CT51 การวัดประสิทธิภาพด้วยดัชนีโลจิสติกส์
ลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2551 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ผู้เขียน ผศ.ดร.สถาพร อมรสวัสดิ์วัฒนา
ปัจจุบันการค้าระหว่างประเทศได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ ส่งผลให้บริษัทธุรกิจและโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องกลับมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการขนส่งและโลจิสติกส์เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าที่อยู่สุดท้ายในโซ่อุปทาน
ธนาคารโลกหรือ World Bank ได้ทำการสำรวจประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของแต่ละประเทศ แล้วนำมาพัฒนาเป็นดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index: LPI) โดยดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ได้พัฒนามาจากข้อมูลจากแบบสอบถามบนเว็บไซต์ที่มีการตอบกลับมามากกว่า 800 บริษัททั่วโลก ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้ทำการประเมินประสิทธิภาพของบริษัทที่ทำการขนส่งสินค้าและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำพิธีการนำเข้าและส่งออกที่ครอบคลุมประเทศต่างๆ จำนวน 150 ประเทศ ตามเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมโลจิสติกส์
ดัชนีประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ได้ทำการสำรวจตามเกณฑ์ที่สำคัญ 7 เกณฑ์ ดังนี้
- ประสิทธิภาพในการดำเนินพิธีการศุลกากรที่ชายแดนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
- คุณภาพของสาธารณูปโภคพื้นฐานของการขนส่งและระบบสารสนเทศสำหรับโลจิสติกส์
- ความสะดวกในการนำเข้าหรือส่งออกสินค้าระหว่างประเทศ
- ความสามารถของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ในประเทศ
- ความสามารถในการติดตามและตรวจสอบย้อนกลับของการส่งสินค้าระหว่างประเทศ
- ต้นทุนโลจิสติกส์ภายในประเทศ
- ระยะเวลาในการขนส่งสินค้าไปปลายทาง
ดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์นี้ได้แบ่งเป็นคะแนนจาก 1 ถึง 5 โดยที่คะแนน 1 หมายถึงความไม่มีประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ ในขณะที่คะแนนเต็ม 5 หมายถึงว่ามีประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์เป็นอย่างดี นอกจากนี้ตัวเลขของดัชนีสามารถบอกได้ว่า การที่ดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์มีค่าต่ำลง 1.0 (อาทิ 2.5 กับ 3.5) หมายถึงประเทศนั้นมีระยะเวลาในการนำสินค้าจากท่ามายังคลังสินค้านานขึ้น 6 วัน และมีระยะเวลาในการส่งออกนานขึ้น 3 วัน และยังสามารถบอกได้ว่ามีโอกาสถูกสุ่มตรวจสินค้าที่ท่านำเข้ามากขึ้น 5 เท่า
สำหรับดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ของแต่ละประเทศสามารถแสดงได้ดังตารางที่ 1
ตารางที่ 1 ดัชนีวัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์ของแต่ละประเทศ
ที่มา: บทความเรื่อง “The Logistics Performance Index and Its indicators” ของ Jean-Francois Arvis, Monica Alina Mustra, John Panzer, Lauri Ojala, and Tapio Naula ในรายงานเรื่อง Connecting to Compete: Trade Logistics in the Global Economy ของสถาบัน World Bank ปี 2550
จากตารางที่ 1 แสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ของ 150 ประเทศทั่วโลก โดยสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีประสิทธิภาพของระบบโลจิสติกส์ดีที่สุดในโลกด้วยคะแนน 4.19 จาก 5 และประเทศเนเธอร์แลนด์เป็นอันดับที่ 2 มีคะแนน 4.18 สำหรับประเทศไทยอยู่อันดับที่ 31 ได้คะแนน 3.31 โดยที่ประเทศที่คู่แข่งการผลิตสินค้าที่สำคัญ อย่างประเทศจีนอยู่ในอันดับที่ 30 มีคะแนน 3.32 ประเทศเวียดนามอยู่อันดับที่ 53 ได้คะแนน 2.89
นอกจากนี้ดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์สามารถบอกถึงแนวโน้มของต้นทุนโลจิสติกส์ได้อีก ดังแสดงในภาพที่ 1
ที่มา: บทความเรื่อง “The Logistics Performance Index and Its indicators” ของ Jean-Francois Arvis, Monica Alina Mustra, John Panzer, Lauri Ojala, and Tapio Naula ในรายงานเรื่อง Connecting to Compete: Trade Logistics in the Global Economy ของสถาบัน World Bank ปี 2550
ภาพที่ 1 ความสัมพันธ์ระหว่างดัชนีวัดประสิทธิภาพโลจิสติกส์กับต้นทุนโลจิสติกส์
ภาพที่ 1 แสดงความสัมพันธ์ระหว่างต้นทุนทางตรงของการขนส่งสินค้า (Direct Freight Costs) และต้นทุนที่เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถทำพิธีการออกของและขนส่งสินค้าได้ทันเวลา (Induced Costs) กับดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ (Logistics Performance Index) เมื่อดัชนีวัดประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์มีค่าสูงขึ้น ต้นทุนที่เกิดขึ้นเมื่อไม่สามารถทำพิธีการออกของและขนส่งสินค้าได้ทันเวลาจะมีค่าลดลงอย่างเห็นได้ชัด แสดงให้เห็นถึงระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพจะสามารถช่วยลดต้นทุนในการขายสินค้าได้เป็นอย่างดี
ที่มา: บทความเรื่อง “The Logistics Performance Index and Its Indicators” ของ Jean-Francois Arvis, Monica Alina Mustra, John Panzer, Lauri Ojala, and Tapio Naula ในรายงานเรื่อง Connecting to Compete: Trade Logistics in the Global Economy ของสถาบัน World Bank ปี 2550
--------------------------------
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
สนใจบทความอื่นในชุดนี้คลิกดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT51 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2551” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 80 บทความ นำมาจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษากรณีศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่