CT51 การปรับปรุงกระบวนการโลจิสติกส์ในห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหาร (Improving Logistics Operations across the Food Industry Supply Chain)
ลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2551 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ผู้เขียน ดร. พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา
บทคัดย่อ
บทความฉบับนี้ต้องการแสดงถึงแนวทางในระบบโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหาร โดยการนำหลักการของระบบการจัดการโลจิสติกส์ และการกระจายสินค้า นอกจากนั้นยังรวมถึงเชื่อมโยง Business-to-Business (B2B) และ e-commerce ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนระบบการจัดการโลจิสติกส์ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหารในอนาคต
บทนำ
Food and Agriculture Organization (FAO) แห่ง สหประชาชาติ ได้กล่าวว่า ปริมาณความต้องการปริมาณสินค้าประเภทอาหารที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภค ส่งผลให้เกิดต้นทุนของการผลิตอาหารที่สูง ซึ่งส่งผลถึงราคาขายที่สูงขึ้น (ดังแสดงในแผนภาพที่ 1 และ 2) ดังนั้นทั้งผู้ผลิต ผู้ขนส่งและกระจายสินค้า รวมถึงร้านค้าปลีกต่าง ๆ จึงจำเป็นที่จะต้องมีการปรับตัว และวิธีการกลยุทธ์ต่าง เข้ามาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจอุตสาหกรรมของต้น ซึ่งกลยุทธ์ ของการจัดการโลจิสติกส์ และ โซ่อุปทานจึงแนวทางเลือกที่น่าสนใจ ที่จะสามารถช่วย ลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดซื้อ และบริหารสินค้าคงคลัง เพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้า และนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการลดต้นทุนในอุตสาหกรรมอาหาร ซึ่งจากการศึกษาของสมาพันธ์โลจิสติกส์แห่งยุโรบ (European Logistics Association) นับว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีต้นทุนโลจิสติกส์ที่สูงเป็นอันดับต้น ๆ ถึง ประมาณ 30% ดังแสดงในแผนภาพที่ 3
แผนภาพที่ 1 แนวโน้มความต้องการอาหารโลก แผนภาพที่ 2 World Food Price Indices
แผนภาพที่ 3 เปรียบเทียบต้นทุน Logistics ระหว่างอุตสาหกรรมอาหาร กับอุตสาหกรรมหลักประเภทอื่น ๆ ในทวีปยุโรปโดย European Logistics Association
โลจิสติกส์และโซ่อุปทาน ของอุตสาหกรรมอาหาร
ห่วงโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหาร เป็นระบบที่ซับซ้อนและหลากหลายโดยมีการเชื่อมโยงระหว่างหน่วยต่าง ๆ ตั้งแต่ วัตถุดิบจากเกษตรกร วัตถุดิบปรุงแต่ง กระบวนการขนส่งและกระจายสินค้า โรงงานผลิตอาหาร ผู้ค้าส่งและค้าปลีก จนถึงมือผู้บริโภค (ดังแสดงในแผนภาพที่ 4) โดยผ่านกระบวนการสนับสนุนของทั้งการ เคลื่อนย้ายและจัดเก็บ หรือ กิจกรรมโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ไม่ก่อให้เกิดมูลค่าซ้ำยังทำให้เป็นภาระต้นทุนและสูญเสียความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย ดังนั้น
แผนภาพที่ 4 โซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหาร
ดังนั้นในการแข่งขันที่รุนแรงที่ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่มีราคาถูกและคุณภาพดีนั้น ความสามารถในการจัดการกิจกรรมโลจิสติกส์นั้นจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ตั้งแต่ส่งสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างรวดเร็ว ลดต้นทุนของสินค้าคงคลัง พัฒนาระบบอุตสาหกรรมอาหารให้เป็นระบบ Just in Time (JIT) นอกจากนั้นในระบบการผลิตยังมีการนำระบบการ Outsourcing มาใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพ และลดต้นทุนการผลิตในบางส่วน ซึ่งผู้ผลิตสามารถมอบหมายให้บริษัทอื่นผลิตในผลิตภัณฑ์ในส่วนที่บริษัทหลักไม่ถนัด ผลิตไม่คุ้มตามจำนวน หรือไม่ได้ (Economy of Scale) การ Outsourcing ยังสามารถทำให้ทั้ง บริษัทหลัก และ Outsourcing ได้รับผลประโยชน์ร่วมกันทั้งในด้านต้นทุน การพัฒนา และผลกำไรในระยะยาว รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางการค้าอีกด้วย ซึ่งในหลายอุตสาหกรรมนั้น ผู้ผลิตจึงได้พยายามวางแผนและแก้ไขปรับปรุงประสิทธิภาพในลักษณะของโซ่อุปทานตั้งแต่ Supplier จนถึง Customer
แนวทางพัฒนาระบบโลจิสติกส์ในโซ่อุปทานของอุตสาหกรรมอาหาร
ในการพัฒนาจะสร้างความสัมพันธ์เครือข่ายโครงสร้างของระบบโซ่อุปทานระหว่าง ลูกค้า และ Supplier เพื่อนำไปสู่การพัฒนาระบบโลจิสติกส์ของระบบการผลิตนั้นจำเป็นต้องมีระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ระบบการสื่อสารส่งข้อมูลที่ชัดเจนโปร่งใส ถูกต้อง และสามารถตรวจสอบติดตามได้ ซึ่งระบบต่อไปนี้จะต้องประกอบด้วยระบบพื้นฐาน ดังต่อไปนี้
- Purchasing: กิจกรรมการจัดซื้อนับว่าเป็นกิจกรรมที่ท้าทายสำหรับผู้ผลิต
กิจกรรมนี้ จะเป็นตัวแปรสำคัญในการนำไปสู่ความสำเร็จของการเป็นผู้ผลิตที่มีระบบ Just-in-Time ที่ทำให้มีระบบสินค้าคงคลังอย่างพอเพียง และมีสินค้ามาส่งตรงตามเวลาที่ได้นัดหมายไว้ ซึ่ง จุดมุ่งหมายของ JIT มีดังต่อไปนี้
- รักษาเสถียรภาพของการไหลของวัตถุดิบในกระบวนการผลิต
- ลด lead-time สำหรับ required for ordering product
- ลดจำนวนของสินค้าคงคลังในระบบโซ่อุปทาน
- ลดต้นทุนการจัดซื้อวัตถุดิบ
- Scheduling: สิ่งสำคัญที่จะทำให้เกิด JIT ที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องมีการนัด
หมายถึง การรับส่งสินค้าที่แน่นอน ซึ่งผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อจะต้องมีการประสานงานถึงความต้องการวัตถุดิบจากฝ่ายผลิตว่าต้องการเท่าไหร่ เมื่อใด รวมถึงจะต้องมีการคาดการณ์พยากรณ์ถึงปริมาณและจำนวนวัตถุดิบ ราคา ในอนาคต รวมถึงความสามารถในการจัดส่ง กับ supplier เพื่อที่จะนำมาจัด schedule plan
สรุป
ในอุตสาหกรรมอาหาร การพัฒนาระบบโลจิสติกส์และโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมอาหารจะสามารถช่วยให้เกิด การลดต้นทุน และปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต และความสัมพันธ์ระหว่าง ผู้ผลิต ลูกค้า และ supplier อย่างไรก็ตามเพื่อให้การพัฒนาระบบ ทั้งในด้านการจัดซื้อ และ JIT ให้มีประสิทธิภาพจะต้องมีการพัฒนา ประสิทธิภาพของบุคลากรในแง่ของการบริหารจัดการ การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญในการผลักดัน JIT รวมถึงระบบตรวจสอบติดตามต่าง ๆ เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ลดความผิดพลาดจากงานเอกสาร รวมถึงการลด Transaction Cost ต่าง ๆ พัฒนาประสิทธิภาพของระบบการคาดการณ์พยากรณ์การจัดซื้อ และการจัดผังการทำงานเพื่อให้สอดคล้องกับการงาน ซึ่งการพัฒนานี้จะสามารถลดต้นทุนในการบวนการผลิตอาหาร ซึ่งจะสามารถเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการผลิตอุตสาหกรรมอาหารได้
เอกสารอ้างอิง
Aghazadeh, S.-M. (2001), “A comparison of just-in-time inventory and the quantity discount model in retail outlets”, Logistic Information Management, Vol. 14 No. 3.
Burton, T.T. (1997), “Outsource: increasing supply chain agility”, Electronic Buyer News, p. 15.
Business Wire (2001), “Synchronization savings for foodservice to exceed $1.1 billion; efficient foodservice response study results document potential impact”, Business Wire, Vol. 13 No. 16.
Kinsley, J. (2000), “A faster, leaner, supply chain: new uses of information technologies”, American Journal of Agricultural Economics, Vol. 14 No. 2.
--------------------------------
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
สนใจบทความอื่นในชุดนี้คลิกดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT51 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2551” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 80 บทความ นำมาจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษากรณีศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่