์การสหประชาชาติได้ประเมินว่าในช่วงปี 2544-2643 ประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปจะมีมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรโลก อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รวมถึงปัญหาทางด้านพลังงานและอาหารก็เป็นประเด็นที่มีความสำคัญเช่นกัน ดังนั้นการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมไทยในเวทีโลกจึงต้องเผชิญกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงและมีความซับซ้อนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากบริบทของโลก ย่อมส่งผลกระทบและมีความเกี่ยวข้องกับภาคอุตสาหกรรมของไทย ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญและปรับตัวให้สอดคล้องตามบริบทดังกล่าว
นอกจากนี้การพัฒนาของเทคโนโลยีดิจิทัล (Digitalization) สู่ยุคของ Internet of Things (IoT) เริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตประจำวันของผู้บริโภคและภาคอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้น จนเกิดแนวโน้มของการพัฒนาสู่สังคมดิจิทัล (Internet of People: IoP) รวมถึงการปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตและการเพิ่มผลิตภาพสู่อุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ ที่เรียกว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ Industry 4.0 ที่มีการเชื่อมโยงของดิจิทัลกับอุปกรณ์ในระบบการผลิต (Cyber-Physical Production System: CPPS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ทั้งในด้านความสามารถในการทำงานของเครื่องจักร การวางแผนการผลิตและความสามารถในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดที่จะเข้ามามีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมในอนาคต
ภาคอุตสาหกรรมจึงควรมีการเตรียมความพร้อม และกำหนดทิศทางให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว และใช้ประโยชน์จากโอกาสอันดีในการยกระดับผลิตภาพและนวัตกรรมของ ภาคอุตสาหกรรมไปพร้อมกัน ด้วยเหตุนี้เพื่อแก้ไขความท้าทายที่เกิดขึ้นและปรับทิศทางของภาคอุตสาหกรรมไปสู่อนาคตดังที่กล่าวมาแล้ว การสร้างความสามารถในการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืนด้วยการพัฒนาผลิตภาพและนวัตกรรมสมัยใหม่ เพื่อสนับสนุนทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ Industry 4.0 พร้อมกับคำนึงถึงความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมตามแนวคิดอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) และการเพิ่มคุณค่าให้กับสังคม (Creating Share Value) จะเป็นตัวขับเคลื่่อนสำคัญของภาคอุตสาหกรรมไทยที่่สำคัญที่่ประเทศควรมุ่งเน้น เพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถยกระดับไปสู่การพัฒนาอีกระดับ พร้อมด้วยความสมดุลและยั่งยืน (Sustainability Growth) อย่างแท้จริง
การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพของอุตสาหกรรม 4.0 มี 2 ส่วนหลักคือ ส่วนฮาร์ดแวร์ซึ่งหมายถึงเทคโนโลยี นวัตกรรมด้านเครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ และระบบควบคุมการทำงาน และส่วนซอฟท์แวร์ ประกอบด้วย โปรแกรมควบคุมระบบการทำงาน และการเชื่อมต่อทางเครือข่ายในรูปแบบ Internet of Things (IoT) ทำให้เกิดข้อมูลในระบบการผลิตขึ้นอย่างมหาศาลซึ่งจำเป็นต้องได้รับการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ
อุตสาหกรรม 4.0 มีแนวคิดที่สำคัญคือ การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การบริการ หรือการขายสินค้า โดยการเชื่อมต่อกับเทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีสื่อสารกับเครื่องจักร และระบบเครื่องจักรสามารถสื่อสารกันได้เอง หรือการผลิตสินค้าแบบอัตโนมัติตามความต้องการของผู้บริโภค ซึ่งจะเน้นการตอบสนองโดยอัตโนมัติต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมและตลาด ทำให้อาจสามารถตอบสนองถึงระดับรายบุคคลได้โดยยังรักษาคุณภาพการผลิตที่มีประสิทธิภาพสูง ทั้งนี้ ความคาดหวังหรือความท้าทายในอุตสาหกรรม 4.0 ได้แก่ การผลิตสินค้าตามความต้องการเฉพาะของผู้บริโภคได้มากขึ้น มีวงจรในการเกิดนวัตกรรมสินค้าที่สั้นลง สินค้าที่ผลิตมีความซับซ้อนมากขึ้นระยะเวลาในการผลิตสั้นลง และรองรับความต้องการตลาดที่ผันผวนมากขึ้น สามารถแข่งขันในการผลิตได้เพิ่มมากขึ้น
---------------------------------
ที่มาข้อมูล
---------------------------------
สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวมข้อมูลIndustry4_006 อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
การพัฒนางานด้านอุตสาหกรรม 4.0 ต้องให้ความสำคัญกับหมวดต้นทุนค่าใช้จ่าย ที่ส่งผลต่อการดำเนินงานขององค์กรโดยมีค่าใช้จ่ายที่สำคัญที่ต้องคิดพิจารณา ได้แก่
- ต้นทุนการลงทุนด้านเทคโนโลยี หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์ เครื่องจักร ระบบอัตโนมัติ และซอฟต์แวร์ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม 4.0 ในการลงทุนเทคโนโลยีนี้ ควรมีการพิจารณาว่าเราควรที่จะเลือกวิธีการไดที่เหมาะสมและประหยัดที่สุด เช่น การซื้อ หรือการเช่า หรือการพัฒนาสร้างระบบอุปกรณ์ในงานด้านนี้เอง เช่น เซ็นเซอร์ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics), หุ่นยนต์, และเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
- ต้นทุนบุคลากร หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน การฝึกอบรม และการพัฒนาทักษะของบุคลากรที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานอุตสาหกรรม 4.0 เช่น วิศวกร โปรแกรมเมอร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) เป็นต้น การฝึกอบรมและพัฒนาบุคลากร เน้นการทำให้พนักงานมีทักษะที่เหมาะสมกับการใช้เทคโนโลยี 4.0, การนำเข้าความเข้าใจในการใช้งานเทคโนโลยีใหม่, และการพัฒนาทักษะทางด้านดิจิทัล
- ระบบการจัดการข้อมูลและวิจัย การพัฒนาระบบการเก็บรวบรวมข้อมูล, การวิเคราะห์ข้อมูล, และการนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจ
- ความมั่นคงของระบบ การลงทุนในระบบความมั่นคงของข้อมูล, ระบบการป้องกันการบุกรุก, และการรักษาความปลอดภัยของระบบ
- การทำงานแบบอัตโนมัติ การใช้หุ่นยนต์และอุปกรณ์อัตโนมัติในกระบวนการผลิตและบริการ
- ต้นทุนการขนส่ง หมายถึง การพัฒนาระบบขนส่งและโลจิสติกส์ การใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการขนส่งสินค้าและบริการลูกค้า ค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัตถุดิบ สินค้า และบุคลากรไปยังสถานที่ต่างๆ
- การจัดการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การนำเข้าระบบการซื้อ-ขายออนไลน์, การจัดการฐานลูกค้าออนไลน์, และการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน
- การพัฒนาระบบการบริหารจัดการ การใช้ระบบ ERP (Enterprise Resource Planning) และระบบบริหารจัดการคลังสินค้า
- ต้นทุนพลังงาน หมายถึง การจัดการพลังงาน ค่าใช้จ่ายในการใช้พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง และทรัพยากรธรรมชาติอื่นๆ ในการดำเนินงานอุตสาหกรรม 4.0 เช่น ระบบอัตโนมัติและเครื่องจักรที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถช่วยลดการใช้พลังงานลงได้ การใช้เทคโนโลยีสีเขียวและการจัดการพลังงานในกระบวนการผลิต
- การสร้างพันธมิตรกับผู้ให้บริการเทคโนโลยี การทำงานร่วมกับผู้ให้บริการเทคโนโลยีเพื่อให้ได้ระบบที่มีประสิทธิภาพและทันสมัย
- ต้นทุนวัสดุ หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการซื้อวัตถุดิบ วัสดุสิ้นเปลือง และอะไหล่ที่จำเป็นสำหรับการผลิตสินค้าหรือบริการ
- ต้นทุนการซ่อมบำรุง หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมและบำรุงรักษาเครื่องจักรและอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงาน
- ต้นทุนของเสีย หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการกำจัดของเสียที่เกิดขึ้นจากกระบวนการผลิต
- ต้นทุนการประกัน หมายถึง ค่าใช้จ่ายในการประกันภัยที่จำเป็นสำหรับคุ้มครองทรัพย์สินและบุคลากร
- ต้นทุนการดำเนินงาน หมายถึง ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการดำเนินงานอุตสาหกรรม เช่น ค่าใช้จ่ายด้านการตลาด การขาย การเงิน และการบริหาร
จากต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ได้กล่าวมาข้างต้น จะพบว่าต้นทุนในการลงทุนด้านเทคโนโลยีและต้นทุนบุคลากร จะเป็นหมวดต้นทุนที่สำคัญที่สุดที่ควรจัดเตรียมให้เหมาะสม เนื่องจากเป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาและดำเนินงานอุตสาหกรรม 4.0 โดยองค์กรควรวางแผนและบริหารจัดการต้นทุนเหล่านี้ อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้ องค์กรควรให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้และทักษะที่จำเป็นสำหรับอุตสาหกรรม 4.0 เช่น ทักษะด้านเทคโนโลยีดิจิทัล ทักษะด้านความคิดสร้างสรรค์ และทักษะด้านการทำงานเป็นทีม เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในระยะยาว การให้ความสำคัญกับหมวดต้นทุนเหล่านี้จะช่วยให้องค์กรพร้อมที่จะเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 และให้ประสิทธิภาพในการแข่งขันในตลาดสากล
---------------------------------
ที่มาข้อมูล
---------------------------------
สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวมข้อมูลIndustry4_006 อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ความสำคัญกับค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน
ความสำเร็จของอุตสาหกรรม 4.0 มักถูกวัดด้วย Key Performance Indicators (KPIs) ที่เกี่ยวข้องกับผลผลิตหรือ Productivity KPIs ซึ่งช่วยในการวัดประสิทธิภาพของกระบวนการและการใช้ทรัพยากรในอุตสาหกรรม 4.0 ได้มีการเพิ่มขึ้น ค่า Productivity KPIs ที่สำคัญ เช่น
- Overall Equipment Effectiveness (OEE) คือ ตัวชี้วัดที่วัดประสิทธิภาพในการใช้เครื่องจักรและอุปกรณ์ในกระบวนการผลิต. มีสามปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลคือ Availability, Performance, และ Quality
- Cycle Time เวลาที่ใช้ในการดำเนินการแต่ละรอบของกระบวนการผลิต, ที่ช่วยในการปรับปรุงประสิทธิภาพและลดเวลาในกระบวนการ
- Lead Time เวลาที่ใช้ในการทำให้ผลิตภัณฑ์หรือบริการเสร็จสมบูรณ์จนถึงจุดส่งมอบ, ที่มีผลต่อความพึงพอใจของลูกค้า
- Throughput ปริมาณผลผลิตที่สร้างขึ้นในหนึ่งหน่วยเวลา, ที่ช่วยในการวัดประสิทธิภาพของเครื่องจักรและระบบผลิต
- Utilization Rate อัตราการใช้งานของเครื่องจักรและอุปกรณ์ในการผลิต, ที่วัดว่ามีการใช้ทรัพยากรมีประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด
- Defect Rate อัตราการของผลิตภัณฑ์ที่มีข้อบกพร่อง, ที่มีผลต่อคุณภาพของผลิตภัณฑ์และความพึงพอใจของลูกค้า.
Resource Efficiency
- ประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง, เช่น พลังงาน, วัสดุ, และแรงงาน
- First-pass Yield อัตราส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการผลิตโดยไม่มีข้อบกพร่องในรอบการผลิตแรก
- Downtime เวลาที่ระบบหยุดทำงาน, ที่ส่งผลต่อการให้บริการและประสิทธิภาพของระบบ
- Return on Investment (ROI) อัตราส่วนระหว่างกำไรและการลงทุนทั้งหมดที่ใช้ในการพัฒนาและดำเนินการระบบ 4.0
Productivity KPIs หรือตัวชี้วัดประสิทธิภาพการผลิต หมายถึง ตัวเลขหรือค่าที่ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต โดยวัดจากปริมาณผลผลิตที่ได้ต่อหน่วยเวลาหรือต้นทุนที่ใช้ไป KPIs เหล่านี้มีความสำคัญต่ออุตสาหกรรม 4.0 เนื่องจากช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้
หมวด Productivity KPIs ที่ใช้กับงานอุตสาหกรรม 4.0 ที่สำคัญมีดังนี้
Asset & Equipment Efficiency : ประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขององค์กรให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลิตสินค้า KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Asset utilization rate : อัตราการใช้งานสินทรัพย์
Equipment availability rate : อัตราความพร้อมใช้งานของเครื่องจักร
Equipment breakdown rate : อัตราความขัดข้องของเครื่องจักร
Workforce Efficiency : ประสิทธิภาพของแรงงานในการผลิตสินค้า KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Labor productivity : ผลผลิตต่อคนงาน
Labor turnover rate : อัตราการลาออกของพนักงาน
Employee satisfaction rate : อัตราการพึงพอใจในการทำงานของพนักงาน
Quality : คุณภาพของสินค้าหรือบริการ KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Defect rate : อัตราความบกพร่องของสินค้า
Customer satisfaction rate : อัตราการพึงพอใจของลูกค้า
Time to market : เวลาในการนำสินค้าหรือบริการออกสู่ตลาด KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Lead time : ระยะเวลาในการดำเนินการ
Cycle time : ระยะเวลาในการผลิตสินค้าหรือบริการ
Cost : ต้นทุนการผลิต KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Total cost of ownership (TCO) : ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของ
Cost per unit : ต้นทุนต่อหน่วย
Flexibility : ความยืดหยุ่นของกระบวนการผลิต KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Changeover time : ระยะเวลาในการเปลี่ยนรุ่นการผลิต
Variety of products : ความหลากหลายของสินค้า
Sustainability : ความยั่งยืนของกระบวนการผลิต KPIs ที่สำคัญ ได้แก่
Energy efficiency : ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน
Water efficiency : ประสิทธิภาพการใช้น้ำ
Waste reduction : การลดปริมาณของเสีย
องค์กรควรเลือก KPIs ที่เหมาะสมกับบริบทและเป้าหมายขององค์กร โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของอุตสาหกรรม ผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ผลิต เทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต เป็นต้น การนำ KPIs มาใช้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้องค์กรสามารถติดตามและประเมินประสิทธิภาพการผลิตได้อย่างถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งสามารถนำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้
การใช้ Productivity KPIs เหล่านี้ช่วยให้องค์กรได้รับมุมมองที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพและประสิทธิผลของกระบวนการในอุตสาหกรรม 4.0 และช่วยในการทำปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของระบบในทางที่เหมาะสม
Productivity KPIs |
|
KPI 1: Asset & Equipment Efficiency |
ประสิทธิภาพในการใช้ประโยชน์จากสินทรัพย์ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขององค์กรให้ เกิดประโยชน์สูงสุดในการผลิตสินค้า |
KPI 2: Workforce Efficiency |
ประสิทธิภาพของพนักงานขององค์กร โดยปกติองค์กรที่พนักงานมีประสิทธิภาพจะ ใช้ man-hour ในการทำงานนอ้ ยกว่าองค์กรที่มีพนักงานที่มีประสิทธิภาพต่ำ |
KPI 3: Utilities Efficiency |
ประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและทรัพยากรนำ้ รวมถึงประสิทธิภาพในการจัดการ ของเสียที่เกิดขึ้นและถูกปล่อยออกมาจากสายการผลิต |
KPI 4: Inventory Efficiency |
ประสิทธิภาพในการจัดการให้มีระดับวัตถุดิบ/สินค้าคงคลังในระดับที่ตำ่ ที่สดุ เพื่อ ช่วยเรื่องการบริหารกระแสเงินสด |
KPI 5: Materials Efficiency |
ประสิทธิภาพของการผลิตที่ให้ได้ Yield สูงสุด หรือมีของเสียน้อยที่สุด |
Quality KPIs |
|
KPI 6: Process Quality |
การทำให้กระบวนการผลิตและกระบวนการสนับสนนุ การผลติ มีประสิทธิภาพและมี ความยืดหยุ่น สามารถผลิตผลติ ภัณฑ์ได้ตามข้อกำหนดของผลิตภัณฑ์ที่ต้องการ กระบวนการผลิตมีความสม่ำเสมอ ความเบี่ยงเบนและความผิดปกติพารามิเตอร์การ ผลิตมีน้อย สงผลให้มีจำนวนชนิ้ งานเสียทนี่ ้อย หรือใช้วัตถุดิบในการผลิตที่ลดลง เพื่อให้ได้จำนวนสินค้าเท่าเดิม |
KPI 7: Product Quality |
ความสามารถในการผลิตผลิตภัณฑ์ให้ใกล้เคียงกับข้อกำหนดเป้าหมายมากที่สุด มี ข้อบกพร่องในสัดส่วนที่ตำ่ ที่สุด ทั้ง WIP และผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย ลดต้นทุนจาก การ Rework & Repair & Replacement ผลิตภัณฑ์ |
KPI 8: Safety |
การป้องกันอุบัติการณ์ (incident) ที่เกี่ยวข้องกับสุขอนามัยและความปลอดภัยใน สถานปฏิบัติงาน เพื่อช่วยลดโอกาสการหยุดชะงักของสายการผลิตและทำให้การ ดำเนินงานของบริษัทดำเนินไปอย่างราบรื่น |
KPI 9: Security |
การมุ่งป้องกันการละเมิดความปลอดภัย (ทางกายภาพและดิจิทัล) ในสถาน ประกอบการ |
Flexibility KPIs |
|
KPI 10: Planning & Scheduling Effectiveness |
ความสามารถในการปรับตัวของกระบวนการวางแผนและการจัดตารางเวลาการ ผลิต ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ และความสามารถ จัดการห่วงโซ่อุปทานของบริษัทได้อย่างมีประสิทธิภาพ |
KPI 11: Production Flexibility |
ความสามารถในการเพิ่มและกระจายกระบวนการผลิตได้ด้วยหลักการแบบ plug- and-play หรือการที่พนักงานสามารถดำเนินการปรับแต่งหรือกำหนดค่าใหม่ให้กับ อุปกรณ์ เครื่องจักร และระบบคอมพิวเตอร์ ได้โดยง่ายและรวดเร็ว จึงช่วยให้ ผู้ประกอบการที่มีจำนวนของ SKU มากสามารถดำเนินการผลิตแบบ small lot หรือ mixed ได้ |
KPI 12: Workforce Flexibility |
ความสามารถของพนักงานในทกระดับขององค์กร ให้ปฏิบัติงานได้หลากหลาย ชวย ให้ผู้ประกอบการมีทางเลือกในการบริหารเลือกใช้พนักงานได้แม้ในช่วงที่มีความผัน ผวนของธุรกิจ |
Market KPIs | |
KPI 13: Time to Market | คือระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ (หรือพัฒนาจากผลิตภัณฑ์เดิม) จนกระทั่งนำผลิตภัณฑ์นั้นเข้าสู่ตลาดได้ ผลตภัณฑ์ที่เข้าสู่ตลาดได้ก่อนมีแนวโน้มที่ จะสามารถครองส่วนแบ่งการตลาดได้มากกว่า และด้วยเทคโนโลยีดิจิทัลในปัจจุบัน ทำให้ปริมาณและการแลกเปลี่ยนของข้อมูลในห่วงโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น เป็นอย่างมาก และทำให้ผู้ประกอบการสามารถเข้าถึงข้อมูลความคิดเห็นของกลุ่ม ลูกค้าได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะชวยลดระยะเวลาที่ต้องใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ ตลาดนั่นเอง |
KPI 14: Customer Loyalty |
คือการมีนโยบายและระบบสนบั สนนุ ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบันและ กลุ่มลูกค้าใหม่ โดยสามารถรักษาลูกค้าปัจจุบนั และสนองความต้องการแก่กลุ่ม ลูกค้าใหม่ได้ เช่นมีนโยบายทางการตลาด กิจกรรมต่างๆ และระบบสนบั สนุน ที่ สามารถทำให้ลูกค้าปัจจุบันยังคงซื้อสินค้าซ้ำและต่อเนื่อง และสามารถทำให้กลุ่ม ลูกค้าเป้าหมายตัดสินใจซื้อสินค้าของบริษัท เป็นต้น |
KPI 15: Time to Delivery | คือระยะเวลาที่บริษัทใช้ตั้งแต่การรับคำสั่งซื้อ-เริ่มการผลิต จนถึงการส่งมอบ ผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้า ซึ่งในบางอุตสาหกรรมคำสั่งซื้อผลิตภัณฑจะมีความอ่อนไหว ด้านเวลาในการส่งมอบ และการจัดส่งล่าช้าอาจส่งผลให้สูญเสียโอกาสทางธุรกิจใน อนาคตได้ |
---------------------------------
ที่มาข้อมูล
---------------------------------
สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวมข้อมูลIndustry4_007 ผลกระทบที่เกิดจากงาน อุตสาหกรรม 4.0
ผลกระทบที่เกิดจากงาน อุตสาหกรรม 4.0 พบว่าการทำงานในด้านนี้ สามารถทำให้มีผลกระทบในหลายด้าน ทั้งในด้านของการพัฒนาอุตสาหกรรมการบริหารองค์กรการบริหารเศรษฐกิจ และด้านพัฒนาสังคม โดยตัวอย่างผลกระทบที่สำคัญของงานด้านนี้ เช่น
- เพิ่มผลผลิตและประสิทธิภาพ (Increased Productivity and Efficiency) เทคโนโลยี Industry 4.0 เช่น ระบบอัตโนมัติ หุ่นยนต์ และการวิเคราะห์ข้อมูล ช่วยให้องค์กรปรับปรุงกระบวนการ จัดสรรทรัพยากรให้เหมาะสม และปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานโดยรวม สิ่งนี้นำไปสู่การเพิ่มผลผลิต ลดรอบเวลา และปรับปรุงการใช้ทรัพยากร
- ปรับปรุงคุณภาพและลดข้อบกพร่อง (Improved Quality and Reduced Defects) Industry 4.0 ช่วยให้สามารถจัดการคุณภาพเชิงรุกผ่านการตรวจสอบแบบเรียลไทม์ การวิเคราะห์ข้อมูล และอัลกอริทึมที่ขับเคลื่อนด้วย AI องค์กรสามารถตรวจจับและแก้ไขปัญหาด้านคุณภาพได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งนำไปสู่การปรับปรุงความสอดคล้องของผลิตภัณฑ์ ลดข้อบกพร่อง และความพึงพอใจของลูกค้าที่สูงขึ้น
- ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้นและการปรับแต่ง (Enhanced Flexibility and Customization) Industry 4.0 ช่วยให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นและความสามารถในการปรับแต่งในกระบวนการผลิต เทคโนโลยี เช่น การผลิตแบบเติมเนื้อวัสดุ (การพิมพ์ 3 มิติ) และฝาแฝดดิจิทัลช่วยให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์ชุดเล็กหรือผลิตภัณฑ์ที่ปรับแต่งตามต้องการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย และลดเวลาในการออกสู่ตลาด
- การตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Decision-making) Industry 4.0 ใช้ประโยชน์จากการวิเคราะห์ข้อมูล, AI และ IoT เพื่อรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากแหล่งต่างๆ สิ่งนี้ช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจโดยใช้ข้อมูล เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการ และระบุโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ
- ห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์อัจฉริยะ (Smart Supply Chains and Logistics) อุตสาหกรรม 4.0 ช่วยให้สามารถบูรณาการและเพิ่มประสิทธิภาพของห่วงโซ่อุปทานและโลจิสติกส์ผ่านเทคโนโลยีต่างๆ เช่น IoT, คลาวด์คอมพิวติ้ง และการแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบเรียลไทม์ สิ่งนี้นำไปสู่การปรับปรุงการจัดการสินค้าคงคลัง ลดระยะเวลารอคอยสินค้า และเพิ่มการประสานงานระหว่างซัพพลายเออร์ ผู้ผลิต และลูกค้า
- รูปแบบธุรกิจใหม่ (New Business Models) และกระแสรายได้ (Revenue Streams) อุตสาหกรรม 4.0 เปิดโอกาสใหม่สำหรับรูปแบบธุรกิจและกระแสรายได้ องค์กรต่างๆ สามารถนำเสนอบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม ใช้โมเดลการจ่ายต่อการใช้งาน หรือสร้างรายได้จากข้อมูลเชิงลึก ซึ่งนำไปสู่การกระจายแหล่งที่มาของรายได้และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
- การเปลี่ยนแปลงกำลังคน (Workforce Transformation) อุตสาหกรรม 4.0 นำการเปลี่ยนแปลงมาสู่กำลังคน ทำให้ต้องใช้ทักษะและบทบาทใหม่ ระบบอัตโนมัติและวิทยาการหุ่นยนต์เข้ามาแทนที่งานที่ซ้ำซาก ในขณะที่พนักงานมุ่งเน้นไปที่กิจกรรมที่มีมูลค่าสูงกว่า เช่น การเขียนโปรแกรม การบำรุงรักษา และการแก้ปัญหา การเปลี่ยนแปลงของแรงงานยังเกี่ยวข้องกับการยกระดับทักษะและการริเริ่มเพิ่มทักษะเพื่อปรับให้เข้ากับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงของยุคดิจิทัล
- ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นและสวัสดิภาพของผู้ปฏิบัติงาน (Enhanced Safety and Worker Well-being) อุตสาหกรรม 4.0 ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยและสวัสดิภาพของผู้ปฏิบัติงานผ่านระบบอัตโนมัติของงานอันตราย เซ็นเซอร์อัจฉริยะ และอุปกรณ์สวมใส่ สิ่งนี้ช่วยลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุในที่ทำงาน ลดความเหนื่อยล้าของพนักงาน และสร้างสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพมากขึ้น
- ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) อุตสาหกรรม 4.0 ส่งเสริมความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมผ่านการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด การใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และการลดของเสีย เทคโนโลยี เช่น IoT และการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถตรวจสอบและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และมีส่วนสร้างอนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การเติบโตทางเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขัน (Environmental Sustainability) อุตสาหกรรม 4.0 มีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมและประเทศชาติ ด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและการเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางอุตสาหกรรม องค์กรต่างๆ สามารถสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ดึงดูดการลงทุน และเสริมสร้างตำแหน่งของตนในตลาดโลก
- ผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคม (Socio-economic Implications) อุตสาหกรรม 4.0 มีความหมายทางเศรษฐกิจและสังคมที่กว้างขึ้น อาจนำไปสู่การเลิกจ้างงานในบางภาคส่วน แต่ยังสามารถสร้างโอกาสในการทำงานใหม่และปรับรูปแบบพนักงาน รัฐบาลและผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องจัดการกับความท้าทายทางสังคมและเศรษฐกิจของอุตสาหกรรม 4.0 เช่น โครงการเพิ่มทักษะ การเปลี่ยนผ่านของตลาดแรงงาน และการรวมดิจิทัล
อุตสาหกรรม 4.0 มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ อย่างมาก ในการขับเคลื่อนนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และความยั่งยืน โดยจะพลิกโฉมวิธีการดำเนินงานขององค์กร การทำงานร่วมกัน และสร้างมูลค่า เอื้อต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความก้าวหน้าทางสังคม
---------------------------------
ที่มาข้อมูล
---------------------------------
สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวมข้อมูลIndustry4_007 ปรับตัวและรับมืออย่างไรในยุคอุตสาหกรรม 4.0
เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ
สำนักโลจิสติกส์
จาก : Logistics Forum ปีที่ 7 ฉบับที่ 36 สิงหาคม - กันยายน 2559
ในฉบับที่ผ่านมาเรากล่าวถึงโลกของอุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) ที่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ปัจจุบันทุกประเทศมีการเชื่อมต่อกันอย่างไร้พรมแดนในทุกมิติ ทั้งความร่วมมือทางการค้า การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การเมือง เศรษฐกิจและสังคม หลายประเทศจำเป็นต้องปรับตัวสู่การพัฒนาในยุคอุตสาหกรรม 4.0 เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของตนเองภายใต้การแข่งขันที่รุนแรงและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ประเทศไทยอาจต้องใช้ระยะเวลาในการเข้าสู่อุตสาหกรรม 4.0 เนื่องจากยังไม่สามารถผลิตเทคโนโลยีได้เอง แม้จะมีการวิจัยและพัฒนาจำนวนมากแต่ยังไม่สามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างเต็มรูปแบบ และไม่สามารถนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงได้ เราควรเปลี่ยนวิธีคิดใหม่โดยมองให้ออกว่า โลกในวันนี้มีเทคโนโลยีอะไรที่จะนำมาใช้กับการผลิตของเราได้บ้าง จำเป็นแค่ไหนในการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการผลิต เราจะขับเคลื่อนศักยภาพของประเทศไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้าระดับโลกได้แค่ไหน มองการผลิตสินค้าสำหรับการบริโภคของคนทั่วโลก โดยหาว่าตัวเองเก่งหรือเหมาะสมกับธุรกิจอะไร และจะสามารถนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร ภาครัฐและภาคธุรกิจควรต้องเตรียมพร้อมรับมือในการปฏิรูปอุตสาหกรรมครั้งนี้ร่วมกัน
1. ภาครัฐ ปัจจุบันเริ่มมีการสนับสนุนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งเป็นการวางรากฐานการพัฒนาสู่ยุคอุตสาหกรรม 4.0 ทั้งสิ้น โดยส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรมได้วางนโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรม ดังนี้
1.1 การส่งเสริมต่อยอดอุตสาหกรรมใหม่โดยการจัดกลุ่มอุตสาหกรรมเป็น Cluster เพื่อพัฒนาตามกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในด้านเทคโนโลยี เช่น ห้องปฏิบัติการ ศูนย์ทดสอบ และสนามทดสอบกลาง พร้อมทั้งส่งเสริมงานวิจัยและพัฒนาให้มีเพิ่มมากขึ้น
1.2 การส่งเสริมเพื่อสร้างผู้ประกอบการในระดับ SMEs รวมทั้งอุตสาหกรรม OTOP โดยเพิ่มการยกระดับมาตรฐานการผลิตและผลิตภัณฑ์ สร้างผู้ประกอบการรายใหม่ให้กระจายไปในภูมิภาค พัฒนาศูนย์บ่มเพาะ SMEs/OTOP ให้มีมากขึ้น ส่งเสริมเทคโนโลยีการตลาดยุคดิจิทัล รวมถึงจัดหาแหล่งเงินทุนในการพัฒนาการผลิต
1.3 ปรับปรุงฐานการลงทุนการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรม โดยแยกเป็น
- การเพิ่มผลผลิต (Productivity) โดยการพัฒนาทักษะแรงงานและสนับสนุนให้มีการปรับเปลี่ยนเครื่องจักรให้ทันสมัย
- การสร้างปัจจัยที่เอื้อต่อการผลิต (Enabling Factor) กำหนดกฎหมาย/กฎระเบียบ พัฒนาคน ส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์ และบริหารจัดการข้อมูล Big Data
- การเชื่อมโยงเครือข่าย (Connectivity) สร้างพันธมิตรและจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ประสานจัดกลุ่มอุตสาหกรรมเชื่อมโยงเป็น Cluster และเชื่อมโยงการผลิตการตลาดโดยใช้ Digital Technology
- การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) โรงงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Factory) และเมืองนิเวศน์ (ECO-Town)
2. ภาคธุรกิจ ผู้ประกอบการควรต้องเริ่มที่จะมีการกำหนดวิสัยทัศน์ เป้าหมาย กลยุทธ์ที่ชัดเจนในเรื่องที่เกี่ยวข้องเช่น
- การเพิ่มความร่วมมือในการผลิตร่วมกันตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ มีการจัดกลุ่มการผลิต
- การปรับปรุงโครงสร้างองค์กร พัฒนาระบบบริหารจัดการ จัดหาเครื่องมือจัดการองค์ความรู้เพื่อยกระดับศักยภาพการปฏิบัติงาน
- การเพิ่มขีดความสามารถในการผลิต โดยพัฒนาความสามารถในงานด้านโลจิสติกส์และชัพพลายเชน ได้แก่ การวางแผน การจัดซื้อจัดหา การผลิต การจัดเก็บ และการกระจายสินค้า
- พัฒนานำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร มาใช้เพื่อการบริหารและการบริการที่มีประสิทธิภาพ
- การพัฒนาอุตสาหกรรมต้องเป็นมาตรฐานสากล สามารถปรับเปลี่ยนเข้ากับเงื่อนไข กฎระเบียบ และกติกาที่เป็นสากลได้
- ส่งเสริมธรรมาภิบาลภายในองค์กร เพื่อสร้างความถูกต้องโปร่งใสและการมีส่วนร่วมในการทำงาน
- พัฒนาศักยภาพของบุคลากรในองค์กรให้สามารถผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน
- อุตสาหกรรมต้องอยู่ร่วมกับสังคมได้ โดยเฉพาะการมีส่วนร่วมในสังคม และการรักษาสิ่งแวดล้อม
ประเทศไทยยังคงจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ แม้ว่าอุตสาหกรรมไทยจะมีโอกาสแข่งขันในหลายอุตสาหกรรม แต่ก็ควรที่จะต้องเลือกเวทีและสินค้าให้ถูกต้อง อาจมองหาอุตสาหกรรมที่ถือเป็นจุดเด่นของประเทศไทย เช่น อุตสาหกรรมอาหาร หรืออุตสาหกรรมเกษตรแปรรูป เริ่มกำหนดเป้าหมายยุทธศาสตร์และพึ่งพาเทคโนโลยีในการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เพื่อลดปัญหาด้านต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้น การดึงศักยภาพที่แท้จริงของประเทศไทยมาพัฒนา โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือจะทำให้เรามีจุดเด่นที่สามารถต่อยอดให้ถึงขีดสุด เน้นการผลักดันนำเอาระบบ IT เข้ามาช่วยในการพัฒนากระบวนการผลิตให้มากขึ้น ตั้งแต่กระบวนการผลิต การบรรจุหีบห่อ และการขนส่ง เป็นต้น หากทำได้จะสามารถลดต้นทุน ลดความสูญเสีย และนำไปสู่การแข่งขันที่ดีขึ้น อย่างไรก็ตามการปรับเปลี่ยนเอาเทคโนโลยีมาใช้งานนั้น ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับอุตสาหกรรมในบ้านเรา และต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของคนไทยด้วย
.
---------------------------------
ที่มาข้อมูล
---------------------------------
สนใจเรื่องราวเพิ่มเติมคลิกที่นี่
อุตสาหกรรม 4.0 (Industry 4.0) รวมข้อมูลเว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward