วัดม้าขาว (White Horse Temple) ลั่วหยาง เหอหนาน
แผนที่ https://maps.app.goo.gl/FMsNHEjELgTBtjd18
วัดม้าขาว (White Horse Temple) ลั่วหยาง การเดินทางสู่จุดเริ่มต้น ต้นกำเนิดพุทธศาสนาแห่งต้าฮั่น ณ ลั่วหยาง
การเดินทางสู่ใจกลางอารยธรรมจีนโบราณ ณ เมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน คือการก้าวเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งศรัทธาอันลึกซึ้งและประวัติศาสตร์อันยาวนาน ดินแดนแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ "วัดม้าขาว" (White Horse Temple) อารามแห่งแรกที่กำเนิดขึ้นบนแผ่นดินมังกร ซึ่งไม่เป็นเพียงแค่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังเป็นประตูบานแรกที่เปิดรับพระพุทธศาสนาเข้าสู่จีนแผ่นดินใหญ่ ก่อกำเนิดเป็น "อู่อารยธรรมพุทธศาสนาจีน" ที่สืบทอดมายาวนานกว่าสองพันปี การมาเยือนวัดแห่งนี้จึงเปรียบเสมือนการย้อนเวลากลับไปสัมผัสจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาที่หล่อหลอมจิตวิญญาณของชาวจีนมาหลายชั่วอายุคน
เมื่อย่างเท้าเข้าสู่บริเวณวัด กลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์และความสงบเย็นก็โอบล้อมกายใจทันที สถาปัตยกรรมจีนโบราณที่งดงามตระหง่านอยู่ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่ที่ยืนหยัดมานานนับศตวรรษ บอกเล่าเรื่องราวการเดินทางอันยิ่งใหญ่ของพระธรรมคำสอนจากชมพูทวีปสู่แดนต้าฮั่น เรื่องเล่าของพระภิกษุชาวอินเดียสองรูปนามว่า เสมาเถิงและจูฟาหลาน ที่อัญเชิญพระไตรปิฎกมาบนหลังม้าขาวคู่หนึ่ง ได้กลายเป็นตำนานอันศักดิ์สิทธิ์ที่ผูกพันกับชื่อของวัดแห่งนี้ ทำให้วัดม้าขาวไม่ใช่เพียงแค่สิ่งก่อสร้าง แต่คืออนุสรณ์แห่งศรัทธาและความเพียรพยายามอันไม่ย่อท้อ
บรรยากาศภายในวัดเต็มไปด้วยความขลังและความเงียบสงบที่ชวนให้จิตใจได้พักผ่อนและใคร่ครวญ เสียงกระดิ่งลมที่พลิ้วไหวตามสายลมเบาๆ คละเคล้ากับกลิ่นธูปหอมที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ สร้างมิติแห่งความสงบสุขที่หาได้ยากในโลกปัจจุบัน ทุกก้าวเดินบนลานวัด ทุกสายตาที่จับจ้องไปยังพุทธรูปและเจดีย์โบราณ ล้วนเป็นเสมือนการเชื่อมโยงกับอดีตอันรุ่งโรจน์ของพุทธศาสนาในจีน ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสถึงพลังแห่งศรัทธาที่ยังคงสถิตอยู่ ณ ที่แห่งนี้ แม้กาลเวลาจะผันผ่านไปนานเพียงใดก็ตาม
การสำรวจวัดม้าขาวจึงไม่ใช่แค่การเดินชมสถานที่ท่องเที่ยว แต่เป็นการผจญภัยทางจิตวิญญาณเพื่อค้นพบรากฐานอันมั่นคงของพุทธธรรมในจีน จากตำนานการอัญเชิญพระสูตรไปจนถึงการแปลพระธรรมคำสอนที่นี่ แต่ละมุมของวัดล้วนมีเรื่องราวที่รอคอยการค้นพบ ตั้งแต่เจดีย์ฉีหยุนอันเก่าแก่ที่ยืนหยัดท้าทายกาลเวลา ไปจนถึงวิหารต่างๆ ที่ประดิษฐานพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ และแม้กระทั่งโซนวัดนานาชาติที่สะท้อนถึงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมพุทธศาสนาที่ยังคงดำเนินต่อไป วัดม้าขาวจึงเป็นดั่งสมบัติอันล้ำค่าที่สะท้อนถึงความยิ่งใหญ่ของพุทธศาสนาและจิตวิญญาณแห่งการแสวงหาความจริงของมนุษย์
ที่ตั้งและภูมิประเทศ
วัดม้าขาว (White Horse Temple) ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมืองลั่วหยาง มณฑลเหอหนาน ประเทศจีน ห่างจากตัวเมืองลั่วหยางประมาณ 12 กิโลเมตร ทำเลที่ตั้งของวัดอยู่ในพื้นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ของที่ราบภาคกลางของจีน ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมโบราณและเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ รายล้อมไปด้วยทิวทัศน์ชนบทอันเงียบสงบและพื้นที่เกษตรกรรม
บริเวณรอบๆ วัดมีต้นไม้โบราณสีเขียวขจีจำนวนมากที่ช่วยสร้างบรรยากาศอันร่มรื่นและสงบเย็นให้กับสถานที่แห่งนี้ พื้นที่ของวัดครอบคลุมประมาณ 13 เฮกตาร์ หรือประมาณ 81.25 ไร่ โดยอาคารต่างๆ ภายในวัดหันหน้าไปทางทิศใต้ตามหลักฮวงจุ้ยแบบจีนโบราณที่เชื่อว่าเป็นการรับพลังงานที่ดี
ประวัติศาสตร์
วัดม้าขาว มีประวัติศาสตร์อันยาวนานและเป็นจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาในจีนอย่างแท้จริง ก่อตั้งขึ้นในปีคริสตศักราช 68 (พ.ศ. 611) ในรัชสมัยของจักรพรรดิหมิงตี้แห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันออก ซึ่งทำให้วัดแห่งนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นวัดพุทธแห่งแรกในประเทศจีนและเป็น "อู่อารยธรรมพุทธศาสนาจีน" (the cradle of Chinese Buddhism)
ตำนานการก่อตั้งวัดเริ่มต้นขึ้นจากความฝันของจักรพรรดิหมิงตี้ ซึ่งทรงฝันเห็นบุรุษทองคำลอยอยู่เหนือพระราชวัง จึงทรงมีพระราชโองการให้คณะทูตออกเดินทางไปยัง "โลกตะวันตก" (ซึ่งหมายถึงอินเดียในสมัยนั้น) เพื่อสืบเสาะหาพระธรรมคำสอน คณะทูตได้เดินทางกลับมาในอีกสามปีต่อมา พร้อมด้วยพระภิกษุชาวอินเดียผู้ทรงคุณธรรมสองรูป คือพระเสมาเถิง (She Moteng) และพระจูฟาหลาน (Zhu Falan) ผู้ซึ่งอัญเชิญพระสูตรและพระพุทธรูปมายังลั่วหยางบนหลังม้าขาวคู่หนึ่ง ด้วยความซาบซึ้งในพระธรรมและม้าขาวที่นำพามา จักรพรรดิหมิงตี้จึงทรงมีพระบัญชาให้สร้างวัดแห่งนี้ขึ้นและตั้งชื่อว่า "วัดม้าขาว" เพื่อเป็นเกียรติแก่พระภิกษุและม้าขาวเหล่านั้น
พระเสมาเถิงและพระจูฟาหลานได้พำนักอยู่ที่วัดแห่งนี้และมีบทบาทสำคัญในการแปลพระคัมภีร์พุทธศาสนาเป็นภาษาจีน ซึ่งถือเป็นการวางรากฐานอันมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศจีน สุสานของพระภิกษุทั้งสองรูปนี้ยังคงตั้งอยู่ในบริเวณลานวัดแรกเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของท่าน
ตลอดระยะเวลากว่า 1,900 ปี วัดม้าขาวได้ผ่านการบูรณะและปรับปรุงมาหลายครั้ง แม้ว่าโครงสร้างดั้งเดิมของวัดจะถูกแทนที่ไปตามกาลเวลา แต่ความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศาสนาก็ยังคงอยู่ สภาพของวัดที่เห็นในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการบูรณะครั้งสำคัญในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ. 1368-1644) และราชวงศ์ชิง (ค.ศ. 1644-1911) โดยมีการบูรณะครั้งสำคัญล่าสุดเกิดขึ้นในปีคริสตศักราช 1973 (พ.ศ. 2516) หลังจากช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม
นอกจากนี้ ยังมีบุคคลสำคัญทางพุทธศาสนาอีกท่านหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวัดม้าขาวคือ พระถังซัมจั๋ง หรือ พระเสวียนจ้าง (Xuanzang) ผู้โด่งดังจากการเดินทางไปยังอินเดียเพื่ออัญเชิญพระไตรปิฎกกลับมายังจีนในอีกกว่า 500 ปีต่อมาหลังจากที่วัดม้าขาวก่อตั้งขึ้น เมื่อท่านเดินทางกลับมายังจีน ท่านได้เริ่มต้นการเดินทางจากที่นี่และภายหลังยังได้ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสของวัดม้าขาวอีกด้วย ซึ่งตอกย้ำถึงสถานะอันเป็นศูนย์กลางของวัดแห่งนี้ในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
ตำนานและความสำคัญ
วัดม้าขาวมีความสำคัญอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจีน ไม่เพียงแต่เป็นวัดพุทธแห่งแรกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเริ่มต้นการเผยแผ่พระพุทธศาสนาจากอินเดียมาสู่จีนอย่างเป็นทางการ เรื่องราวการก่อตั้งวัดที่เชื่อมโยงกับความฝันของจักรพรรดิหมิงตี้และการเดินทางของพระภิกษุสองรูปบนหลังม้าขาว ได้กลายเป็นตำนานที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมา ซึ่งสะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างความเชื่อพื้นถิ่นกับแนวคิดใหม่จากต่างแดน
ตำนานและเรื่องเล่า
ตำนานเล่าว่าจักรพรรดิหมิงตี้ทรงมีพระสุบินนิมิตเห็น "บุรุษทองคำ" ลอยอยู่เหนือพระราชวัง ซึ่งนักวิชาการในราชสำนักได้ถวายคำแนะนำว่านี่อาจเป็น "พระพุทธเจ้า" ผู้ศักดิ์สิทธิ์จากดินแดนทางตะวันตก ความฝันนี้ได้เป็นแรงบันดาลใจให้พระองค์ส่งคณะทูตออกไปแสวงหาพระธรรม นำไปสู่การพบกับพระเสมาเถิงและพระจูฟาหลาน พร้อมด้วยพระไตรปิฎกและพระพุทธรูปที่บรรทุกมาบนหลังม้าขาว การสร้างวัดม้าขาวขึ้นเพื่อเป็นที่พำนักของพระภิกษุและเป็นศูนย์กลางการแปลพระคัมภีร์ จึงเป็นหมุดหมายสำคัญที่เปิดประตูสู่ยุคทองของพระพุทธศาสนาในจีน
ความสำคัญของวัดยังไม่หยุดอยู่เพียงแค่นั้น วัดม้าขาวยังเป็นสถานที่ที่พระไตรปิฎกฉบับภาษาจีนเล่มแรกถูกแปลขึ้น เรื่องราวเหล่านี้ทำให้วัดม้าขาวไม่เป็นเพียงสถานที่ทางศาสนา แต่ยังเป็นแหล่งกำเนิดภูมิปัญญาและวัฒนธรรมที่ล้ำค่า ทำให้พุทธศาสนาหยั่งรากลึกและเจริญรุ่งเรืองในจีนมาจนถึงปัจจุบัน
สถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมเชิงลึก
โครงสร้างทางสถาปัตยกรรมของวัดม้าขาวสะท้อนถึงรูปแบบวัดจีนโบราณที่สืบทอดกันมา โดยอาคารหลักต่างๆ จะเรียงรายอยู่ตามแกนกลางที่หันหน้าไปทางทิศใต้ ซึ่งประกอบด้วย วิหารท้าวจตุโลกบาล (Heavenly King Hall), วิหารพระใหญ่ (Great Buddha Hall), วิหารมหาโพธิ์ (Hall of Mahavira), วิหารเจี๋ยอิน (Jieyin Hall หรือ Hall of Guidance) และศาลาผีลู่ (Pilu Pavilion) แต่ละวิหารประดับประดาด้วยงานแกะสลักไม้ที่วิจิตรงดงาม ภาพจิตรกรรมฝาผนัง และรูปปั้นพระพุทธรูปที่แสดงถึงความประณีตของศิลปะจีน ไม่มีข้อมูลขนาดความสูงหรือความกว้างของอาคารแต่ละหลังเป็นเมตร
แม้ว่าอาคารส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะเป็นผลจากการบูรณะในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง แต่ก็ยังคงรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะวิหารมหาโพธิ์ (Hall of Mahavira) ที่โดดเด่นด้วยหลังคาแกะสลักลวดลายดอกบัวและผนังที่ประดับด้วยรูปปั้นพระพุทธรูปไม้ขนาดเล็กนับพันองค์ แสดงถึงความศรัทธาและความอุตสาหะของผู้สร้าง การตกแต่งอันวิจิตรเหล่านี้ไม่เพียงเป็นงานศิลปะที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นเครื่องสะท้อนถึงความรุ่งเรืองทางพุทธศิลป์ของจีน
บริเวณด้านหน้าของวัดยังมีซุ้มประตูหิน (Paifang) ที่สร้างขึ้นใหม่ รวมถึงรูปปั้นม้าหินสองตัวซึ่งเชื่อกันว่ามีมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) ทำหน้าที่เฝ้าประตูทางเข้า สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มความสง่างามให้กับวัด แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องราวและตำนานที่เชื่อมโยงกับ "ม้าขาว" ที่เป็นสัญลักษณ์ของวัด
นอกเหนือจากอาคารแบบจีนดั้งเดิมแล้ว วัดม้าขาวยังมี "โซนนานาชาติ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพุทธที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ วัดไทย วัดพม่า และวัดอินเดีย ซึ่งสร้างขึ้นจากโครงการความร่วมมือทางวัฒนธรรมในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา โซนนี้แสดงให้เห็นถึงความหลากหลายของพุทธศาสนานิกายต่างๆ และการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่ยังคงดำเนินอยู่ ทำให้วัดม้าขาวเป็นศูนย์รวมของพุทธศาสนาจากทั่วโลกอย่างแท้จริง สะท้อนถึงการเติบโตและพัฒนาของพุทธศาสนาที่ข้ามผ่านพรมแดน
จุดเด่นและสิ่งที่น่าสนใจ
วัดม้าขาวเต็มไปด้วยจุดเด่นที่น่าสนใจและเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่รอคอยการค้นพบ นักท่องเที่ยวสามารถใช้เวลาอย่างน้อย 2 ชั่วโมงในการสำรวจบริเวณวัดอันกว้างใหญ่และดื่มด่ำกับบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์
วิหารท้าวจตุโลกบาล (Hall of Heavenly Kings)
เมื่อย่างเท้าผ่านซุ้มประตูใหญ่ ท่านจะพบกับวิหารท้าวจตุโลกบาลเป็นอันดับแรก วิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระศรีอริยเมตไตรยในรูปปางอ้วนท้วนสมบูรณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในนาม "พระสังกัจจายน์" (Milefo) อันเป็นสัญลักษณ์ของความสุขและความมั่งคั่ง ตามหลักพุทธศาสนานิกายมหายานที่แพร่หลายในจีน
นอกจากนี้ ด้านหลังของพระสังกัจจายน์คือพระพุทธรูปพระเวทโพธิสัตว์ (Skanda Bodhisattva) ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์ธรรมะ และยังมีรูปปั้นของท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ที่ตั้งตระหง่านอยู่สองข้างทางซ้ายขวา แต่ละองค์แต่งกายด้วยชุดเกราะอันวิจิตรตระการตา พร้อมด้วยศาสตราวุธในมือ แสดงถึงการปกป้องคุ้มครองพระพุทธศาสนาและผู้ปฏิบัติธรรม วิหารแห่งนี้จึงเป็นจุดแรกที่ต้อนรับผู้มาเยือนด้วยความศักดิ์สิทธิ์และพลังแห่งการปกปักรักษา
วิหารพระใหญ่ (Great Buddha Hall)
ถัดจากวิหารท้าวจตุโลกบาลคือวิหารพระใหญ่ ซึ่งเป็นวิหารหลักที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นพระศากยมุนีพุทธเจ้า ผู้เป็นศาสดาของพระพุทธศาสนา พระพุทธรูปประทับอยู่ในปางสมาธิอันสงบนิ่ง แผ่เมตตาและพลังแห่งความสงบออกมาสู่ผู้มาเยือน
ภายในวิหารได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่เปี่ยมด้วยความขลัง เหมาะแก่การนั่งทำสมาธิและระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ผู้มาเยือนมักจะจุดธูปบูชาและถวายเครื่องสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล เป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนในดินแดนแห่งนี้
วิหารมหาโพธิ์ (Hall of Mahavira)
วิหารมหาโพธิ์เป็นหนึ่งในวิหารที่โดดเด่นและงดงามที่สุดในวัดม้าขาว วิหารแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ รวมถึงพระศากยมุนี พระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยพระสาวกและพระโพธิสัตว์ รูปปั้นเหล่านี้สร้างขึ้นอย่างประณีต แสดงถึงความเลื่อมใสศรัทธาอันแรงกล้าของพุทธศาสนิกชน
สิ่งที่น่าทึ่งคือการตกแต่งภายในวิหาร หลังคาแกะสลักเป็นลวดลายดอกบัวอันงดงาม และผนังประดับประดาด้วยรูปปั้นพระพุทธรูปไม้ขนาดเล็กนับพันองค์ ซึ่งสร้างขึ้นด้วยความวิจิตรบรรจงและเป็นเอกลักษณ์ทางศิลปะอย่างยิ่ง ผู้มาเยือนจะรู้สึกทึ่งในความละเอียดอ่อนของงานฝีมือเหล่านี้ และสัมผัสได้ถึงความศักดิ์สิทธิ์ที่อบอวลอยู่ทั่วทุกมุมของวิหาร เป็นเครื่องยืนยันถึงความรุ่งเรืองของพุทธศิลป์ในอดีต
วิหารเจี๋ยอิน (Jieyin Hall หรือ Hall of Guidance)
วิหารเจี๋ยอิน หรือ วิหารแห่งการนำทาง เป็นวิหารที่ประดิษฐานพระอมิตาภพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าแห่งดินแดนสุขาวดีในพุทธศาสนานิกายมหายาน พระองค์ทรงเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงในหมู่ชาวพุทธจีน โดยเชื่อกันว่าผู้ที่ระลึกถึงพระนามของพระองค์จะได้รับการนำทางไปสู่สุขาวดี
วิหารแห่งนี้มักเป็นสถานที่ที่ผู้คนมาอธิษฐานขอพรเพื่อชีวิตหลังความตายที่ดีงาม และขอให้บุคคลอันเป็นที่รักได้ไปสู่ภพภูมิที่สงบสุข บรรยากาศภายในวิหารจึงเต็มไปด้วยความหวังและความศรัทธาในเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิดและหนทางแห่งการหลุดพ้น
ชานพักเย็นและใส (Cool and Clear Terrace)
ชานพักเย็นและใส เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ภายในวัด เป็นที่ซึ่งพระเสมาเถิงและพระจูฟาหลาน สองพระภิกษุชาวอินเดียผู้บุกเบิก ได้ใช้เป็นที่แปลพระสูตรจากภาษาบาลี/สันสกฤตเป็นภาษาจีน นี่คือจุดกำเนิดของการเผยแผ่พระธรรมคำสอนและวรรณคดีพุทธศาสนาสู่แผ่นดินจีน
การยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ทำให้ผู้มาเยือนจินตนาการถึงภาพพระภิกษุทั้งสองที่ทำงานอย่างหนักเพื่อถ่ายทอดหลักธรรมอันลึกซึ้งออกสู่โลกตะวันออก ชานพักแห่งนี้จึงเป็นเสมือนศูนย์กลางแห่งปัญญาและรากฐานของการศึกษาพระพุทธศาสนาในจีน เป็นจุดที่พระธรรมคำสอนเริ่มหยั่งรากลึกในดินแดนใหม่นี้อย่างแท้จริง
เจดีย์ฉีหยุน (Qiyun Pagoda)
ตั้งอยู่นอกประตูวัด เจดีย์ฉีหยุนเป็นเจดีย์อิฐสูง 13 ชั้นที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์จิน (ค.ศ. 1115-1134) และเป็นหนึ่งในอาคารที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ไว้ในเมืองลั่วหยาง แม้ไม่มีข้อมูลความสูงเป็นเมตรที่แน่นอนจากรายงาน แต่ความเก่าแก่และจำนวนชั้นบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ เจดีย์แห่งนี้โดดเด่นด้วยรูปทรงที่สง่างามและเป็นเอกลักษณ์ ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งความมั่นคงและความศรัทธาอันยาวนาน
ตำนานเล่าว่า หากปรบมือห่างจากเจดีย์ประมาณ 20 เมตร จะได้ยินเสียงสะท้อนคล้ายเสียงกบร้อง ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างความประหลาดใจและสนุกสนานให้กับผู้มาเยือน เจดีย์ฉีหยุนไม่เพียงแต่เป็นสถาปัตยกรรมที่น่าทึ่ง แต่ยังเป็นประจักษ์พยานถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของพุทธศาสนาในภูมิภาคนี้
โซนนานาชาติ (International Zone)
ทางตะวันตกของบริเวณวัดดั้งเดิม วัดม้าขาวได้ขยายพื้นที่เพื่อรองรับ "โซนนานาชาติ" ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดพุทธที่สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ได้แก่ วัดไทย วัดพม่า และวัดอินเดีย วัดเหล่านี้เป็นผลมาจากโครงการความร่วมมือทางวัฒนธรรมระหว่างจีนกับประเทศต่างๆ แสดงให้เห็นถึงการแลกเปลี่ยนทางพุทธศาสนาที่ยังคงดำเนินอยู่
การได้เดินชมวัดแต่ละแห่งในโซนนี้เป็นการเปิดประสบการณ์ที่หลากหลาย ผู้มาเยือนจะได้สัมผัสกับศิลปะและวัฒนธรรมพุทธศาสนาจากภูมิภาคต่างๆ ในเอเชียในที่เดียว ทำให้เห็นถึงความงดงามและความหลากหลายของพุทธธรรมที่แผ่ขยายไปทั่วโลก
ม้าหิน (Stone Horses)
บริเวณทางเข้าวัดม้าขาว ท่านจะพบกับรูปปั้นม้าหินคู่หนึ่งที่ยืนตระหง่าน รูปปั้นเหล่านี้มีอายุย้อนไปถึงสมัยราชวงศ์ซ่ง (ค.ศ. 960–1279) ม้าหินเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงประติมากรรมโบราณเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงตำนานการก่อตั้งวัด ซึ่งพระภิกษุชาวอินเดียได้อัญเชิญพระธรรมมาบนหลังม้าขาว
การได้เห็นม้าหินเหล่านี้ทำให้ผู้มาเยือนย้อนนึกถึงเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์และจินตนาการถึงการเดินทางอันยาวนานและยากลำบากของพระธรรมคำสอนที่มาถึงแผ่นดินจีน ม้าหินจึงเป็นเครื่องเตือนใจถึงจุดเริ่มต้นแห่งศรัทธาที่สำคัญยิ่งของพุทธศาสนาในจีน
ซุ้มประตูหิน (Stone Paifang)
ก่อนจะถึงประตูวัดหลัก ท่านจะเดินผ่านซุ้มประตูหินอันสง่างามที่สร้างขึ้นใหม่ ซุ้มประตูแบบจีนโบราณนี้เรียกว่า "ไผฟาง" (Paifang) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการต้อนรับและเป็นเครื่องหมายแสดงความเคารพต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เบื้องหน้าซุ้มประตูมักมีบ่อน้ำพุและสะพานหินสามแห่งที่ทอดข้ามผ่าน ไม่มีข้อมูลขนาดความสูงหรือความกว้างของซุ้มประตูหินเป็นเมตร
ซุ้มประตูหินแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นจุดถ่ายภาพที่สวยงาม แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการเข้าสู่ดินแดนแห่งความสงบและศรัทธา เป็นการเตรียมจิตใจของผู้มาเยือนก่อนที่จะก้าวเข้าสู่บริเวณวัดอันศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริง
ลูกท้ออายุยืนทองสัมฤทธิ์ (Bronze 'longevity peach')
ภายในวัดม้าขาว มีประติมากรรมลูกท้อทำจากทองสัมฤทธิ์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ "ลูกท้ออายุยืน" ผู้มาเยือนสามารถลูบสัมผัสลูกท้อนี้เพื่อขอพรให้มีโชคดีและอายุยืนยาวตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ
ประติมากรรมนี้เป็นอีกหนึ่งจุดที่สะท้อนถึงการผสมผสานระหว่างพุทธศาสนากับความเชื่อพื้นถิ่นของจีนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพและอายุยืนยาว เป็นโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะได้มีส่วนร่วมกับประเพณีและวัฒนธรรมท้องถิ่น
หอศิลป์ซือหยวน (Shiyuan Art Gallery)
ที่ส่วนหลังของบริเวณวัด มีหอศิลป์ซือหยวน ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการศิลปะหมุนเวียน หอศิลป์แห่งนี้เป็นพื้นที่ที่นำเสนอศิลปะพุทธศาสนาและศิลปะจีนร่วมสมัย ทำให้ผู้มาเยือนได้เรียนรู้และชื่นชมความงามทางศิลปะที่เชื่อมโยงกับพุทธธรรม
การมาเยือนหอศิลป์แห่งนี้เป็นการเติมเต็มประสบการณ์ทางวัฒนธรรม นอกเหนือจากการได้สัมผัสประวัติศาสตร์และศาสนาโดยตรง ผู้ที่สนใจศิลปะจะพบว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมแรงบันดาลใจและความคิดสร้างสรรค์ที่น่าสนใจ
โรงน้ำชา (Teahouse)
สำหรับผู้ที่ต้องการพักผ่อนจากความเหนื่อยล้าจากการสำรวจวัด ภายในวัดมีโรงน้ำชาที่ให้บรรยากาศอันเงียบสงบและเป็นกันเอง ที่นี่ผู้มาเยือนสามารถจิบชาจีนอ่อนๆ ที่ให้บริการฟรี และพักผ่อนหย่อนใจในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย
โรงน้ำชาเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับการนั่งไตร่ตรองถึงสิ่งที่ได้พบเห็นมาตลอดการเยี่ยมชมวัด หรือเพียงแค่พักผ่อนจากแสงแดดและฝูงชน เป็นการปิดท้ายการเดินทางที่สมบูรณ์แบบด้วยความสงบและสุนทรียะ
การเดินทางสู่ "วัดม้าขาว" ณ เมืองลั่วหยาง ไม่ใช่เพียงแค่การเยี่ยมชมโบราณสถานเก่าแก่ แต่เป็นการผจญภัยอันล้ำค่าสู่จุดกำเนิดแห่งพุทธศาสนาบนแผ่นดินจีน ที่นี่คือสถานที่ซึ่งศรัทธาได้หยั่งรากลึก ก่อกำเนิดเป็นอู่อารยธรรมทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ที่หล่อหลอมวัฒนธรรมจีนมายาวนานกว่าสองสหัสวรรษ ทุกย่างก้าวภายในวัดแห่งนี้คือการเดินผ่านหน้าประวัติศาสตร์อันรุ่งโรจน์ สัมผัสได้ถึงพลังแห่งความสงบเย็นและความศรัทธาที่ยังคงอบอวลอยู่ท่ามกลางต้นไม้โบราณและสถาปัตยกรรมอันงดงาม
จากตำนานความฝันของจักรพรรดิหมิงตี้ สู่การเดินทางอันแสนไกลของพระภิกษุสองรูปที่นำพระธรรมมาบนหลังม้าขาว วัดม้าขาวได้กลายเป็นประจักษ์พยานแห่งการแสวงหาปัญญาอันไม่หยุดยั้ง การมาเยือนวิหารแต่ละแห่ง, การชื่นชมงานแกะสลักอันวิจิตร, หรือแม้แต่การยืนอยู่หน้าเจดีย์ฉีหยุนอันเก่าแก่ ล้วนเป็นการเชื่อมโยงกับเรื่องราวและบุคคลสำคัญที่ได้สร้างรากฐานอันมั่นคงให้แก่พระพุทธศาสนาในจีน ยิ่งไปกว่านั้น โซนวัดนานาชาติยังสะท้อนถึงการเติบโตและการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมพุทธศาสนาที่ยังคงดำเนินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง
วัดม้าขาวจึงเป็นมากกว่าแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ แต่เป็นสถานที่แห่งความอัศจรรย์ที่เชื้อเชิญให้เราได้ใคร่ครวญถึงพลังแห่งศรัทธา ความเพียรพยายาม และการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่ได้สร้างสรรค์สิ่งมหัศจรรย์บนโลกใบนี้ การได้มาเยือนวัดม้าขาวคือการได้รับแรงบันดาลใจ และกลับไปด้วยความรู้สึกที่เปี่ยมล้นด้วยความซาบซึ้งในมรดกอันล้ำค่าแห่งพุทธธรรม ที่ยังคงส่องสว่างนำทางจิตใจของผู้คนมาจนถึงทุกวันนี้ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำและควรค่าแก่การบอกเล่าตลอดไป
.
-------------------------
ที่มา
-
รวบรวมข้อมูลและรูป
-------------------------
ดูเพิ่มเติมในเรื่องที่เกี่ยวข้องได้ที่
รวมเรื่องราวการท่องเที่ยว iok2u
-----------------------
ชมอัลปั้มภาพเพิ่มเติมที่

.
.
xxx
yyy
---------------------
