iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป
ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา

CT51 ความรู้พื้นฐานสำหรับการออกแบบและก่อสร้างทางรถไฟ (Railway Engineering: Fundamental Aspect)

ลิขสิทธิ์ สำนักโลจิสติกส์

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่

โดย ดร. พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา

1) บทนำ

ในปัจจุบันเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วการขนส่งระบบราง ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการขนส่งผู้โดยสารหรือการขนส่งสินค้า นับว่ามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตประจำวันของประชาชนยุคปัจจุบันโดยเฉพาะในยุคน้ำมันแพงซึ่งการขนส่งด้วยระบบรางนั้นมีข้อดีหลายประการ ยกตัวอย่างเช่น ระบบขนส่งมวลชน (Mass Rapid Transit System: MRTS) ไม่ว่าจะเป็น รถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินขององค์การรถไฟฟ้ามหานคร (Mass Rapid Transit Authority: MRTA) หรือที่เราเรียนกันว่า MRT และ รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนกรุงเทพ หรือที่เราเรียกว่า (Bangkok Transit System: BTS) จะเห็นได้ว่าสามารถนำผู้โดยสารไปยังจุดหมายปลายได้อย่างรวดเร็ว ได้ครั้งละมาก ๆ และมีค่าใช้จ่ายในการโดยสารที่ต่ำ หากลองพิจารณาในอีกด้านของการขนส่งทางรถไฟ ก็คือ การขนส่งสินค้า ยิ่งในปัจจุบันประเทศไทยได้มีการสนับสนุนการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ โดยเฉพาะในด้านพยายามในการปรับเปลี่ยนการขนส่งระยะปานกลางถึงไกลจาการขนส่งด้วยรถบรรทุกให้เป็นการขนส่งทางรถไฟ ที่มีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยสินค้าและ ต้นทุนพลังงานที่ถูกว่า ความปลอดภัย รวมถึงการรักษาสิ่งแวดล้อม (Cilliers and Nagel 1994, Crainic and Laporte 1997, Kasilingam 2003, Vanichkobchinda 2007).

อย่างไรก็ตามในการก็สร้างทางรถไฟนั้นจะมีต้นทุนก่อสร้างที่สูง เครื่องจักรที่ในการบำรุงรักษาทางวิ่ง (Track Maintenance Machine) ทางมีราคาแพง เป็นงานเฉพาะทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรับเหมาสัมปทานทางรถไฟ หรือ การออกแบบการเชื่อมทางรถไฟเข้าสู่โรงงงานอุตสาหกรรมของอุตสาหกรรมบางสาขาเช่น อุตสาหกรรมเหล็ก อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรมเหมือง อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ หากผู้ใช้ไม่มีความรู้พื้นฐานในการออกแบบลานขนถ่ายสินค้า (Railway Yard) ที่ดีพออาจทำให้มีการติดตั้งประแจ (Turnout) หรือใช้ประแจไม่ถูกประเภทก็จะทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาในระยะยาวที่สูงขึ้นจะส่งผลกระทบการต้นทุนการปฏิบัติขององค์กร ซึ่งในบทความนี้ผู้เขียนจะกล่าวถึงพื้นฐานของระบบพื้นทางวิ่งของทางรถไฟรวมถึงการเปรียบเทียบข้อดีและข้อเสียของทางวิ่งระบบต่างๆ ซึ่งจะกล่าวในส่วนต่อไป

2) ระบบโครงสร้างพื้นทางวิ่ง (Railway Track Structure System)

ในการพิจารณาถึงพื้นทางวิ่ง (Track) โดยทั่วไปจะมี 2 ส่วน หลัก ๆ คือ 1) โครงสร้างทางวิ่งด้านตัดขวาง (Track Structure: Cross Section) และ 2) โครงสร้างทางวิ่งภาคตัดตามยาว โครงสร้างด้านบน (Track Structure: Longitudinal Section and Topview Section)

2.1) โครงสร้างทางวิ่งภาคตัดขวาง (Track Structure: Cross Section)

การพิจารณาในส่วนของภาคตัดขวางจะบอกถึงการออกแบบโครงสร้างของชั้นดินบดอัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ระบบทางวิ่งที่โรยด้วยหิน (Ballast Track) จะต้องให้ความสำคัญในการบดอัดดินเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งจะต้องบดอัดดินให้แน่นเสมอกันโดยจะมีการบดอัด 2 ชั้น คือ Subgrade และ Sub-Ballast ก่อนที่จะโรยด้วย Ballast เพื่อรองรับการถ่ายน้ำหนักจากล้อรถไฟลงสู่รางทั้งสองอย่างเสมอภาคเพื่อป้องกันรถไฟตกรางจากความต่างระดับของรางทั้งสอง (ดังแสดงในแผนภาพที่ 1)

แผนภาพที่ 1 ภาพตัดขวางของการบดอัดดินของการก่อสร้างทางรถไฟ

นอกจากนั้นการออกแบบใน Cross-Section ยังต้องพิจารณาถึง Track Gauge ซึ่งก็คือความกว้างระหว่างฐานล้อของรถไฟ ระยะห่างระหว่างฐานล้อนี้จะวัดจากสันรางลงมา 14 mm (BS EN 13674 – 1: 2003) โดยที่ฐานรางทำมุมเอียงเข้าหากัน 1:40 (1:20) จุดนี้ก็คือจุดที่บังใบล้อสัมผัสกับตัวราง ดังแสดงในแผนภาพที่ 2 และ 3)

ในปัจจุบัน Track Gauge ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจะมีอยู่ 3 ประเภท

1. Meter Gauge เป็น gauge ที่มีความกว้าง 1,000 mm ทางรถไฟ Meter Gauge จะยังใช้กันอยู่เพียงแค่ประเทศไทยและมาเลเซีย

2. Standard Gauge เป็น gauge ที่มีความกว้าง 1,435 mm ทางรถไฟประเภทนี้เป็นแบบที่นิยมกันใช้ในปัจจุบัน เนื่องจากมีฐานล้อที่กว้างจะสามารถทำให้รถไฟวิ่งได้ด้วยความเร็วสูง และสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้มากกว่าอีกด้วย นอกจากนั้น ทั้งในด้านของตัวราง ขบวนรถ (Rolling Stock) และระบบสนับสนุน มีการผลิตและใช้อย่างแพร่หลายจึงส่งผลให้การบำรุงรักษาระบบต่าง ๆ ในระยะยาวถูกลง

3. Broad Gauge เป็น gauge ที่มีขนาดใหญ่กว่า Standard gauge ซึ่ง Broad มีอยู่หลายขนาดตามและแต่ละประเทศจะมีขนาด gauge ที่ไม่เท่ากัน เช่น Brazil Broad Gauge = 1,600 mm, Netherlands Broad Gauge = 1,945 mm, หรือ Spanish Broad Gauge = 1,668 mm อย่างไรก็ตาม ระบบ Broad Gauge ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายจะมีการใช้ในแถบอินเดีย ซึ่ง Broad Gauge ประเภทนี้จะมีความกว้าง 1,676 mm

4. Dual Gauge (Mixed Gauge) คือทางรถไฟที่มีระบบรางผสมกันตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไป เช่น Standard Gauge กับ Meter Gauge หรือ ผสม กับ Broad Gauge ดังแสดงในแผนภาพที่ 1 a และ b

แผนภาพที่ 2 Track Gauge

แผนภาพที่ 3 Standard Track Gauge และ จุดสัมผัสของบังใบล้อกับตัวราง

แผนภาพที่ 4 Dual Gauge: (a) ภาพตัดขวางของ Dual Gauge; (b) ระบบรางแบบ Dual Gauge

Profile การบดอัดชั้นดิน และTrack Gauge จะบอกถึงมิติของทางรถไฟรวมถึงเป็นข้อมูลในการนำไปจัดซื้อจัดหาขบวนรถไฟ (Rolling Stock) และระยะห่างระหว่างทางรถไฟคู่ขนาน การออกแบบตัวสะพาน (แสดงในแผนภาพที่ 5) หรือแม้กระทั่งการออกแบบ Yard ที่ใช้ในการขนถ่ายสินค้า ซึ่งจะนำไปออกแบบคำนวณหาขนาดมิติของ Rolling Stock ซึ่งเรียกว่า Structural Gauge  (แสดงในแผนภาพที่ 6) เพื่อป้องกันการชนกันของรถไฟ

แผนภาพที่ 5 ระยะห่างระหว่าง Track

แผนภาพที่ 6 Structural Gauge

2.2) โครงสร้างทางวิ่งภาพตัดตามยาว (Track Structure: Longitudinal Section) ในขณะที่ภาพตัดตามยาวจะแสดงถึงระยะในการวางหมอนรถไฟ การจุดเชื่อมราง การติดฉนวน ต่าง ๆ  และยังบอกถึง Horizontal & Vertical Alignment ในการวางรางอีกด้วย 

3)  พื้นทางวิ่ง (Railway Track)

ทางวิ่งของรถไฟที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) Ballasted Track; 2) Non-Ballasted Track หรือ Slab Track (หรือ เรียกอีกอย่างว่า Track Concrete)

1 Ballast Track (ดังแสดงในแผนภาพที่ 7) เป็นทางรถไฟที่ใช้กันอย่างแพร่หลายอยู่ทั่วไปในทุก ๆ ประเทศ ซึ่ง Ballasted Track นั้นมีข้อดีคือ ต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำ ขั้นตอนการบำรุงรักษาอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น การเปลี่ยนแรง เปลี่ยนเครื่องยึดเหนี่ยว สามารถทำได้ง่าย Rail Joint และ Fishplated joint และ Insulated Rail Joint (IRJ) แม้กระทั่งการปรับแก้ ระดับ (Level) และ แนวทางวิ่ง (Alignment) สามารถทำได้ง่าย มีคุณสมบัติการระบายน้ำที่ดี รวมถึงการลดมลภาวะทางเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของการวิ่งของรถไฟกับพื้นทาง

อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่า Ballasted Track จะมีต้นทุนในการบำรุงรักษาที่ถูก และบำรุงรักษาง่าย ก็จริงแต่ก็ต้องทำการบำรุงรักษาเป็นระยะ ๆ เมื่อพิจารณารวมกับจำนวนครั้งในการบำรุงรักษากับระยะเวลาในการใช้พบว่ามีค่าบำรุงรักษาทางที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นในปัจจุบันจึงมีการพัฒนารูปแบบของทางรถไฟสมัยใหม่ ด้วยการนำระบบของ Slab Track หรือ Track Concrete เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนและกระบวนการในการบำรุงรักษารวมถึงยืดอายุการใช้งานของทางรถไฟ

แผนภาพที่ 7 Ballasted Track

2 Non – Ballasted Track (Slab Track or Concrete Track) (แสดงในแผนภาพที่ 8) ลักษณะของ Slab Track จะแตกต่างจาก Ballast Track ตรงที่จะเปลียนชั้น Sub-grade ไปเป็น Concrete Road-bed ในส่วนของ Sub-ballast จะเปลี่ยนเป็นการเทคอนกรีตเพื่อเชื่อมกับตัวหมอนรถไฟ (Concrete Sleeper) ดังแสดงในแผนภาพที่ 9 Slab Track จะช่วยลดความสูงของโครงสร้าง ลดปัญหาในการจัดหาหิน Ballast เนื่องจากในปัจจุบันยากในการหาหิน Ballast ที่ได้ขนาด ได้สัดส่วน ไม่กลม หรือ แบนจนเกินไป และที่สำคัญในหลาย ๆ ประเทศได้มีนโยบายในการปกป้องสิ่งแวดล้อมซึ่งส่งผลให้การขอใบอนุญาตในการเปิดเหมืองหินก็ทำได้ยากขึ้นยังส่งผลให้มีการก่อสร้างทางรถไฟมีต้นทุนที่สูงขึ้นตามมาอีกด้วย และในเมื่อหิน Ballast นับวันยิ่งหายากขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนในการบำรุงรักษาทางรถไฟในอนาคตสูงขึ้นด้วยเนื่องหิน Ballast จะต้องถูกเปลี่ยนและบำรุงรักษาตามระยะเวลา Slab Tack ยังมีความเสถียรภาพทางโครงสร้างที่สูงซึ่งเหมาะสมกับการใช้กับ รถไฟความเร็วสูง (High Speed Rail: HSR) รวมถึงยังสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้มากอีกด้วย ในปัจจุบันทางรถไฟประเภทนี้ได้ใช้กับอย่างแพร่หลายในระบบรถไฟฟ้าใต้ดิน รถไฟลอยฟ้า และระบบรถไฟชาญเมือง ซึ่งเป็นทางรถไฟที่มีความถี่ของขบวนต่อวันสูง มีเวลาในการบำรุงรักษาต่ำ หรือ หากว่าต้องหยุดเพื่อบำรุงรักษาอาจเกิดการสูญเสียทางระบบเศรษฐกิจสังคมสูง เช่น หากหยุดรถไฟฟ้าใต้ดิน หรือ รถไฟฟ้า BTS หยุดวิ่งก็จะทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจทางตรงเช่นรายของบริษัท ทางอ้อมเช่น หากประชาชนไม่ขึ้นรถไฟฟ้า จะทำให้หันมาใช้รถยนต์มาขึ้นทำให้การบริโภคน้ำมันมากขึ้น ทำให้เกิดการล่าช้าในการนัดหมายหรือการประชุม

อีกสาเหตุสำคัญที่ Slab Track ไม่ใช้ในการขนส่งระยะไกลเนื่องจาก จะทำให้มีต้นทุนการก่อสร้างที่สูง และความถี่ของขบวนรถยังไม่มากพอ ก็ยังไม่คุ้มค่าที่จะใช้ Slab Track ซึ่งราคาแพงกว่า Ballasted Track 30 – 50% หรือว่าในบางกรณีอาจแพงกว่าถึงเท่าตัว

แผนภาพที่ 8 Slab Track

แผนภาพที่ 9 Cross-Section ของ Slab Track (Rheda 2000: Classic Type)

ประเภทของ Slab Track เกณฑ์ในการจัดประเภทได้ 2 แบบหลัก ๆ คือ

1 แบ่งตามวิธีการติดตั้ง การติดตั้งแบ่งออกได้สองแบบคือ

1) Direct Fixation;

2) Floating Slab Track

2  แบ่งตามลักษณะของประเภท Rail Support

ลักษณะของ Slab Track ที่แบ่งตาม Rail Support จะมีอยู่หลายประเภทซึ่งขึ้นอยู่กับความสามารถในการออกแบบของแต่ละบริษัทหรือตาม TOR (Term of References) ของแต่ละประเทศ นอกจากนั้นยังขึ้นอยู่ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความต้องการในการลดต้นทุนการก็สร้าง ที่ต้องการให้ได้งานที่เร็ว ต้นทุนที่ถูก และการควบคุมคุณภาพ การแบ่งประเภทแบบ Rail Support แสดงดังตารางที่ 1

SLAB TRACK SYSTEM

Discrete Rail Support

Continuous Rail Support

Sleeper or

Blocks embedded in concrete

Sleeper on top of asphalt concrete roadbed

Prefabricated Concrete Slab

Monolithic insitu slabs (on Civil Structure)

Embedded Rail

Clamped and Continously Supported Rail

Rheda

Rheda2000

Zublin

LVT

ATD

Shinkansen

Bogl

Paved-in track on civil Structure

Raved-in Track light rail road crossing deck track

Cocon Track,

ERL

Vanguard

KES

5) สรุป

จากที่กล่าวจะเห็นได้ว่าความรู้ในเรื่องของ Track Gauge และพื้นฐานในเรื่องของระบบพื้นฐานของทางวิ่งเช่น Ballasted Track และ Slab Track นั้นมีข้อดีข้อเสียอย่างไรและความแตกต่างในด้านต้นทุนการก่อสร้าง ต้นทุนในการบำรุงรักษา และระยะเวลาในการใช้ทาง ซึ่งความรู้เหล่านี้จะทำให้ผู้ประกอบการอุตาสหกรรมสามารถนำไปเป็นส่วนในการตัดสินใจหากมีความต้องการที่ลงทุนในด้านการสร้างทางรถไฟเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม

6) เอกสารอ้างอิง

- American Railway Engineering and Maintenance-of-Way Association (AREMA), Railway Engineering Desgin Handbook

- British Standard: BS EN 13674 – 1: 2003, Railway applications – Track – Rail – Part 1: Vignole railway rails 46 kg/m and above

- Cillier, W.W. and Nagel, P.J.A. (1994) Logistics trends in South Africa. International Journal of Physical Distribution & Logistics Managemen 24(7), 4–14

- Crainic, T.G. & Laporte, G. (1997)  Planning  models for freight transportation. European Journal of Operation Research, 97, 409–438.

- Kasilingam, R.G. (2003) Logistic  and  Transportation:  Design  and Planning.  Kluwer Academic Publishers, London

- The International Union of Railway (UIC) Design Code

- Vanichkobchinda, P. (2007) Development of Thailand railway freight transportation: A key element to become the Greater Mekong Subregion (GMS) freight distribution center, The Proceedings of the 12th International Conference of Hong Kong Society for Transportation Studies: Transportation System: Engineering & Management, 8 – 10 December 2007, Hong Kong

--------------------------------

สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง

สนใจบทความอื่นในชุดนี้คลิกดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง

CT51 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2551” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 80 บทความ นำมาจัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษากรณีศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล

 --------------------------------

ที่มา

เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2551

โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward