iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
เศรษฐศาสตร์ บทที่ 6 โครงสร้างตลาด
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 6 โครงสร้างตลาด
6.1 ประเภทของโครงสร้างตลาด
โครงสร้างตลาด (Market Structure) หมายถึง ลักษณะของตลาดที่บ่งบอกถึงระดับการแข่งขันระหว่างผู้ขายในตลาดนั้นๆ หมายถึง รูปแบบการจัดการทางเศรษฐกิจที่ระบุวิธีการที่บริษัทในตลาดสามารถแข่งขันกันได้ โดยแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่
- การแข่งขันสมบูรณ์ (Perfect Competition) ตลาดที่มีจำนวนผู้ซื้อและผู้ขายจำนวนมาก สินค้าในตลาดมีลักษณะเหมือนกัน ทำให้ไม่มีบริษัทใดสามารถกำหนดราคาตลาดได้ แต่ละบริษัทเป็นผู้รับราคาจากตลาด (Price Taker) และไม่สามารถควบคุมอุปสงค์หรืออุปทานของตลาดได้ ตลาดที่ผู้ซื้อผู้ขายมีข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอย่างสมบูรณ์ ไม่มีผู้ขายรายใดมีอำนาจเหนือตลาดในการกำหนดราคา
- ผูกขาด (Monopoly) ตลาดที่มีผู้ขายเพียงรายเดียวที่สามารถกำหนดราคาและการผลิตสินค้าได้ บริษัทที่มีอำนาจผูกขาดสามารถกำหนดราคาสูงและลดปริมาณการผลิตเพื่อเพิ่มกำไรสูงสุด เนื่องจากไม่มีการแข่งขันจากบริษัทอื่น ไม่มีสินค้าทดแทนใกล้เคียง ผู้ผูกขาดมีอำนาจในการกำหนดราคาและปริมาณผลผลิต
- การแข่งขันแบบผูกขาด (Monopolistic Competition) ตลาดที่มีผู้ขายจำนวนมาก ขายสินค้าต่างชนิดกัน แต่มีความแตกต่างกันเล็กน้อย (Differentiated Products) ผู้ขายแต่ละรายมีอำนาจในการกำหนดราคาสินค้าของตนเองในระดับหนึ่ง ตลาดที่มีผู้ขายหลายรายแต่ละรายผลิตสินค้าแตกต่างกันเล็กน้อย เช่น สินค้าที่มีคุณลักษณะพิเศษ แบรนด์ หรือบริการที่แตกต่างกัน บริษัทเหล่านี้มีความสามารถในการกำหนดราคาบางส่วน แต่ยังคงมีการแข่งขันที่สูง
- ผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) ตลาดที่มีผู้ขายจำนวนน้อยราย ผู้ขายแต่ละรายมีขนาดใหญ่และมีอิทธิพลต่อตลาด การตัดสินใจของผู้ขายรายหนึ่งจะมีผลกระทบต่อผู้ขายรายอื่นๆ ตลาดที่มีผู้ขายเพียงไม่กี่รายที่ครองตลาด ผู้ขายเหล่านี้มักจะมีอำนาจกำหนดราคาและการผลิต เนื่องจากการตัดสินใจของบริษัทหนึ่งสามารถมีผลกระทบต่อตลาดทั้งหมด บริษัทในตลาดผู้ขายน้อยรายมักจะมีความร่วมมือหรือการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ระหว่างกัน
6.2 ลักษณะและพฤติกรรมของผู้ผลิตในแต่ละโครงสร้างตลาด
- ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ผู้ผลิตในตลาดนี้จะเป็นผู้รับราคา (Price Taker) พวกเขาไม่มีอำนาจในการกำหนดราคาและจะผลิตในระดับที่ต้นทุนส่วนเพิ่ม (Marginal Cost) เท่ากับรายได้ส่วนเพิ่ม (Marginal Revenue) การเข้าหรือออกจากตลาดสามารถทำได้ง่ายเนื่องจากไม่มีอุปสรรคทางเศรษฐกิจหรือกฎหมายที่สำคัญ
- ตลาดผูกขาด ผู้ผลิตในตลาดผูกขาดมีอำนาจในการกำหนดราคาและการผลิต พวกเขามักจะผลิตในระดับที่ทำให้กำไรสูงสุด โดยที่ต้นทุนส่วนเพิ่มเท่ากับรายได้ส่วนเพิ่ม ผู้ผลิตเหล่านี้มักจะสร้างอุปสรรคในการเข้าตลาดเพื่อป้องกันการแข่งขันจากผู้ผลิตรายใหม่
- ตลาดแข่งขันแบบผูกขาด ผู้ผลิตจะมีอิสระในการกำหนดราคาของตนเอง แต่ต้องเผชิญกับการแข่งขันจากผู้ผลิตรายอื่นที่ผลิตสินค้าที่คล้ายคลึงกัน พวกเขามักจะใช้การตลาดและการสร้างความแตกต่างของสินค้าเพื่อดึงดูดลูกค้า
- ตลาดผู้ขายน้อยราย ผู้ผลิตในตลาดนี้มักจะพิจารณาการตัดสินใจของคู่แข่งก่อนที่จะกำหนดราคาและการผลิต การแข่งขันในตลาดผู้ขายน้อยรายมักจะเป็นการต่อสู้ด้านราคาและการบริการ รวมถึงการสร้างความร่วมมือกันในบางครั้ง เช่น การกำหนดราคาตามข้อตกลงร่วม (Price Fixing)
6.3 ผลกระทบของโครงสร้างตลาดต่อผู้บริโภคและสังคม
- ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์จากราคาที่ต่ำและคุณภาพสินค้าที่สูง เนื่องจากมีการแข่งขันสูงและไม่มีผู้ผลิตใดสามารถควบคุมราคาได้ นอกจากนี้ ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ยังส่งผลให้เกิดการจัดสรรทรัพยากรที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในสังคม
- ตลาดผูกขาด ผู้บริโภคมักจะต้องจ่ายราคาที่สูงกว่าตลาดแข่งขัน เนื่องจากผู้ผลิตผูกขาดสามารถกำหนดราคาได้ ผลกระทบต่อสังคมมักจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่มีประสิทธิภาพ เพราะการผลิตจะน้อยกว่าระดับที่สังคมต้องการ
- ตลาดแข่งขันแบบผูกขาด ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าที่หลากหลาย แต่ราคามักจะสูงกว่าตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ผลกระทบต่อสังคมมักจะเกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรเพื่อสร้างความแตกต่างของสินค้า ซึ่งอาจจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แท้จริงต่อผู้บริโภค
- ตลาดผู้ขายน้อยราย ผู้บริโภคอาจจะเจอราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากการควบคุมตลาดโดยผู้ผลิตรายใหญ่ นอกจากนี้ การแข่งขันเชิงกลยุทธ์และการสมรู้ร่วมคิดในการกำหนดราคาสามารถทำให้ราคาสินค้าไม่เป็นธรรม ผลกระทบต่อสังคมมักจะเป็นการจัดสรรทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียมกัน
6.4 ตลาดแข่งขันสมบูรณ์
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ถือเป็นโครงสร้างตลาดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการจัดสรรทรัพยากร เนื่องจากการแข่งขันในระดับสูงทำให้สินค้าถูกผลิตในราคาที่ต่ำที่สุดและคุณภาพสูงที่สุด ในตลาดนี้ ผู้บริโภคมีอำนาจในการตัดสินใจซื้อสินค้ามากขึ้น เนื่องจากมีตัวเลือกจำนวนมากและราคาเป็นธรรม ผู้ผลิตต้องรักษาประสิทธิภาพในการผลิตและตอบสนองความต้องการของตลาดอย่างรวดเร็ว
ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ เป็นรูปแบบตลาดในอุดมคติ ที่มีประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากรสูงสุด อย่างไรก็ตาม ในโลกแห่งความเป็นจริง ตลาดแข่งขันสมบูรณ์หาได้ยาก
6.5 ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์
ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ ครอบคลุมตลาดที่มีลักษณะของการผูกขาด การแข่งขันแบบผูกขาด และผู้ขายน้อยราย ในโครงสร้างเหล่านี้ การแข่งขันจะลดลงเนื่องจากอำนาจในการกำหนดราคาของผู้ผลิตเพิ่มขึ้น ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์มักจะมีผลกระทบทางลบต่อผู้บริโภค เช่น ราคาสูงเกินไป การเข้าถึงสินค้าที่น้อยลง และการสร้างอุปสรรคในการเข้าตลาด
ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ เป็นรูปแบบตลาดที่พบเห็นได้ทั่วไปในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งผู้ขายมีอำนาจในการกำหนดราคาในระดับหนึ่ง ทำให้การจัดสรรทรัพยากรอาจไม่มีประสิทธิภาพเท่าตลาดแข่งขันสมบูรณ์
6.6 ตลาดผูกขาดและการผูกขาดโดยธรรมชาติ
ตลาดผูกขาดเกิดขึ้นเมื่อมีผู้ขายเพียงรายเดียวในตลาด และไม่มีคู่แข่งใด ๆ การผูกขาดโดยธรรมชาติ (Natural Monopoly) เกิดขึ้นเมื่อบริษัทสามารถผลิตสินค้าได้ในปริมาณมากและมีต้นทุนต่อหน่วยที่ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับการที่มีผู้ผลิตหลายรายในตลาด ตัวอย่างเช่น การผูกขาดในอุตสาหกรรมสาธารณูปโภค เช่น ไฟฟ้าและน้ำประปา ซึ่งการมีผู้ให้บริการรายเดียวสามารถลดต้นทุนการดำเนินงานได้มากที่สุด
ตลาดผูกขาดและการผูกขาด โดยธรรมชาติมักจะถูกควบคุมโดยรัฐบาล เพื่อป้องกันการเอาเปรียบผู้บริโภค และเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อสังคมในระยะยาว
สรุป
บทนี้ได้อธิบายถึงโครงสร้างตลาดประเภทต่างๆ ลักษณะและพฤติกรรมของผู้ผลิตในแต่ละโครงสร้างตลาด ผลกระทบของโครงสร้างตลาดต่อผู้บริโภคและสังคม ตลาดแข่งขันสมบูรณ์ ตลาดแข่งขันไม่สมบูรณ์ และตลาดผูกขาดและการผูกขาดโดยธรรมชาติ ความเข้าใจในเรื่องโครงสร้างตลาดเป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้ผลิตและผลกระทบต่อผู้บริโภคและสังคม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ การกำหนดนโยบายภาครัฐ และการวิเคราะห์ปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------
เศรษฐศาสตร์ บทที่ 7 เศรษฐศาสตร์มหภาคเบื้องต้น
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 7: เศรษฐศาสตร์มหภาคเบื้องต้น
7.1 ความหมายและความสำคัญของเศรษฐศาสตร์มหภาค
เศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) เป็น สาขาของเศรษฐศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจในระดับใหญ่ ศึกษาเกี่ยวกับเศรษฐกิจในภาพรวม เศรษฐศาสตร์มหภาคมีความสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ และการจัดการกับปัญหาเศรษฐกิจในระดับประเทศ เช่น การว่างงานและเงินเฟ้อ โดยพิจารณาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั้งหมด มุ่งเน้นการวิเคราะห์ปัจจัยและตัวแปรทางเศรษฐกิจในระดับประเทศหรือภูมิภาค เช่น ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP), อัตราเงินเฟ้อ, อัตราการว่างงาน, การเติบโตทางเศรษฐกิจ, การค้าระหว่างประเทศ และนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล
ความสำคัญของเศรษฐศาสตร์มหภาค:
7.2 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP) เป็นตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในการวัดขนาดของเศรษฐกิจ มูลค่าของ GDP ประกอบด้วยมูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตภายในประเทศในช่วงเวลาหนึ่ง โดยทั่วไปจะเป็นหนึ่งปี GDP สามารถวัดได้สองวิธีหลักคือ GDP ตามราคาตลาด (Nominal GDP) และ GDP ตามราคาคงที่ (Real GDP) ซึ่งวิธีหลังจะปรับค่าตามการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาในเศรษฐกิจ ถือเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญที่สุดในการวัดขนาดและการเติบโตของเศรษฐกิจของประเทศ
GDP เป็นตัวชี้วัดที่มีความสำคัญ เพราะสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของเศรษฐกิจและความสามารถในการผลิตของประเทศ หาก GDP เพิ่มขึ้น แสดงว่าเศรษฐกิจเติบโต ในทางกลับกัน หาก GDP ลดลง อาจหมายถึงเศรษฐกิจถดถอย
7.3 ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาค: GDP อัตราเงินเฟ้อ อัตราการว่างงาน
GDP: ดังที่กล่าวไปแล้ว GDP เป็นตัวชี้วัดขนาดและการเติบโตของเศรษฐกิจ การเติบโตของ GDP ที่สูงบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ในขณะที่การเติบโตของ GDP ที่ต่ำหรือติดลบบ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจที่อ่อนแอ เป็นตัวชี้วัดขนาดของเศรษฐกิจที่สำคัญ ซึ่งช่วยให้สามารถประเมินการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้
อัตราเงินเฟ้อ (Inflation Rate): คือ อัตราการเพิ่มขึ้นของระดับราคาสินค้าและบริการโดยทั่วไปในช่วงเวลาหนึ่งๆ เงินเฟ้อที่สูงเกินไปอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจ เช่น ลดทอนกำลังซื้อของประชาชน และทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงของระดับราคาสินค้าและบริการในเศรษฐกิจ การวัดอัตราเงินเฟ้อสามารถทำได้โดยการใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) หรือดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) อัตราเงินเฟ้อที่สูงเกินไปอาจลดกำลังซื้อของประชาชนและทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อที่ต่ำหรือการลดลงของระดับราคา (Deflation) อาจทำให้เศรษฐกิจชะลอตัว
อัตราการว่างงาน (Unemployment Rate): คือ สัดส่วนของผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานที่ยังไม่มีงานทำ อัตราการว่างงานที่สูงบ่งบอกถึงปัญหาในตลาดแรงงาน และอาจส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและเสถียรภาพทางสังคม เป็นสัดส่วนของประชากรที่ต้องการทำงานแต่ไม่สามารถหางานทำได้ อัตราการว่างงานที่สูงบ่งชี้ถึงการขาดงานและปัญหาในการจัดสรรทรัพยากรของเศรษฐกิจ ในขณะที่อัตราการว่างงานที่ต่ำแสดงถึงเศรษฐกิจที่มีความสามารถในการจัดหางานให้กับประชากร
7.4 วัฏจักรธุรกิจ: ภาวะเศรษฐกิจเฟื่องฟู ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการฟื้นตัว
วัฏจักรธุรกิจ (Business Cycle) หมายถึงการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจที่ประกอบไปด้วยช่วงเวลาแห่งความเจริญเติบโตและถดถอย เป็นการขึ้นและลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาว ประกอบด้วย 4 ระยะหลัก:
ภาวะเศรษฐกิจเฟื่องฟู (Expansion) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโต การผลิตและการจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้และผลกำไรของธุรกิจสูงขึ้น เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างรวดเร็ว GDP เพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานลดลง และอัตราเงินเฟ้ออาจเริ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคและธุรกิจมีความมั่นใจในเศรษฐกิจและมีการใช้จ่ายและลงทุนเพิ่มขึ้น
จุดสูงสุด (Peak) เป็นจุดที่เศรษฐกิจถึงระดับสูงสุด ก่อนที่จะเริ่มชะลอตัวลง
ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว การผลิตและการจ้างงานลดลง รายได้และผลกำไรของธุรกิจลดลง เป็นช่วงที่เศรษฐกิจหดตัว GDP ลดลง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และอัตราเงินเฟ้ออาจลดลง การใช้จ่ายของผู้บริโภคและการลงทุนของธุรกิจลดลง เนื่องจากความไม่มั่นคงในเศรษฐกิจ
จุดต่ำสุด (Trough) เป็นจุดที่เศรษฐกิจถึงระดับต่ำสุด ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัวขึ้น เป็นจุดที่เศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำสุดของวัฏจักรธุรกิจ ก่อนที่จะเริ่มฟื้นตัว GDP หยุดลดลงและเริ่มเพิ่มขึ้น
การฟื้นตัว (Recovery) เป็นช่วงที่เศรษฐกิจเริ่มกลับมาเติบโต GDP เริ่มเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานลดลง และอัตราเงินเฟ้ออาจเริ่มเพิ่มขึ้น เศรษฐกิจเข้าสู่ระยะฟื้นตัวจากภาวะถดถอย
7.5 การว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ
การว่างงานและอัตราเงินเฟ้อเป็นปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกัน อัตราการว่างงานที่สูงมักจะเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจถดถอย เนื่องจากธุรกิจต้องลดการผลิตและปลดพนักงานเพื่อลดต้นทุน ในทางกลับกัน อัตราเงินเฟ้อที่สูงมักจะเกิดขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู เนื่องจากความต้องการสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นเร็วเกินไป จนทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น การว่างงานและอัตราเงินเฟ้อเป็นปัญหาสำคัญทางเศรษฐกิจมหภาคที่รัฐบาลต้องให้ความสำคัญ
การว่างงาน: ส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชนและเสถียรภาพทางสังคม รัฐบาลอาจใช้นโยบายการคลังและนโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นการจ้างงาน
อัตราเงินเฟ้อ: ทำให้มูลค่าของเงินลดลง และส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจทางเศรษฐกิจของประชาชนและธุรกิจ รัฐบาลและธนาคารกลางอาจใช้นโยบายการเงินเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
เศรษฐศาสตร์มหภาค พยายามหาความสมดุลระหว่างการลดอัตราการว่างงานและการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "เส้นโค้งฟิลลิปส์" (Phillips Curve) ซึ่งแสดงความสัมพันธ์ระหว่างการว่างงานและเงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ในระยะยาว ความสัมพันธ์นี้อาจไม่คงที่ เนื่องจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความคาดหวังของเงินเฟ้อมีผลกระทบ
7.6 วัฏจักรเศรษฐกิจและนโยบายเศรษฐกิจมหภาค
วัฏจักรเศรษฐกิจ มีความสำคัญในการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจมหภาค รัฐบาลและธนาคารกลางสามารถใช้นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) และนโยบายการเงิน (Monetary Policy) เพื่อปรับสมดุลเศรษฐกิจ รัฐบาลและธนาคารกลางมีบทบาทสำคัญในการบริหารจัดการวัฏจักรเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ โดยใช้นโยบายเศรษฐกิจมหภาค 2 ประเภทหลัก:
นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) รัฐบาลสามารถใช้การเพิ่มหรือลดการใช้จ่ายของรัฐบาลและการปรับเปลี่ยนอัตราภาษีเพื่อกระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของรัฐบาล ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย รัฐบาลอาจลดภาษีหรือเพิ่มการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู รัฐบาลอาจเพิ่มภาษีหรือลดการใช้จ่ายเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
นโยบายการเงิน (Monetary Policy) ธนาคารกลางสามารถปรับอัตราดอกเบี้ยและควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจเพื่อควบคุมเงินเฟ้อและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจเกี่ยวข้องกับการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย ธนาคารกลางอาจลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการลงทุนและการบริโภค ในขณะที่ในช่วงเศรษฐกิจเฟื่องฟู ธนาคารกลางอาจเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ
การใช้มาตรการเหล่านี้ช่วยให้รัฐบาลสามารถจัดการกับวัฏจักรเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ลดการว่างงาน ควบคุมเงินเฟ้อ และส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
สรุป
บทนี้ได้ให้ภาพรวมเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์มหภาค ซึ่งเป็นสาขาที่ศึกษาเศรษฐกิจในภาพรวม เราได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของเศรษฐศาสตร์มหภาค ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ เช่น GDP อัตราเงินเฟ้อ และอัตราการว่างงาน รวมถึงวัฏจักรธุรกิจและนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ใช้ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจ ความเข้าใจในเรื่องเศรษฐศาสตร์มหภาคเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกคน เพราะเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อชีวิตของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการทำงาน รายได้ หรือการลงทุน การมีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์มหภาคจะช่วยให้เราเข้าใจสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน คาดการณ์แนวโน้มในอนาคต และตัดสินใจทางการเงินได้อย่างชาญฉลาดมากขึ้น
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------
เศรษฐศาสตร์ บทที่ 8 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 8 นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
8.1 ความหมายและความสำคัญของนโยบายการเงินและนโยบายการคลัง
- นโยบายการเงิน (Monetary Policy) และนโยบายการคลัง (Fiscal Policy) เป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางและเสถียรภาพของเศรษฐกิจ นโยบายการเงินเกี่ยวข้องกับการจัดการปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ย โดยมีธนาคารกลางเป็นผู้กำหนด ส่วนใหญ่นโยบายการเงินจะถูกใช้เพื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อและสนับสนุนการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ในขณะที่นโยบายการคลังเกี่ยวข้องกับการกำหนดการใช้จ่ายของรัฐบาลและการจัดเก็บภาษี โดยมีเป้าหมายเพื่อปรับสมดุลเศรษฐกิจและสนับสนุนการเจริญเติบโต
- นโยบายการเงิน (Monetary Policy) คือ มาตรการที่ธนาคารกลางใช้ในการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ และ/หรือ อัตราดอกเบี้ย เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การรักษาเสถียรภาพของราคา การส่งเสริมการจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
- นโยบายการคลัง (Fiscal Policy) คือ มาตรการที่รัฐบาลใช้ในการจัดเก็บรายได้และการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจมหภาค เช่น การกระตุ้นเศรษฐกิจ การลดความเหลื่อมล้ำ และการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เป็นเครื่องมือสำคัญที่รัฐบาลและธนาคารกลางใช้ในการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาค ทั้งสองนโยบายมีบทบาทสำคัญในการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ และแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจต่างๆ
8.2 เครื่องมือของนโยบายการเงิน
- อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Policy Interest Rate) คือ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางกำหนดขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินนโยบายการเงิน การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะส่งผลกระทบต่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดเงิน และมีผลต่อการลงทุน การบริโภค และอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางใช้การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อควบคุมอัตราดอกเบี้ยทั่วไปในระบบเศรษฐกิจ การลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายช่วยกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายของผู้บริโภค ในขณะที่การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยช่วยควบคุมเงินเฟ้อและลดการขยายตัวของเศรษฐกิจ
- การดำเนินงานตลาดเปิด (Open Market Operations) คือ การซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิดโดยธนาคารกลาง เพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การซื้อพันธบัตรจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ในขณะที่การขายพันธบัตรจะลดปริมาณเงินในระบบ เป็นกระบวนการที่ธนาคารกลางซื้อหรือขายพันธบัตรรัฐบาลในตลาดเปิดเพื่อควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ การซื้อพันธบัตรจะเพิ่มปริมาณเงินในระบบ ขณะที่การขายพันธบัตรจะลดปริมาณเงิน
- การกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมาย (Reserve Requirement) คือ สัดส่วนของเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ต้องเก็บไว้เป็นเงินสำรอง การเปลี่ยนแปลงอัตราส่วนเงินสำรองตามกฎหมายจะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ และมีผลต่อปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางกำหนดอัตราส่วนเงินสำรองที่ธนาคารพาณิชย์ต้องถือไว้เป็นเงินสำรอง การปรับอัตราส่วนนี้สามารถเพิ่มหรือลดปริมาณเงินที่ธนาคารสามารถให้กู้ยืมได้ ซึ่งมีผลต่อการขยายตัวของปริมาณเงินในเศรษฐกิจ
8.3 เครื่องมือของนโยบายการคลัง
- การจัดเก็บภาษี (Taxation) คือ การที่รัฐบาลเรียกเก็บเงินจากประชาชนและธุรกิจ เพื่อนำมาเป็นรายได้ของรัฐบาล ภาษีมีหลายประเภท เช่น ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีสรรพสามิต และภาษีศุลกากร รัฐบาลสามารถใช้การเพิ่มหรือลดภาษีเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของประชาชนและธุรกิจ การเพิ่มภาษีจะลดการใช้จ่ายและการลงทุน ขณะที่การลดภาษีจะกระตุ้นการใช้จ่ายและการลงทุน
- การใช้จ่ายภาครัฐ (Government Spending) คือ การที่รัฐบาลใช้จ่ายเงินเพื่อการบริโภคและการลงทุน เช่น การสร้างถนน โรงพยาบาล โรงเรียน และการจ่ายเงินเดือนข้าราชการ รัฐบาลสามารถเพิ่มหรือลดการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นหรือชะลอเศรษฐกิจ การเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการต่าง ๆ เช่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคและการสนับสนุนทางสังคม สามารถเพิ่มความต้องการสินค้าและบริการและกระตุ้นเศรษฐกิจ ในขณะที่การลดการใช้จ่ายสามารถช่วยลดการขาดดุลงบประมาณและควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
8.4 ผลกระทบของนโยบายการเงินและนโยบายการคลังต่อเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงิน การปรับอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ส่งผลโดยตรงต่อการลงทุน การใช้จ่ายของผู้บริโภคและอัตราเงินเฟ้อ ตัวอย่างเช่น การลดอัตราดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นการลงทุนและการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ก็อาจทำให้เกิดเงินเฟ้อหากเศรษฐกิจขยายตัวเร็วเกินไป
- นโยบายการคลัง การปรับการจัดเก็บภาษีและการใช้จ่ายของรัฐบาล สามารถกระตุ้นหรือชะลอการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจได้ ตัวอย่างเช่น การเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐบาลในช่วงเศรษฐกิจถดถอยสามารถช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตได้ แต่ก็อาจนำไปสู่การขาดดุลงบประมาณและหนี้สาธารณะที่สูงขึ้น
8.5 ระบบการเงินและบทบาทของธนาคาร
ระบบการเงิน เป็นโครงสร้างที่ประกอบด้วยสถาบันการเงิน ตลาดการเงิน และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องในการจัดการและหมุนเวียนเงินในเศรษฐกิจ ธนาคารมีบทบาทสำคัญในการเป็นสื่อกลางระหว่างผู้ที่มีเงินออมและผู้ที่ต้องการเงินกู้ รวมถึงการให้บริการทางการเงินต่าง ๆ เช่น การรับฝากเงิน การให้สินเชื่อ และการให้คำปรึกษาทางการเงิน ธนาคารกลางยังมีบทบาทสำคัญในการควบคุมระบบการเงินและการดำเนินนโยบายการเงิน
- ระบบการเงิน (Financial System) คือ กลไกที่ช่วยในการระดมเงินทุนจากผู้ที่มีเงินออม ไปให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุนเพื่อการลงทุนหรือการบริโภค
- บทบาทของธนาคาร ธนาคารมีบทบาทสำคัญในระบบการเงิน ทำหน้าที่เป็นตัวกลางทางการเงิน รับฝากเงินจากผู้มีเงินออม และปล่อยกู้ให้กับผู้ที่ต้องการเงินทุน
8.6 การสร้างเงินและนโยบายการเงิน
- การสร้างเงิน (Money Creation) ธนาคารพาณิชย์สามารถสร้างเงินฝากได้มากกว่าเงินสดที่รับฝากไว้ โดยอาศัยกลไกการให้สินเชื่อและการหมุนเวียนของเงินฝาก เป็นกระบวนการที่ธนาคารพาณิชย์สามารถเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจผ่านการให้สินเชื่อ เมื่อธนาคารพาณิชย์ให้กู้เงิน เงินจะถูกฝากเข้าสู่บัญชีของผู้กู้และสามารถนำไปใช้จ่ายหรือเก็บออมได้ กระบวนการนี้เรียกว่า "การสร้างเงินในระบบการธนาคาร" และมีผลในการเพิ่มปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ
- นโยบายการเงินและการสร้างเงิน ธนาคารกลางสามารถควบคุมปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ โดยการใช้นโยบายการเงินที่มีผลต่อความสามารถในการสร้างเงินของธนาคารพาณิชย์ มีบทบาทในการควบคุมการสร้างเงินและการขยายตัวของปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจ ธนาคารกลางสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมอัตราส่วนเงินสำรองเพื่อควบคุมการสร้างเงินและรักษาเสถียรภาพของเศรษฐกิจ
8.7 ตลาดเงินและตลาดทุน
- ตลาดเงิน (Money Market) คือ ตลาดที่ใช้ในการระดมเงินทุนระยะสั้น เช่น ตลาดตั๋วเงินคลัง ตลาดเงินฝากระหว่างธนาคาร เป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่มีระยะเวลาครบกำหนดไม่เกินหนึ่งปี สินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดเงินรวมถึงตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills) พันธบัตรรัฐบาลระยะสั้น และสินเชื่อระยะสั้น ตลาดเงินมีความสำคัญในการจัดหาเงินทุนระยะสั้นให้กับธุรกิจและรัฐบาล
- ตลาดทุน (Capital Market) คือ ตลาดที่ใช้ในการระดมเงินทุนระยะยาว เช่น ตลาดหุ้น ตลาดตราสารหนี้ เป็นตลาดที่มีการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่มีระยะเวลาครบกำหนดเกินกว่าหนึ่งปี สินทรัพย์ที่ซื้อขายในตลาดทุนรวมถึงหุ้นและพันธบัตรระยะยาว ตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในการจัดหาเงินทุนระยะยาวให้กับธุรกิจและรัฐบาล รวมถึงเป็นแหล่งที่นักลงทุนสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่มีผลตอบแทนในระยะยาว
บทนี้ได้อธิบายถึงความหมายและความสำคัญของ นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง เครื่องมือของแต่ละนโยบาย ผลกระทบของนโยบายต่อเศรษฐกิจ ระบบการเงินและบทบาทของธนาคาร การสร้างเงินและนโยบายการเงิน ตลาดเงินและตลาดทุน ความเข้าใจในเรื่องนโยบายเศรษฐกิจมหภาคและระบบการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้เราเข้าใจถึงการทำงานของเศรษฐกิจในภาพรวม และผลกระทบของนโยบายต่างๆ ต่อเศรษฐกิจ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ การลงทุน และการดำเนินชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง
นโยบายการเงินและนโยบายการคลัง มีผลต่อการทำงานของตลาดเงินและตลาดทุน การกำหนดอัตราดอกเบี้ยและนโยบายการคลังสามารถส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานของสินทรัพย์ทางการเงินในตลาดเหล่านี้ และสามารถมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวม
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------
เศรษฐศาสตร์ บทที่ 9 การค้าระหว่างประเทศ
เศรษฐศาสตร์ (economics) เบื้องต้น เข้าใจโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์
บทที่ 9 การค้าระหว่างประเทศ
9.1 ความหมายและความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศ (International Trade) คือ การแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับกิจกรรมของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน การค้าระหว่างประเทศเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ หมายถึงการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ และทรัพยากรต่าง ๆ ระหว่างประเทศต่าง ๆ
การค้าระหว่างประเทศมีความสำคัญ เนื่องจากช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถใช้ประโยชน์จากทรัพยากรที่มีอยู่ในประเทศของตน และสามารถเข้าถึงสินค้าที่ผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพในประเทศอื่นๆ การค้าระหว่างประเทศยังมีผลในการส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
- เพิ่มความหลากหลายของสินค้าที่มีให้ผู้บริโภค และช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ
- เพิ่มทางเลือกและความหลากหลายของสินค้าและบริการ การค้าระหว่างประเทศช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงสินค้าและบริการที่หลากหลายจากทั่วโลก ซึ่งอาจไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ หรือผลิตได้ในต้นทุนที่สูงกว่า
- เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต การค้าระหว่างประเทศช่วยให้ประเทศต่างๆ สามารถมุ่งเน้นการผลิตสินค้าและบริการที่ตนเองมีความได้เปรียบในการผลิต และนำเข้าสินค้าและบริการที่ตนเองไม่มีความได้เปรียบในการผลิต ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตโดยรวมของโลก
- ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศช่วยกระตุ้นการลงทุน การจ้างงาน และการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ การค้าระหว่างประเทศช่วยสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสันติภาพและความมั่นคงของโลก
9.2 ทฤษฎีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ
ทฤษฎีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ (Theory of Comparative Advantage) อธิบายว่า ประเทศควรเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้าหรือบริการ ที่ตนเองมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในการผลิตต่ำกว่าประเทศอื่น และนำเข้าสินค้าหรือบริการที่ตนเองมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในการผลิตสูงกว่าประเทศอื่น แม้ว่าประเทศหนึ่งอาจจะผลิตสินค้าหรือบริการได้ทุกอย่างในต้นทุนที่ต่ำกว่าประเทศอื่น (ข้อได้เปรียบโดยสมบูรณ์) แต่การค้าระหว่างประเทศก็ยังคงเกิดขึ้นได้และเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศ หากแต่ละประเทศมุ่งเน้นการผลิตสินค้าหรือบริการที่ตนเองมีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ
ทฤษฎีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ เป็นแนวคิดสำคัญในเศรษฐศาสตร์การค้าระหว่างประเทศ ซึ่งอธิบายว่าประเทศควรผลิตและส่งออกสินค้าที่ตนเองมีข้อได้เปรียบในการผลิตเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ ถึงแม้ว่าประเทศนั้นจะสามารถผลิตสินค้าอื่นได้ดีกว่าประเทศอื่นๆ ก็ตาม แนวคิดนี้ถูกเสนอโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ เดวิด ริคาร์โด (David Ricardo) โดยเน้นว่าประเทศควรมุ่งเน้นการผลิตสินค้าที่มีต้นทุนต่ำที่สุดและนำเข้าสินค้าที่มีต้นทุนการผลิตสูงกว่า การค้าในลักษณะนี้จะเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองประเทศที่เกี่ยวข้อง
9.3 การส่งออกและนำเข้า
- การส่งออก (Export) คือ การขายสินค้าและบริการไปยังต่างประเทศ การส่งออกช่วยให้ประเทศสามารถขยายตลาดของตนไปยังระดับสากลและเพิ่มรายได้จากต่างประเทศ การส่งออกยังช่วยส่งเสริมการผลิตและสร้างงานในประเทศ
- การนำเข้า (Import) คือ การซื้อสินค้าและบริการจากต่างประเทศ การนำเข้าช่วยให้ผู้บริโภคในประเทศสามารถเข้าถึงสินค้าที่ผลิตได้ดีกว่าในต่างประเทศ รวมถึงสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในประเทศ การนำเข้ายังช่วยส่งเสริมการแข่งขันในตลาดภายในประเทศและทำให้ราคาสินค้าลดลง
9.4 อุปสรรคทางการค้า
อุปสรรคทางการค้า (Trade Barriers) คือ มาตรการที่รัฐบาลใช้เพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ หรือเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับรัฐบาล อุปสรรคทางการค้ามีหลายรูปแบบ เช่น
- ภาษีนำเข้า (Tariffs) คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ เป็นการเก็บภาษีจากสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ ภาษีนำเข้าทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้นและช่วยปกป้องผู้ผลิตในประเทศจากการแข่งขันจากสินค้านำเข้า อย่างไรก็ตาม การใช้ภาษีนำเข้าอาจทำให้สินค้าภายในประเทศมีราคาสูงขึ้นและลดความหลากหลายของสินค้าในตลาด
- โควตา (Quotas) คือ การจำกัดปริมาณสินค้าที่สามารถนำเข้าจากต่างประเทศ การกำหนดจำนวนหรือมูลค่าสูงสุดของสินค้าที่สามารถนำเข้าหรือส่งออกได้ในช่วงเวลาหนึ่ง โควตาถูกใช้เพื่อควบคุมปริมาณสินค้าที่เข้าสู่ตลาดและป้องกันการผันผวนของราคาในตลาดภายในประเทศ
- มาตรการที่มิใช่ภาษี (Non-Tariff Barriers) คือ มาตรการอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษีที่ใช้ในการจำกัดการนำเข้า เช่น มาตรฐานสินค้า กฎระเบียบด้านสุขอนามัย และข้อกำหนดด้านเทคนิค มาตรการที่มิใช่ภาษีประกอบด้วยข้อกำหนดและกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อจำกัดการนำเข้า เช่น การกำหนดมาตรฐานความปลอดภัย คุณภาพสินค้า และการจำกัดการใช้เทคโนโลยี มาตรการเหล่านี้อาจถูกใช้เพื่อปกป้องผู้บริโภคในประเทศหรือเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมภายในประเทศ
9.5 ผลกระทบของการค้าระหว่างประเทศต่อเศรษฐกิจ
การค้าระหว่างประเทศ มีผลกระทบที่หลากหลายต่อเศรษฐกิจ มีทั้งผลดีและผลเสียต่อเศรษฐกิจ เช่น
- การเพิ่มรายได้และการเจริญเติบโต การค้าระหว่างประเทศช่วยเพิ่มรายได้ของประเทศผ่านการส่งออกและการเข้าถึงตลาดใหม่ ๆ ซึ่งส่งเสริมการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การกระจายทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การค้าเปิดโอกาสให้ประเทศต่าง ๆ ใช้ทรัพยากรของตนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยผลิตและส่งออกสินค้าที่ตนมีข้อได้เปรียบในการผลิต และนำเข้าสินค้าที่มีต้นทุนสูงกว่าหรือผลิตไม่ได้ในประเทศ
- การปรับตัวของอุตสาหกรรม การค้าระหว่างประเทศสามารถก่อให้เกิดการปรับตัวของอุตสาหกรรมภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่มีการแข่งขันจากสินค้านำเข้า ซึ่งอาจนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพและนวัตกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดการปิดกิจการและการว่างงานในอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถแข่งขันได้
- ความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศส่งเสริมความเชื่อมโยงทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ทำให้เกิดการพึ่งพากันทางเศรษฐกิจและช่วยสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่ดีขึ้น
การค้าระหว่างประเทศมีผลกระทบที่ดี
- เพิ่มทางเลือกและความหลากหลายของสินค้าและบริการ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
- ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- สร้างงานและรายได้
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศ
การค้าระหว่างประเทศมีผลกระทบที่เสีย
- อาจทำให้เกิดการว่างงานในบางอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
- อาจทำให้เกิดการขาดดุลการค้า หากมูลค่าการนำเข้าสูงกว่ามูลค่าการส่งออก
- อาจทำให้เกิดการพึ่งพาต่างประเทศมากเกินไป
- อาจส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หากมีการผลิตและขนส่งสินค้าในปริมาณมาก
9.6 ผลกระทบของการค้าเสรีและการคุ้มครองทางการค้า
การค้าเสรี (Free Trade) คือ นโยบายที่ส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศโดยไม่มีอุปสรรคทางการค้า การค้าเสรีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็อาจส่งผลกระทบต่อบางอุตสาหกรรมภายในประเทศ หมายถึง การเปิดเสรีในการค้าระหว่างประเทศ โดยไม่มีการเก็บภาษีนำเข้า โควตา หรือมาตรการที่มิใช่ภาษี การค้าเสรีช่วยให้ประเทศต่าง ๆ สามารถแลกเปลี่ยนสินค้ากันอย่างเสรี เพิ่มการเข้าถึงตลาดและลดต้นทุนของสินค้า การค้าเสรีมีผลในการเพิ่มความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ก็อาจทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นในตลาดภายในประเทศและสร้างความไม่สมดุลในเศรษฐกิจ
การคุ้มครองทางการค้า (Protectionism) คือ นโยบายที่ใช้มาตรการต่างๆ เพื่อจำกัดการนำเข้าสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศ การคุ้มครองทางการค้าอาจช่วยปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็อาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้นและลดทางเลือกของผู้บริโภค หมายถึง การใช้มาตรการต่าง ๆ เช่น ภาษีนำเข้า โควตา และมาตรการที่มิใช่ภาษี เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศจากการแข่งขันจากต่างประเทศ การคุ้มครองทางการค้ามีประโยชน์ในการปกป้องงานและอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่ก็อาจนำไปสู่การลดประสิทธิภาพการผลิต การเพิ่มต้นทุนของสินค้า และการลดโอกาสในการเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพจากต่างประเทศ
บทนี้ได้อธิบายถึงความหมายและความสำคัญของการค้าระหว่างประเทศ ทฤษฎีข้อได้เปรียบโดยเปรียบเทียบ การส่งออกและนำเข้า อุปสรรคทางการค้า ผลกระทบของการค้าระหว่างประเทศต่อเศรษฐกิจ และผลกระทบของการค้าเสรีและการคุ้มครองทางการค้า การค้าระหว่างประเทศเป็นส่วนสำคัญของเศรษฐกิจโลก และมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ อย่างไรก็ตาม การค้าระหว่างประเทศก็มีทั้งผลดีและผลเสีย รัฐบาลจึงต้องดำเนินนโยบายที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศและประชาชน
-------------------------------------------------
ที่มาข้อมูล
-
ภาพและรวบรวมข้อมูล
-------------------------------------------------
สนใจเรื่องราวการจัดการธุรกิจเพิ่มเติมคลิกที่นี่
-------------------------------------------------
Generation / ยุคสมัยของกลุ่มคนตามช่วงอายุ
Generation คือ ยุคสมัยของกลุ่มคนตามช่วงอายุ เป็นการพยายามแบ่งกลุ่มคนในแต่ละช่วงวัย เนื่องจากจะมีความคิดที่แตกต่างกันในแต่ละยุค ซึ่งจะเกิดจากสภาพสังคมในยุคนั้นๆ ทำให้ความคิดพฤติกรรมได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคในแต่ละ Generation ในแต่ละ Generation จะเกิดความแตกต่างกันหลายด้านเช่น ความคิด ค่านิยม นิสัย และพฤติกรรมที่แตกต่าง เกิดพฤติกรรมความคิด ทัศนคติ ไลฟ์สไตล์ ความรู้ความสามารถ และค่านิยม ปัจจุบันได้มีการพยายามจัดแบ่งกลุ่มคนออกเป็น Generation ที่พบจะมีหลายแบบตั้งแต่ 4 ถึงมากกว่า 10 กลุ่ม แต่ในวันนี้จะยกกลุ่มที่นิยมใช้กันไปเพียง 5 กลุ่มได้แก่
1. Silent Generation กลุ่มที่เริ่มจะค่อยสูญหายไปในกลุ่มนี้เดิมแบ่งเป็น 3 ช่วง แต่ในที่นี้จะเอามารวมกันเนื่องจากเริ่มค่อยๆเหลือลดน้อยลงไปมา อาจแบ่งคนในกลุ่มนี้ย่อยได้ 3 ช่วง
- Lost Generation คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2426-2443 หรือในช่วงทศวรรษที่ 80 ปัจจุบันคนกลุ่มนี้เสียชีวิตไปหมดแล้ว เหตุการณ์ที่สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตของคนยุคนี้คือ สงครามโลกครั้งที่ 1
- Greatest Generation คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2444-2467 เป็นยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อสงครามสงบเกิดสภาพเศรษฐกิจตกต่ำไปทั่วโลก เกิดความต้องการแรงานในการฟื้นฟูและพัฒนาเศรษฐกิจให้กลับมาดีขึ้นอีกครั้ง ผู้คนในยุคนี้ จะมีความเป็นทางการสูงผู้ชายจะใส่สูทผูกเนคไทเมื่อออกจากบ้าน คนในสังคมจะมีแบบแผนปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกันคือ มีความคิด ความเห็น ความเชื่อเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เชื่อมั่นรัฐบาล อำนาจรัฐ มีจิตสำนึกความเป็นพลเมืองร่วมกัน
- Silent Generation คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2468-2488 ประชากรรุ่นนี้จะมีน้อยเพราะเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และเข้าสู่ยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ดังนั้นผู้คนจึงมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ยากลำบากต้องทำงานหนักในโรงงานหามรุ่งหามค่ำ คนรุ่นนี้จึงมีความเคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนมาก มีความจงรักภักดีต่อนายจ้างและประเทศชาติสูงเคารพกฎหมาย เป็นยุคที่ผู้หญิงเริ่มออกมาทำงานนอกบ้านกันมากขึ้น กระทั่งเวลาผ่านไปเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว คนในรุ่นนี้จึงได้รับโอกาสมากขึ้น มีช่องทางการสร้างกิจการของตัวเอง รวมทั้งมีบทบาทในการพัฒนาเทคโนโลยีเป็นรากฐานจนถึงปัจจุบัน
2. Baby Boomer คนกลุ่มนี้เกิดในช่วงปี พ.ศ. 2489 2507 หรือในยุคสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 สาเหตุที่เรียกว่า Baby Boomer เนื่องจากหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบลง บ้านเมืองที่ผ่านการสู้รบได้รับความเสียหายอย่างหนัก ต้องเร่งฟื้นฟูประเทศให้กลับมาแข็งแกร่งมั่นคงอีกครั้ง สงครามที่ผ่านพ้นไปได้คร่าชีวิตคนที่จะมาเป็นแรงงานไปมาก แทบทุกประเทศจึงขาดแรงงานในการขับเคลื่อนประเทศ คนในยุคนี้จึงมีค่านิยมที่จะต้องมีลูกหลายคน เพื่อสร้างแรงงานขึ้นมาพัฒนาประเทศชาติจึงเป็นที่มาของคำว่า Baby Boomer คนกลุ่มนี้มีชีวิตเพื่อการทำงาน เคารพกฎเกณฑ์กติกามีความอดทนสูงทุ่มเทให้กับการทำงานและองค์กรมาก สู้งานพยายามคิดและทำอะไรด้วยตัวเอง เป็นเจ้าคนนายคนถูกครอบครัวสั่งสอนมาให้เป็นคนประหยัดอดออม จึงมีการใช้จ่ายอย่างรอบคอบและระมัดระวัง เคร่งครัดในขนบธรรมเนียมประเพณี
3. Generation X หรือ Gen-X คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 2508-2522 หลังยุค Baby Boomer ส่งผลให้เด็กเกิดมากขึ้นมาก มีปัญหาตามมาคือทรัพยากรที่มีอยู่ในโลกเริ่มไม่เพียงพอที่จะจัดสรรได้ จึงเกิดเป็นกระแสตีกลับจากยุคเบบี้บูมเมอร์ Baby Boomer เริ่มมีการควบคุมอัตราการเกิดของประชากร ยุคนี้อาจเรียกอีกชื่อว่า Yuppie ที่ย่อมาจาก Young Urban Professionals เพราะเกิดมาพร้อมในยุคที่โลกมั่งคั่งแล้ว จึงใช้ชีวิตอย่างสุขสบายเติบโตมากับการพัฒนาของวิดีโอเกม, คอมพิวเตอร์, สไตล์เพลงแบบฮิปฮอป และอาจทันดูทีวีจอขาวดำด้วย คนกลุ่มนี้ชอบอะไรง่ายไม่ต้องเป็นทางการ ให้ความสำคัญกับเรื่องความสมดุลระหว่างงานกับครอบครัว มีแนวคิดและการทำงานในลักษณะรู้ทุกอย่างทำทุกอย่างได้เพียงลำพัง ไม่พึ่งพาใคร เป็นตัวของตัวเองสูง มีความคิดเปิดกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์ Gen-X มีแนวโน้มที่จะต่อต้านสังคม ไม่เชื่อเรื่องศาสนา และไม่ได้ยึดขนบธรรมเนียมประเพณีมากนัก เป็นคนที่มีความยืดหยุ่นในการปรับตัวกับวัฒนธรรมที่เปลี่ยนไปเช่น การอยู่ก่อนแต่งหรือการหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ
4. Generation Y หรือ Gen-Y คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงปี พ.ศ. 25232540 คนกลุ่มนี้เติบโตขึ้นมาท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงและค่านิยมที่แตกต่างระหว่าง รุ่นปู่ย่าตายาย กับรุ่นพ่อแม่ แต่ก็รับเอาความเจริญรุดหน้าของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตเข้ามาแทรกอยู่ในการดำรงชีวิตประจำวันด้วย ยุคนี้จะเป็นยุคที่เศรษฐกิจกำลังเติบโตเป็นอย่างมาก ทำให้พ่อแม่ที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในชีวิตแล้วจะดูแลเอาใจใส่ลูกเป็นอย่างดี เด็กยุคนี้จึงมักจะถูกตามใจตั้งแต่เด็กได้ในสิ่งที่คนรุ่นพ่อแม่ไม่ค่อยได้ มีการศึกษาดี มีลักษณะนิสัยชอบการแสดงออก มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ไม่ชอบถูกบังคับให้อยู่กรอบ ไม่ชอบอยู่ในเงื่อนไข ชอบเสพข่าวสารผ่านช่องทางที่หลากหลาย มีอิสระในความคิดกล้าซักกล้าถามในทุกเรื่องที่ตัวเองสนใจไม่หวั่นกับคำวิจารณ์มีความเป็นสากลมาก มองว่าการนิยมชมชอบวัฒนธรรมหรือศิลปินต่างชาติเป็นเรื่องธรรมดา ปัจจุบันคนกลุ่มนี้อยู่ในทั้งช่วงวัยเรียน และวัยทำงาน และจากการที่ยุคนี้เป็นยุคที่มีเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้อง มีความสามารถในการทำงานที่เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารชอบงานด้านไอทีใช้ความคิดสร้างสรรค์สิ่งใหม่ รวมทั้งสามารถทำอะไรหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน เรียกได้ว่าสามารถใช้เครื่องมือเครื่องไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว การทำงานคนกลุ่มนี้ต้องการความชัดเจนในการทำงานว่าสิ่งที่ทำมีผลต่อตนเองและต่อหน่วยงานอย่างไร และชอบทำงานเป็นทีมไม่ค่อยอดทนเหมือนรุ่นพ่อรุ่นแม่นัก หวังที่จะทำงานได้เงินเดือนสูง แต่ไม่อยากไต่เต้าจากการทำงานข้างล่างขึ้นไป คาดหวังในการทำงานสูงต้องการคำชม มักจะจัดสรรเวลาให้งานและชีวิตส่วนตัวในจุดที่สมดุลกัน พอหลังเลิกงานอาจไปทำกิจกรรมเพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเองเช่น ไปเล่นฟิตเนส ไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จะไม่ค่อยหมกมุ่นอยู่กับงานเหมือนกับคนรุ่นก่อน
5. Generation Z หรือ Gen-Z คนยุคนี้จะเกิดอยู่ในช่วงเกิดหลัง พ.ศ. 2540 ขึ้นไป เป็นคนที่ปัจจุบันยังวัยงเด็ก กลุ่ม Gen-Z เติบโตมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สามารถใช้งานเทคโนโลยีและเรียนรู้ได้เร็วเพราะพ่อแม่ใช้สิ่งเหล่านี้อยู่ในชีวิตประจำวัน
* กลุ่มใหม่ที่เพิ่ม Generation C หรือ Gen-C เป็นกลุ่มใหม่ที่ Google และ Nielsen บัญญัติ ใช้สำหรับเรียกกลุ่มคนยุคใหม่ที่ไม่ได้แบ่งตามอายุ 5 กลุ่มที่กล่าวมา แต่จะมีการจัดกลุ่ม ตามพฤติกรรมการใช้โทรศัพท์มือถือ อินเทอร์เน็ตและโซเชียลเน็ตเวิร์ก คนในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นคนกลุ่ม Baby Boomer และ Gen-X ที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองหันมาสนใจเทคโนโลยีมากขึ้น ไปจนถึงขั้นเสพติดการเชื่อมต่อแต่ไม่รวมคนกลุ่ม Gen-Y เพราะคนกลุ่มนี้จะมีการเชื่อมต่อโลกไร้สายเป็นประจำอยู่แล้ว Gen-C จะมีนิสัยคือ จะมีการเชื่อมต่อตลอดเวลา มีการอัพเดทข้อมูล สนใจข่าวสารที่ได้รับรู้มาในโลกไซเบอร์ พร้อมจะแชร์ต่อทุกเมื่อ ติดตามดูคลิปในยูทูบมากกว่านั่งดูโทรทัศน์ เหมือนกับสังคมออนไลน์กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของตัวเองไปแล้ว และคนกลุ่มนี้ก็ยังกลายมาเป็นผู้ขับเคลื่อนวัฒนธรรมใหม่ กลุ่ม Gen-C แม้จะชอบโพสต์ข้อความมากมาย แต่จะโพสต์ด้วยความระมัดระวังกว่า มักจะโพสต์เพื่อแบ่งปันความรู้ ประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสาร ต่างจาก Gen-Y ที่จะโพสต์ตามอารมณ์มากกว่า
ในปัจจุบันนักการตลาด นักธุรกิจ ผู้บริหารองค์กรจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากทีเดียว เพราะจะช่วยทำให้พวกเขาได้เรียนรู้และเข้าใจบุคคลในวัยต่างๆ ได้ดีขึ้น เพื่อประสิทธิภาพในการบริหารจัดการเรื่องต่างๆ ส่วนตัวเราเองการได้เข้าใจสิ่งเหล่านี้ก็จะช่วยลดช่องว่างระหว่างวัยในครอบครัว และลดช่องว่างในสังคมการทำงานได้
----------------------------------------
@ ลงข้อมูล / เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ
เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward