iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้

ยืนหยัด เข้มแข็ง และกล้าหาญ (Stay Strong & Be Brave)
ขอเป็นกำลังใจให้คนดีทุกคนในการต่อสู้ความอยุติธรรม ในยุคสังคมที่คดโกงยึดถึงประโยชน์ส่วนตนและพวกฟ้องมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม จนหลายคนคิดว่าพวกด้านได้อายอดมักได้ดี แต่หากยึดคำในหลวงสอนไว้ในเรื่องการทำความดีเราจะมีความสุขครับ
มิสเตอร์เรน (Mr. Rain) และมิสเตอร์เชน (Mr. Chain)
Mr. Rain และ Mr. Chain สองพี่น้องในโลกออฟไลน์และออนไลน์ที่จะมาร่วมมือกันสร้างสื่อสารสนเทศ เพื่อเผยแพร่ให้ความรู้ในเรื่องราวต่างๆ มากมายสร้างสังคมในการเรียนรู้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา
Pay It Forward เป้าหมายเล็ก ๆ ในการส่งมอบความดีต่อ ๆ ไป
เว็ปไซต์นี้เกิดจากแรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward ที่เล่าถึงการมีเป้าหมายเล็ก ๆ กำหนดไว้ให้ส่งมอบความดีต่อไปอีก 3 คน หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลยโดยไม่ต้องตอบแทนกลับมา อยากให้ส่งต่อเพื่อถ่ายทอดต่อไป

วัดม้าขาว (White Horse Temple) ลั่วหยาง เหอหนาน

แผนที่ https://maps.app.goo.gl/FMsNHEjELgTBtjd18

วัดม้าขาว (White Horse Temple) ลั่วหยาง การเดินทางสู่จุดเริ่มต้น ต้นกำเนิดพุทธศาสนาแห่งต้าฮั่น ณ ลั่วหยาง

การเดินทางสู่ใจกลางอารยธรรมจีนโบราณ ณ เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน คือการก้าวเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งศรัทธาอันลึกซึ้งและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดินแดนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ "วัดม้าขาว" (White Horse Temple) อารามแห่งแรกที่กำเนิดขึ้นบนแผ่นดินมังกร ซึ่งไม่เป็นเพียงแค่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นประตูบานแรกที่เปิดรับพระพุทธศาสนาเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ก่อกำเนิดเป็น "อู่อารยธรรมพุทธศาสนาจีน" ที่สืบทอดมายาวนานกว่าสองพันปี การมาเยือนวัดแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการย้อนเวลากลับไปสัมผัสจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาที่หล่อหลอมจิตวิญญาณของชาวจีนมาหลายชั่วอายุคน

เมื่อย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัด กลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์และความสงบเย็นก็โอบล้อมกายใจทันที สถาปัตยกรรมจีนโบราณที่งดงามตระหง่านอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนหยัดมานานนับศตวรรษ บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของพระธรรมคำสอนจากชมพูทวีปสู่แดนต้าฮั่น เรื่องเล่าของพระภิกษุชาวอินเดียสองรูปนามว่า เสมาเถิงและจูฟาหลาน ที่อัญเชิญพระไตรปิฎกมาบนหลังม้าขาวคู่หนึ่ง ได้กลายเป็นตำนานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกพันกับชื่อของวัดแห่งนี้ ทำให้วัดม้าขาวไม่ใช่เพียงแค่สิ่งก่อสร้าง แต่คืออนุสรณ์แห่งศรัทธาและความเพียรพยายามอันไม่ย่อท้อ

บรรยากาศภายในวัดเต็มไปด้วยความขลังและความเงียบสงบที่ชวนให้จิตใจได้พักผ่อนและใคร่ครวญ เสียงกระดิ่งลมที่พลิ้วไหวตามสายลมเบาๆ คละเคล้ากับกลิ่นธูปหอมที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ สร้างมิติแห่งความสงบสุขที่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน ทุกก้าวเดินบนลานวัด ทุกสายตาที่จับจ้องไปยังพุทธรูปและเจดีย์โบราณ ล้วนเป็นเสมือนการเชื่อมโยงกับอดีตอันรุ่งโรจน์ของพุทธศาสนาในจีน ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสถึงพลังแห่งศรัทธาที่ยังคงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แม้กาลเวลาจะผันผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม

การสำรวจวัดม้าขาวจึงไม่ใช่แค่การเดินชมสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นการผจญภัยทางจิตวิญญาณเพื่อค้นพบรากฐานอันมั่นคงของพุทธธรรมในจีน จากตำนานการอัญเชิญพระสูตรไปจนถึงการแปลพระธรรมคำสอนที่นี่ แต่ละมุมของวัดล้วนมีเรื่องราวที่รอคอยการค้นพบ ตั้งแต่เจดีย์ฉีหยุนอันเก่าแก่ที่ยืนหยัดท้าทายกาลเวลา ไปจนถึงวิหารต่างๆ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ และแม้กระทั่งโซนวัดนานาชาติที่สะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมพุทธศาสนาที่ยังคงดำเนินต่อไป วัดม้าขาวจึงเป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่าที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาและจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความจริงของมนุษย์

ที่ตั้งและภูมิประเทศ

วัดม้าขาว (White Horse Temple) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ห่างจากตัวเมืองลั่วหยางประมาณ 12 กิโลเมตร ทำเลที่ตั้งของวัดอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ของที่ราบภาคกลางของจีน ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์ชนบทอันเงียบสงบและพื้นที่เกษตรกรรม

บริเวณรอบๆ วัดมีต้นไม้โบราณสีเขียวขจีจำนวนมากที่ช่วยสร้างบรรยากาศอันร่มรื่นและสงบเย็นให้กับสถานที่แห่งนี้ พื้นที่ของวัดครอบคลุมประมาณ 13 เฮกตาร์ หรือประมาณ 81.25 ไร่ โดยอาคารต่างๆ ภายในวัดหันหน้าไปทางทิศใต้ตามหลักฮวงจุ้ยแบบจีนโบราณที่เชื่อว่าเป็นการรับพลังงานที่ดี

ประวัติศาสตร์

วัดม้าขาว มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาในจีนอย่างแท้จริง ก่อตั้งขึ้นในปีคริสตศักราช 68 (พ.ศ. 611) ในรัชสมัยของจักรพรรดิหมิงตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งทำให้วัดแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดพุทธแห่งแรกในประเทศจีนและเป็น "อู่อารยธรรมพุทธศาสนาจีน" (the cradle of Chinese Buddhism)

ตำนานการก่อตั้งวัดเริ่มต้นขึ้นจากความฝันของจักรพรรดิหมิงตี้ ซึ่งทรงฝันเห็นบุรุษทองคำลอยอยู่เหนือพระราชวัง จึงทรงมีพระราชโองการให้คณะทูตออกเดินทางไปยัง "โลกตะวันตก" (ซึ่งหมายถึงอินเดียในสมัยนั้น) เพื่อสืบเสาะหาพระธรรมคำสอน คณะทูตได้เดินทางกลับมาในอีกสามปีต่อมา พร้อมด้วยพระภิกษุชาวอินเดียผู้ทรงคุณธรรมสองรูป คือพระเสมาเถิง (She Moteng) และพระจูฟาหลาน (Zhu Falan) ผู้ซึ่งอัญเชิญพระสูตรและพระพุทธรูปมายังลั่วหยางบนหลังม้าขาวคู่หนึ่ง ด้วยความซาบซึ้งในพระธรรมและม้าขาวที่นำพามา จักรพรรดิหมิงตี้จึงทรงมีพระบัญชาให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นและตั้งชื่อว่า "วัดม้าขาว" เพื่อเป็นเกียรติแก่พระภิกษุและม้าขาวเหล่านั้น

พระเสมาเถิงและพระจูฟาหลานได้พำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้และมีบทบาทสำคัญในการแปลพระคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานอันมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน สุสานของพระภิกษุทั้งสองรูปนี้ยังคงตั้งอยู่ในบริเวณลานวัดแรกเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของท่าน

ตลอดระยะเวลากว่า 1,900 ปี วัดม้าขาวได้ผ่านการบูรณะและปรับปรุงมาหลายครั้ง แม้ว่าโครงสร้างดั้งเดิมของวัดจะถูกแทนที่ไปตามกาลเวลา แต่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาก็ยังคงอยู่ สภาพของวัดที่เห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการบูรณะครั้งสำคัญในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1911) โดยมีการบูรณะครั้งสำคัญล่าสุดเกิดขึ้นในปีคริสตศักราช 1973 (พ.ศ. 2516) หลังจากช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลสำคัญทางพุทธศาสนาอีกท่านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดม้าขาวคือ พระถังซัมจั๋ง หรือ พระเสวียนจ้าง (Xuanzang) ผู้โด่งดังจากการเดินทางไปยังอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมายังจีนในอีกกว่า 500 ปีต่อมาหลังจากที่วัดม้าขาวก่อตั้งขึ้น เมื่อท่านเดินทางกลับมายังจีน ท่านได้เริ่มต้นการเดินทางจากที่นี่และภายหลังยังได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสของวัดม้าขาวอีกด้วย ซึ่งตอกย้ำถึงสถานะอันเป็นศูนย์กลางของวัดแห่งนี้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา

ตำนานและความสำคัญ

วัดม้าขาวมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน ไม่เพียงแต่เป็นวัดพุทธแห่งแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียมาสู่จีนอย่างเป็นทางการ เรื่องราวการก่อตั้งวัดที่เชื่อมโยงกับความฝันของจักรพรรดิหมิงตี้และการเดินทางของพระภิกษุสองรูปบนหลังม้าขาว ได้กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา ซึ่งสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความเชื่อพื้นถิ่นกับแนวคิดใหม่จากต่างแดน

ตำนานและเรื่องเล่า

ตำนานเล่าว่าจักรพรรดิหมิงตี้ทรงมีพระสุบินนิมิตเห็น "บุรุษทองคำ" ลอยอยู่เหนือพระราชวัง ซึ่งนักวิชาการในราชสำนักได้ถวายคำแนะนำว่านี่อาจเป็น "พระพุทธเจ้า" ผู้ศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนทางตะวันตก ความฝันนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้พระองค์ส่งคณะทูตออกไปแสวงหาพระธรรม นำไปสู่การพบกับพระเสมาเถิงและพระจูฟาหลาน พร้อมด้วยพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปที่บรรทุกมาบนหลังม้าขาว การสร้างวัดม้าขาวขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของพระภิกษุและเป็นศูนย์กลางการแปลพระคัมภีร์ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่เปิดประตูสู่ยุคทองของพระพุทธศาสนาในจีน

ความสำคัญของวัดยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น วัดม้าขาวยังเป็นสถานที่ที่พระไตรปิฎกฉบับภาษาจีนเล่มแรกถูกแปลขึ้น เรื่องราวเหล่านี้ทำให้วัดม้าขาวไม่เป็นเพียงสถานที่ทางศาสนา แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ล้ำค่า ทำให้พุทธศาสนาหยั่งรากลึกและเจริญรุ่งเรืองในจีนมาจนถึงปัจจุบัน

สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเชิงลึก

โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของวัดม้าขาวสะท้อนถึงรูปแบบวัดจีนโบราณที่สืบทอดกันมา โดยอาคารหลักต่างๆ จะเรียงรายอยู่ตามแกนกลางที่หันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งประกอบด้วย วิหารท้าวจตุโลกบาล (Heavenly King Hall), วิหารพระใหญ่ (Great Buddha Hall), วิหารมหาโพธิ์ (Hall of Mahavira), วิหารเจี๋ยอิน (Jieyin Hall หรือ Hall of Guidance) และศาลาผีลู่ (Pilu Pavilion) แต่ละวิหารประดับประดาด้วยงานแกะสลักไม้ที่วิจิตรงดงาม ภาพจิตรกรรมฝาผนัง และรูปปั้นพระพุทธรูปที่แสดงถึงความประณีตของศิลปะจีน ไม่มีข้อมูลขนาดความสูงหรือความกว้างของอาคารแต่ละหลังเป็นเมตร

แม้ว่าอาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นผลจากการบูรณะในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง แต่ก็ยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะวิหารมหาโพธิ์ (Hall of Mahavira) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาแกะสลักลวดลายดอกบัวและผนังที่ประดับด้วยรูปปั้นพระพุทธรูปไม้ขนาดเล็กนับพันองค์ แสดงถึงความศรัทธาและความอุตสาหะของผู้สร้าง การตกแต่งอันวิจิตรเหล่านี้ไม่เพียงเป็นงานศิลปะที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงความรุ่งเรืองทางพุทธศิลป์ของจีน

บริเวณด้านหน้าของวัดยังมีซุ้มประตูหิน (Paifang) ที่สร้างขึ้นใหม่ รวมถึงรูปปั้นม้าหินสองตัวซึ่งเชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) ทำหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้า สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสง่างามให้กับวัด แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องราวและตำนานที่เชื่อมโยงกับ "ม้าขาว" ที่เป็นสัญลักษณ์ของวัด

นอกเหนือจากอาคารแบบจีนดั้งเดิมแล้ว วัดม้าขาวยังมี "โซนนานาชาติ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพุทธที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ วัดไทย วัดพม่า และวัดอินเดีย ซึ่งสร้างขึ้นจากโครงการความร่วมมือทางวัฒนธรรมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โซนนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของพุทธศาสนานิกายต่างๆ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ยังคงดำเนินอยู่ ทำให้วัดม้าขาวเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนาจากทั่วโลกอย่างแท้จริง สะท้อนถึงการเติบโตและพัฒนาของพุทธศาสนาที่ข้ามผ่านพรมแดน

จุดเด่นและสิ่งที่น่าสนใจ

วัดม้าขาวเต็มไปด้วยจุดเด่นที่น่าสนใจและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่รอคอยการค้นพบ นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงในการสำรวจบริเวณวัดอันกว้างใหญ่และดื่มด่ำกับบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์

วิหารท้าวจตุโลกบาล (Hall of Heavenly Kings)

เมื่อย่างเท้าผ่านซุ้มประตูใหญ่ ท่านจะพบกับวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นอันดับแรก วิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอริยเมตไตรยในรูปปางอ้วนท้วนสมบูรณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "พระสังกัจจายน์" (Milefo) อันเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความมั่งคั่ง ตามหลักพุทธศาสนานิกายมหายานที่แพร่หลายในจีน

นอกจากนี้ ด้านหลังของพระสังกัจจายน์คือพระพุทธรูปพระเวทโพธิสัตว์ (Skanda Bodhisattva) ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์ธรรมะ และยังมีรูปปั้นของท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่สองข้างทางซ้ายขวา แต่ละองค์แต่งกายด้วยชุดเกราะอันวิจิตรตระการตา พร้อมด้วยศาสตราวุธในมือ แสดงถึงการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรม วิหารแห่งนี้จึงเป็นจุดแรกที่ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งการปกปักรักษา

วิหารพระใหญ่ (Great Buddha Hall)

ถัดจากวิหารท้าวจตุโลกบาลคือวิหารพระใหญ่ ซึ่งเป็นวิหารหลักที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปประทับอยู่ในปางสมาธิอันสงบนิ่ง แผ่เมตตาและพลังแห่งความสงบออกมาสู่ผู้มาเยือน

ภายในวิหารได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความขลัง เหมาะแก่การนั่งทำสมาธิและระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้มาเยือนมักจะจุดธูปบูชาและถวายเครื่องสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในดินแดนแห่งนี้

วิหารมหาโพธิ์ (Hall of Mahavira)

วิหารมหาโพธิ์เป็นหนึ่งในวิหารที่โดดเด่นและงดงามที่สุดในวัดม้าขาว วิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ รวมถึงพระศากยมุนี พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยพระสาวกและพระโพธิสัตว์ รูปปั้นเหล่านี้สร้างขึ้นอย่างประณีต แสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธาอันแรงกล้าของพุทธศาสนิกชน

สิ่งที่น่าทึ่งคือการตกแต่งภายในวิหาร หลังคาแกะสลักเป็นลวดลายดอกบัวอันงดงาม และผนังประดับประดาด้วยรูปปั้นพระพุทธรูปไม้ขนาดเล็กนับพันองค์ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความวิจิตรบรรจงและเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะอย่างยิ่ง ผู้มาเยือนจะรู้สึกทึ่งในความละเอียดอ่อนของงานฝีมือเหล่านี้ และสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่อบอวลอยู่ทั่วทุกมุมของวิหาร เป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งเรืองของพุทธศิลป์ในอดีต

วิหารเจี๋ยอิน (Jieyin Hall หรือ Hall of Guidance)

วิหารเจี๋ยอิน หรือ วิหารแห่งการนำทาง เป็นวิหารที่ประดิษฐานพระอมิตาภพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าแห่งดินแดนสุขาวดีในพุทธศาสนานิกายมหายาน พระองค์ทรงเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงในหมู่ชาวพุทธจีน โดยเชื่อกันว่าผู้ที่ระลึกถึงพระนามของพระองค์จะได้รับการนำทางไปสู่สุขาวดี

วิหารแห่งนี้มักเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาอธิษฐานขอพรเพื่อชีวิตหลังความตายที่ดีงาม และขอให้บุคคลอันเป็นที่รักได้ไปสู่ภพภูมิที่สงบสุข บรรยากาศภายในวิหารจึงเต็มไปด้วยความหวังและความศรัทธาในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดและหนทางแห่งการหลุดพ้น

ชานพักเย็นและใส (Cool and Clear Terrace)

ชานพักเย็นและใส เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ภายในวัด เป็นที่ซึ่งพระเสมาเถิงและพระจูฟาหลาน สองพระภิกษุชาวอินเดียผู้บุกเบิก ได้ใช้เป็นที่แปลพระสูตรจากภาษาบาลี/สันสกฤตเป็นภาษาจีน นี่คือจุดกำเนิดของการเผยแผ่พระธรรมคำสอนและวรรณคดีพุทธศาสนาสู่แผ่นดินจีน

การยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ผู้มาเยือนจินตนาการถึงภาพพระภิกษุทั้งสองที่ทำงานอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดหลักธรรมอันลึกซึ้งออกสู่โลกตะวันออก ชานพักแห่งนี้จึงเป็นเสมือนศูนย์กลางแห่งปัญญาและรากฐานของการศึกษาพระพุทธศาสนาในจีน เป็นจุดที่พระธรรมคำสอนเริ่มหยั่งรากลึกในดินแดนใหม่นี้อย่างแท้จริง

เจดีย์ฉีหยุน (Qiyun Pagoda)

ตั้งอยู่นอกประตูวัด เจดีย์ฉีหยุนเป็นเจดีย์อิฐสูง 13 ชั้นที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์จิน (ค.ศ. 1115-1134) และเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเมืองลั่วหยาง แม้ไม่มีข้อมูลความสูงเป็นเมตรที่แน่นอนจากรายงาน แต่ความเก่าแก่และจำนวนชั้นบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ เจดีย์แห่งนี้โดดเด่นด้วยรูปทรงที่สง่างามและเป็นเอกลักษณ์ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและความศรัทธาอันยาวนาน

ตำนานเล่าว่า หากปรบมือห่างจากเจดีย์ประมาณ 20 เมตร จะได้ยินเสียงสะท้อนคล้ายเสียงกบร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจและสนุกสนานให้กับผู้มาเยือน เจดีย์ฉีหยุนไม่เพียงแต่เป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นประจักษ์พยานถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้

โซนนานาชาติ (International Zone)

ทางตะวันตกของบริเวณวัดดั้งเดิม วัดม้าขาวได้ขยายพื้นที่เพื่อรองรับ "โซนนานาชาติ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพุทธที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ วัดไทย วัดพม่า และวัดอินเดีย วัดเหล่านี้เป็นผลมาจากโครงการความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนทางพุทธศาสนาที่ยังคงดำเนินอยู่

การได้เดินชมวัดแต่ละแห่งในโซนนี้เป็นการเปิดประสบการณ์ที่หลากหลาย ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับศิลปะและวัฒนธรรมพุทธศาสนาจากภูมิภาคต่างๆ ในเอเชียในที่เดียว ทำให้เห็นถึงความงดงามและความหลากหลายของพุทธธรรมที่แผ่ขยายไปทั่วโลก

ม้าหิน (Stone Horses)

บริเวณทางเข้าวัดม้าขาว ท่านจะพบกับรูปปั้นม้าหินคู่หนึ่งที่ยืนตระหง่าน รูปปั้นเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) ม้าหินเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงประติมากรรมโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงตำนานการก่อตั้งวัด ซึ่งพระภิกษุชาวอินเดียได้อัญเชิญพระธรรมมาบนหลังม้าขาว

การได้เห็นม้าหินเหล่านี้ทำให้ผู้มาเยือนย้อนนึกถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์และจินตนาการถึงการเดินทางอันยาวนานและยากลำบากของพระธรรมคำสอนที่มาถึงแผ่นดินจีน ม้าหินจึงเป็นเครื่องเตือนใจถึงจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนาในจีน

ซุ้มประตูหิน (Stone Paifang)

ก่อนจะถึงประตูวัดหลัก ท่านจะเดินผ่านซุ้มประตูหินอันสง่างามที่สร้างขึ้นใหม่ ซุ้มประตูแบบจีนโบราณนี้เรียกว่า "ไผฟาง" (Paifang) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับและเป็นเครื่องหมายแสดงความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เบื้องหน้าซุ้มประตูมักมีบ่อน้ำพุและสะพานหินสามแห่งที่ทอดข้ามผ่าน ไม่มีข้อมูลขนาดความสูงหรือความกว้างของซุ้มประตูหินเป็นเมตร

ซุ้มประตูหินแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ดินแดนแห่งความสงบและศรัทธา เป็นการเตรียมจิตใจของผู้มาเยือนก่อนที่จะก้าวเข้าสู่บริเวณวัดอันศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง

ลูกท้ออายุยืนทองสัมฤทธิ์ (Bronze 'longevity peach')

ภายในวัดม้าขาว มีประติมากรรมลูกท้อทำจากทองสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ลูกท้ออายุยืน" ผู้มาเยือนสามารถลูบสัมผัสลูกท้อนี้เพื่อขอพรให้มีโชคดีและอายุยืนยาวตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ

ประติมากรรมนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนากับความเชื่อพื้นถิ่นของจีนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและอายุยืนยาว เป็นโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะได้มีส่วนร่วมกับประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น

หอศิลป์ซือหยวน (Shiyuan Art Gallery)

ที่ส่วนหลังของบริเวณวัด มีหอศิลป์ซือหยวน ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการศิลปะหมุนเวียน หอศิลป์แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่นำเสนอศิลปะพุทธศาสนาและศิลปะจีนร่วมสมัย ทำให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้และชื่นชมความงามทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับพุทธธรรม

การมาเยือนหอศิลป์แห่งนี้เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ทางวัฒนธรรม นอกเหนือจากการได้สัมผัสประวัติศาสตร์และศาสนาโดยตรง ผู้ที่สนใจศิลปะจะพบว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ

โรงน้ำชา (Teahouse)

สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าจากการสำรวจวัด ภายในวัดมีโรงน้ำชาที่ให้บรรยากาศอันเงียบสงบและเป็นกันเอง ที่นี่ผู้มาเยือนสามารถจิบชาจีนอ่อนๆ ที่ให้บริการฟรี และพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย

โรงน้ำชาเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้พบเห็นมาตลอดการเยี่ยมชมวัด หรือเพียงแค่พักผ่อนจากแสงแดดและฝูงชน เป็นการปิดท้ายการเดินทางที่สมบูรณ์แบบด้วยความสงบและสุนทรียะ

การเดินทางสู่ "วัดม้าขาว" ณ เมืองลั่วหยาง ไม่ใช่เพียงแค่การเยี่ยมชมโบราณสถานเก่าแก่ แต่เป็นการผจญภัยอันล้ำค่าสู่จุดกำเนิดแห่งพุทธศาสนาบนแผ่นดินจีน ที่นี่คือสถานที่ซึ่งศรัทธาได้หยั่งรากลึก ก่อกำเนิดเป็นอู่อารยธรรมทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่หล่อหลอมวัฒนธรรมจีนมายาวนานกว่าสองสหัสวรรษ ทุกย่างก้าวภายในวัดแห่งนี้คือการเดินผ่านหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความสงบเย็นและความศรัทธาที่ยังคงอบอวลอยู่ท่ามกลางต้นไม้โบราณและสถาปัตยกรรมอันงดงาม

จากตำนานความฝันของจักรพรรดิหมิงตี้ สู่การเดินทางอันแสนไกลของพระภิกษุสองรูปที่นำพระธรรมมาบนหลังม้าขาว วัดม้าขาวได้กลายเป็นประจักษ์พยานแห่งการแสวงหาปัญญาอันไม่หยุดยั้ง การมาเยือนวิหารแต่ละแห่ง, การชื่นชมงานแกะสลักอันวิจิตร, หรือแม้แต่การยืนอยู่หน้าเจดีย์ฉีหยุนอันเก่าแก่ ล้วนเป็นการเชื่อมโยงกับเรื่องราวและบุคคลสำคัญที่ได้สร้างรากฐานอันมั่นคงให้แก่พระพุทธศาสนาในจีน ยิ่งไปกว่านั้น โซนวัดนานาชาติยังสะท้อนถึงการเติบโตและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมพุทธศาสนาที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง

วัดม้าขาวจึงเป็นมากกว่าแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่เป็นสถานที่แห่งความอัศจรรย์ที่เชื้อเชิญให้เราได้ใคร่ครวญถึงพลังแห่งศรัทธา ความเพียรพยายาม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ได้สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ การได้มาเยือนวัดม้าขาวคือการได้รับแรงบันดาลใจ และกลับไปด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความซาบซึ้งในมรดกอันล้ำค่าแห่งพุทธธรรม ที่ยังคงส่องสว่างนำทางจิตใจของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำและควรค่าแก่การบอกเล่าตลอดไป

.

-------------------------

ที่มา

รวบรวมข้อมูลและรูป

www.iok2u.com

-------------------------

ดูเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่

เที่ยวจีน (Travel China)

เที่ยวรอบโลก (World Travel)

รวมเรื่องราวการท่องเที่ยว iok2u

-----------------------

ชมอัลปั้มภาพเพิ่มเติมที่

.

.

xxx

yyy

.

---------------------

 

 

ขอต้อนรับเข้าสู่เว็บไซต์
www.iok2u.com
แหล่งข้อมูลสารสนเทศเพื่อคุณ

เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward