iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
CT52 การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ย้อนกลับของอุตสาหกรรม
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สถาพร อมรสวัสดิ์วัฒนา
บทนำ
ในการศึกษาการจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การจัดการกระบวนการแปรรูปและเคลื่อนย้ายวัตถุดิบจนถึงการกระจายสินค้าสำเร็จรูปไปถึงมือลูกค้า ในขณะที่การเคลื่อนย้ายวัตถุดิบหรือสินค้า จากลูกค้าปลายทางกลับไปถึงซัพพลายเออร์ในขั้นต้นนั้นหรือที่เรียกว่าโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse logistics) ได้รับความสนใจน้อยกว่า
สภาผู้บริหารโลจิสติกส์ย้อนกลับ (Reverse Logistics Executive Council) ได้กำหนดคำนิยามของโลจิสติกส์ย้อนกลับว่าเป็นกระบวนการของการวางแผน การประยุกต์ใช้ และการควบคุมการไหลของวัตถุดิบ สินค้าคงคลัง สินค้าสำเร็จรูป และข้อมูลที่เกี่ยวข้อง จากจุดที่ทำการบริโภค (Point of Consumption) มายังจุดเริ่มต้น (Point of origin) เพื่อทำการกำจัดอย่างมีประสิทธิภาพหรือดึงมูลค่าเพิ่มของสินค้านี้ออกมาได้อีก
ในปี 2004 มูลค่าของโลจิสติกส์ย้อนกลับในประเทศสหรัฐอเมริกาอยู่ที่ประมาณ 58,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 0.5% ของ GDP และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตัวอย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ ดำเนินการนำชิ้นส่วนของรถยนต์ที่หมดอายุการใช้งานมาใช้ประโยชน์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีวัตถุอันตรายไม่ว่าจะเป็นสารตะกั่วหรือปรอท ซึ่งจะถูกนำไปทิ้งทุกปีนั้น บริษัทชั้นนำ เช่น Apple, Sony หรือ Dell ได้เริ่มโครงการนำกลับมาใช้ใหม่ โดยที่อัตราการนำกลับมาใช้จะอยู่ที่ 5% ถึง 50% ขึ้นอยู่กับแต่ละอุตสาหกรรม นอกจากนี้โลจิสติกส์ย้อนกลับมีความน่าสนใจมากขึ้นเนื่องจากราคาสินค้าในตลาดโลกที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งบริษัทต่าง ๆ จะนำหลักการของโลจิสติกส์ย้อนกลับมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร ลดต้นทุนในโซ่อุปทาน และสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า อีกทั้งยังสามารถลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งหลาย ๆ ประเทศในยุโรปและประเทศแคนาดาได้บังคับใช้กฎหมายในการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง
กระบวนการส่งคืนสินค้า
โดยส่วนใหญ่แล้ว บริษัทมีกระบวนการส่งคืนสินค้า ได้แก่การรับสินค้า, การจัดเรียง, การทดสอบ, การจัดเก็บและการส่งสินค้าออกไป สินค้าที่แตกต่างกันจะถูกนำส่งไปในเส้นทางที่ต่างกัน ในขณะเดียวกันสินค้าชนิดเดียวกันแต่มีข้อบกพร่องต่างกัน จะถูกนำส่งไปในเส้นทางที่ต่างกันได้ จากข้อมูลที่ได้จากการสำรวจภาคอุตสาหกรรม กระบวนการส่งสินค้าโดยทั่วไปสามารถแสดงได้ในรูปที่ 1 โดยคำนึงถึงปัจจัยที่สำคัญ เช่น ความต้องการสินค้าสภาพของสินค้าและบรรจุภัณฑ์ การทดสอบและการซ่อมแซมสินค้า ตลาดมือสอง และการกำจัดสินค้า
ที่มา: บทความเรื่อง “An exploration of reverse logistics practices in three companies ในวารสาร Supply Chain Management : An International Journal ฉบับที่ 13 เล่มที่ 5 ปี 2008 หน้า 381-386 โดย Xiaoming Li และ Festus Olorunniwo
แผนภาพที่ 1 กระบวนการส่งคืนสินค้าโดยทั่วไป
กระบวนการส่งคืนสินค้าเริ่มจากการผู้ผลิตหรือร้านค้าปลีกรับสินค้าคืนจากลูกค้าหรือที่เรียกว่าผู้ซื้อเป็นผู้ขับเคลื่อน (Buyer-driven) ซึ่งสินค้าที่ทำการนำส่งคืนจะถูกนำส่งไปยังสถานที่ที่ทำการคัดแยกเพื่อดึงมูลค่าสินค้าที่ยังคงเหลืออยู่ออกให้ได้มากที่สุด
การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและความร่วมมือ
กระบวนการโลจิสติกส์ย้อนกลับมีความจำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เนื่องจากมีความจำเป็นต้องติดตามการเคลื่อนที่ของสินค้าอย่างชัดเจนในโซ่อุปทานและการเข้าถึงฐานข้อมูลระหว่างพันธมิตรเป็นขีดความสามารถในการแข่งขันที่สำคัญของโลจิสติกส์ย้อนกลับเช่นเดียวกันกับโซ่อุปทานทั่วไป
นอกจากนี้การร่วมกันวางแผนพยากรณ์ การวางแผนการผลิตร่วมกับการสร้างตัววัดประสิทธิภาพการผลิตด้วยกัน รวมทั้งการทบทวนกระบวนการของความร่วมมืออย่างสม่ำเสมอเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างองค์กร
วิสัยทัศน์ และความเป็นผู้นำของผู้บริหาร
การสนับสนุนของผู้บริหารมีความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นด้สนทรัพยากรบุคคล หรือเงินทุนรวมถึงการลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ ๆ ในระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับ นอกจากนี้กิจกรรมด้านโลจิสติกส์ย้อนกลับควรกำหนดเป็นงานประจำ/หรือภารกิจหลัก ที่ต้องมีผู้บริหารรับผิดชอบในเรื่องนี้ หากกำหนดเป็นงานชั่วคราวจะทำให้พนักงานขาดความเอาใจใส่ได้
การจัดการโลจิสติกส์ย้อนกลับที่มีประสิทธิภาพจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างมากมาย เช่น เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า การปฏิบัติการมีประสิทธิภาพมากขึ้น จากการปรับปรุงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ การวางแผนด้านแรงงาน และการบริหารสินค้าคงคลัง นอกจากนี้ยังส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินการลดลงและส่งเสริมให้ลูกค้าสามารถสร้างกระบวนการออกแบบและพัฒนาสินค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ประเด็นอื่น ๆ
ในบางกรณีของโลจิสติกส์ย้อนกลับ สินค้าส่วนใหญ่จะมีกระบวนการจัดการให้สามารถมาวางจำหน่ายได้อีก ทั้งนี้อาจจะมีการดัดแปลงหรือแก้ไขสินค้านั้นก็ได้ เนื่องจาก 75% ของสินค้าที่ถูกส่งกลับคืนไม่ได้เป็นสินค้าที่ชำรุดหรือบกพร่อง แต่จะเป็นสินค้าที่ถูกส่งคืนเนื่องจากไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง หรือมีข้อมูลที่ผิดพลาด ส่วนสินค้าที่เหลืออาจจะถูกส่งไปขายต่อที่ตลาดมือสองหรือแยกเพื่อนำเอาชิ้นส่วนไปใช้งานต่อหรืออาจจะนำไปกำจัดก็ได้
สรุป
โลจิสติกส์ย้อนกลับมีผลต่อการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กรได้ โดยมีส่วนในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า พร้อมทั้งเป็นการนำมูลค่าของสินค้าที่อยู่จะยังคงเหลือในสินค้าที่ส่งคืนกลับมาใช้ได้อีก นอกจากนี้การสนับสนุนของผู้บริหารโดยการกำหนดเรื่องของการส่งคืนสินค้าเป็นงานประจำหรือภารกิจหลักขององค์กร จะสามารถส่งเสริมระบบโลจิสติกส์ย้อนกลับให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นได้
ที่มา: บทความเรื่อง “An exploration of reverse logistics practices in three companies ในวารสาร Supply Chain Management : An International Journal ฉบับที่ 13 เล่มที่ 5 ปี 2008 หน้า 381-386 โดย Xiaoming Li และ Festus Olorunniwo
.
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
--------------------------------
ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT52 การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม กรณีศึกษา บริษัท TTT
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. วันชัย รัตนวงษ์
สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์: 0-2697-6707, โทรสาร: 0-2275-4892, E-mail:
บทคัดย่อ
บริษัท TTT เป็นหน่วยงานภาครัฐที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 3 พฤศจิกายน 2543 บริษัทได้ปล่อยดาวเทียม THEOS ซึ่งเป็นดาวเทียมสำรวจทรัพยากรธรรมชาติดวงแรกของประเทศไทยขึ้นสู่วงโคจรเป็นที่เรียบร้อย โดยมุ่งหวังว่าจะสามารถรองรับความต้องการของภาครัฐภายในประเทศไทยอย่างเต็มที่มากขึ้น ที่ผ่านมา บริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายภาพถ่ายและรับสัญญาณดาวเทียมจากหลายประเทศ ปัจจุบันความต้องการใช้ภาพถ่ายดาวเทียมจากผู้ใช้ในแถบตะวันตกและเอเชียมีสูงขึ้นเฉลี่ย 9-14% ต่อปี โดยมีแนวโน้มการนำข้อมูลภาพไปประยุกต์ใช้ด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การศึกษาครั้งนี้มีการเสนอแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพใน 2 ส่วน ได้แก่ ส่วนที่ 1 การทำงานของขั้นตอนการให้บริการของบริษัท และส่วนที่ 2 ความสามารถในการผลิตข้อมูลภาพถ่ายเพื่อรองรับความต้องการภาพถ่ายดาวเทียมในอนาคตของผู้ใช้บริการ
วัตถุประสงค์ของการศึกษาประกอบด้วย การลดขั้นตอนการให้บริการ การปรับปรุงประสิทธิภาพของระบบสืบค้น และการคำนวณหากำลังการผลิต (capacity) ที่จะรองรับการขยายตัวของยอดขายของดาวเทียม THEOS โดยนำข้อมูลการพยากรณ์ยอดขายของดาวเทียม SPOT มาเปรียบเทียบ และเพื่อสร้างความเป็นมาตรฐาน สากลและให้เป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงกระตุ้นยอดขาย จากการศึกษาพบว่าการเสนอให้ใช้ web service โดยให้มีการสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์แทนขั้นตอนการให้บริการข้อมูลภาพถ่ายในบริษัทแบบเดิม จะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของระยะเวลาที่ใช้เฉลี่ยได้ถึง 92.56% สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของขั้นตอนการให้บริการได้ 33.33% และสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เดือนละ 40,000 บาท หรือปีละ 480,000 บาท สำหรับการคำนวณหากำลังการผลิต (ที่ต้องการในอนาคต) ผู้ศึกษาได้นำข้อมูลยอดขายของดาวเทียม SPOT ในแต่ละเดือนของสินค้าแต่ละประเภทมาพยากรณ์ยอดขายในอีก 10 ปีข้างหน้า ด้วยวิธี Linear Trend หาค่าความน่าจะเป็นของสินค้าแต่ละประเภท เพื่อนำข้อมูลมารันโปรแกรม Awesim ผลที่ได้คือบริษัทสามารถรองรับการผลิตได้สูงสุด 18 ภาพต่อวันหากผลิตมากกว่า 18 ภาพ จะเกิดการรอคอยกับสินค้า E เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีการสั่งผลิตมากที่สุด
คำสำคัญ: การพยากรณ์, แบบจำลองสถานการณ์
บทนำ
บริษัท TTT เป็นหน่วยงานของรัฐที่จัดตั้งขึ้น ภายใต้วัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านดาวเทียมสำรวจทรัพยากรเพื่อการบริหารจัดการทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งเพื่อความมั่นคงของประเทศ มีภารกิจหลักในการให้บริการภาพจากดาวเทียมและข้อมูลภูมิสารสนเทศทั้งภายในและต่างประเทศ ตลอดจนส่งเสริมการประยุกต์ใช้ภาพจากดาวเทียมในหลายสาขา รวมถึงถ่ายทอดเทคโนโลยีและพัฒนาบุคลากร
บริษัท TTT ได้ดำเนินการรับสัญญาณ ผลิตและให้บริการข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากรดวงต่างๆ อาทิ LANDSAT, SPOT, RADARSAT แก่หน่วยงานต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่สถานีรับสัญญาณภาคพื้นดินของบริษัท TTT ตั้งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม เป็นศูนย์กลางของประเทศในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ มีรัศมีการรับสัญญาณครอบคลุม 17 ประเทศ ทำให้บริษัท TTT สามารถรับสัญญาณภาพจากดาวเทียมและเป็นคลังข้อมูลขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ บริษัท TTT ยังเป็นสถานีเครือข่ายของกลุ่มสถานีรับสัญญาณดาวเทียมทั่วโลก
กลุ่มผู้ใช้บริการแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังภาพที่ 1 ได้แก่
1. หน่วยงานราชการ
2. สถาบันการศึกษา
3. บริษัทเอกชน
4. หน่วยงานต่างประเทศ
ตลาดข้อมูลดาวเทียมมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในอัตรา 9 – 14% ต่อปี เนื่องจากผู้ใช้ข้อมูลตระหนักถึงประโยชน์ของภาพจากดาวเทียม ตลอดจนมีการนำ GIS มาช่วยอำนวยความสะดวกในการวิเคราะห์และวางแผนอีกทางหนึ่ง นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ตลาดมีการเจริญเติบโตด้วยเช่นกัน คู่แข่งของเราในอนาคต คือ ดาวเทียมของประเทศจีน 2 ดวง ได้แก่ CBERS-3 / 4 (China Brazil Earth Resources Satellite-3 / 4)
2. ทฤษฎีและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง
2.1 กลยุทธ์การแข่งขัน (Competitive Strategy)
Supply Chain Management จัดเป็นการจัดการระดับยุทธศาสตร์ (Strategy) โดยมีวัตถุประสงค์ในการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน (Core Competency) ซึ่งจะต้องนำการวิเคราะห์ที่เรียกว่า SWOT Analysis มาประกอบในการจัดทำแผน เพื่อที่จะได้จัดวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสม โดยแผนยุทธศาสตร์ที่จะนำมาใช้กับ Supply Chain Management จะต้องมีเป้าหมาย เพื่อช่วยทำให้มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลที่ได้จะต้องมีการกำหนดเป็นแผนยุทธศาสตร์ ดังนี้
2.1.1 ยุทธศาสตร์แบบบูรณาการ (Integration) การประสานความสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนที่ทำนั้นทำด้วยการมีเป้าหมายร่วมกัน
2.1.2 ยุทธศาสตร์นำด้วยเทคโนโลยี (Technology Strategy)
2.1.3 การสร้างมูลค่าเพิ่ม รวมถึงระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพมาใช้ผสมผสานในการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน โดย Logistics & Supply Chain
2.1.4 ยุทธศาสตร์นำด้วยความพอใจของลูกค้า (Customer Satisfaction)
2.2 การจัดการ “RIMS” คือ การจัดการความสัมพันธ์ (Relation Management) เป็นงานที่มีความสำคัญสูงสุด ซึ่งต้องศึกษาถึง CRM หรือ การจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Relationship Management) โดยในปัจจุบันถือเป็นหัวใจของการจัดการทางการตลาดสมัยใหม่ ถ้ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การจัดการ “RIMS” ก็จะง่ายขึ้นอย่างมากในบางทฤษฎีอาจจะเรียกว่า 5 FIRMS คือเพิ่มปัจจัย Found คือรายได้หรือทุน ซึ่งใช้ในการดำเนินการใน Logistics & Supply
2.3 การวางแผนงานระบบ Logistics นั้น จะต้องพิจารณาถึงเป้าหมายในการให้บริการลูกค้า (Customer service goals) และการตัดสินใจในส่วนต่าง ๆ ที่เป็นองค์ประกอบหลักของระบบโลจิสติกส์ควบคู่กัน ดังนี้
- การจัดตั้งสถานที่ประกอบการหรือคลังสินค้า (Facilities location)
- การบริหารสินค้าคงคลัง (Inventory management)
- การขนส่ง (Transport)
การวางแผนองค์ประกอบแต่ละส่วนนั้นอาจมีผลกระทบต่อโครงสร้างต้นทุน (Cost Structure) ขององค์กรในทิศทางที่ขัดแย้งกัน (Conflicting) ตัวอย่างเช่น การลดระดับบริการทางการขนส่ง (Transportation service) มีผลทำให้ต้นทุนในการขนส่งลดลง ในขณะเดียวกันก็ส่งผลต่อการเพิ่มของต้นทุนสินค้าคงคลัง (Inventory Cost) ดังนั้นการวางแผนองค์ประกอบต่างๆ จึงควรพิจารณาถึงผลกระทบที่แผนองค์ประกอบนั้นๆ มีต่อต้นทุนในส่วนอื่นๆ ด้วย (Trade-off analysis) โดยใช้หลักการวิเคราะห์ต้นทุนโดยรวม (Total Cost Analysis)
กัลยา อินทรัตน์ชัยกิจ (2004) ได้ทำการวิเคราะห์ยอดขายสินค้าแฟชั่น (ข้อมูลรายเดือน ตั้งแต่ปี 2545-2547) โดยใช้เทคนิคการพยากรณ์เข้ามาช่วย จากการศึกษาพบว่ายอดขายขององค์กรมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นแบบคงที่แต่ไม่มีความผันแปรตามฤดูกาล และเลือกวิธีการพยากรณ์จากการหาความคลาดเคลื่อน (Error) น้อยที่สุด ผลที่ได้คือบริษัทควรนำเทคนิคการพยากรณ์แบบทำให้เรียบ (Exponential Smoothing Technique) มาทำการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อพยากรณ์ยอดขายสินค้าของบริษัทในอนาคตเกี่ยวกับการจัดจำหน่ายสินค้า
วรรณวิภา เศรณีวิจัยกิจการ (2007) ได้ทำการศึกษาการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดย
การใช้แบบจำลองสถานการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์ : กรณีศึกษาโรงงานผลิตกาแฟแบบคั่วบด จากการศึกษาเห็นว่าการจำลองสถานการณ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องมือช่วยตัดสินใจหาแนวทางเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพได้ วรรณวิภาพบว่าการปรับปรุงประสิทธิภาพสายการผลิตโดยการนำเครื่องคัดแยกสิ่งแปลกปลอมอัตโนมัติเข้ามาใช้ในสายการผลิตแทนพนักงานเพื่อแก้ปัญหาจุดคอขวดที่เกิดขึ้นในสายการผลิต และเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อปริมาณอุปสงค์ในปัจจุบันและ
การขยายตัวของปริมาณอุปสงค์ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตเป็นแนวทางที่มีความเหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด แนวทางนี้ สามารถกำจัดแถวคอยที่เกิดขึ้นในขั้นตอนการคัดแยกสิ่งแปลกปลอม กำจัดการทำงานล่วงเวลาของพนักงาน มีเวลาในการทำงานเฉลี่ยต่อครั้งต่ำ
3. วิธีการดำเนินการวิจัย
จากการวิเคราะห์ข้อมูลของบริษัท พบว่ามี 2 ประเด็นที่เป็นปัญหาใหญ่ขององค์กร ดังแสดงในภาพที่ 2.1 และ 2.2
จากภาพที่ 2 พบว่าปัญหาด้านความล่าช้าของการผลิตสินค้าตามใบสั่งซื้อเกิดจากปัจจัยภายใน ได้แก่ ขั้นตอนการให้บริการที่มีหลายขั้นตอน เจ้าหน้าที่มีงานประจำอยู่แล้ว กฎระเบียบอิงกับราชการมากเกินไป และปัจจัยภายนอก ได้แก่ การจัดลำดับความสำคัญของเจ้าของสัญญาณและสภาพภูมิอากาศ
จากภาพที่ 3 ปัญหาด้านการสืบค้นหาข้อมูลดาวเทียมผ่านระบบ Catalogue สามารถวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาได้ 2 ด้านด้วยกัน ได้แก่ ด้านระบบที่มีการออกแบบไม่รองรับการใช้งาน ผู้ใช้ต้องมีคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ใช้ภาษา JAVA ในการเปิดระบบ และมีหลายขั้นตอน นอกจากนี้ ระบบ catalogue เป็นระบบใหม่ ผู้ใช้จึงยังไม่รู้จักวิธีการใช้ที่ถูกต้องและไม่มีอุปกรณ์ในการดำเนินการ
4. แนวทางการแก้ไขส่วนที่ 1
จากปัญหาที่เกิดขึ้น ผู้ศึกษาได้เสนอให้นำระบบ web service โดยให้มีการสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาความล่าช้าหลังการสั่งซื้อสินค้าและความซับซ้อนการใช้ระบบสืบค้นข้อมูลดาวเทียมผ่านระบบ catalogue ดังภาพที่ 4
การสั่งซื้อผ่านระบบออนไลน์แบบใหม่มีขั้นตอนรวมทั้งสิ้น 4 ขั้นตอนได้แก่
1) ผู้ใช้บริการลงทะเบียนสมาชิกเพื่อเข้าสู่ระบบเมื่ออยู่หน้าเวปไซต์ ใช้เวลาไม่เกิน 15 นาที
2) ผู้ใช้บริการเลือกสินค้าตามต้องการพร้อมทั้งยืนยันการสั่งซื้อ ขั้นตอนนี้ใช้เวลาเฉลี่ย 30 นาที โดยขั้นตอนที่ 1 และ 2 ใช้เจ้าหน้าที่ดูแล 3 คน
3) ฝ่ายผลิต 4 คน รับการสั่งซื้อและเริ่มผลิต
4) ผู้ใช้บริการชำระเงินและรอรับสินค้า ขั้นตอนนี้ใช้เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน 2 คน
ระบบใหม่นี้ ผู้ศึกษาได้ออกแบบให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้ามาลงทะเบียน เลือกซื้อสินค้า แจ้งการชำระเงิน (กรณีโอนเงินผ่านธนาคาร) ตลอดจนสามารถตรวจสอบสถานะการจัดส่ง อีกทั้งมี Call Center ที่ผู้ใช้บริการสามารถโทรสอบถามการใช้ระบบหรือข้อมูลด้านอื่นๆ ได้ด้วย
ผู้เขียนได้ออกแบบเวปไซต์ที่จะให้ผู้ใช้บริการได้สั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ดังภาพที่ 5-11 ดังนี้
แนวทางการแก้ไขส่วนที่ 2
ผู้ศึกษาได้หาวิธีคำนวณหา capacity ที่จะรองรับการขยายตัวของยอดขายของดาวเทียม THEOS โดยการพยากรณ์ยอดขายของดาวเทียม SPOT ในอีก 10 ปีข้างหน้า โดยมีกระบวนการดังนี้
1. ทำการพยากรณ์การเติบโตของยอดขายของข้อมูลดาวเทียม SPOT เป็นระยะเวลา 10 ปี โดยใช้วิธี Linear Trend จากการนำข้อมูลจากปี 2549-2551 มาคำนวณ
2. คำนวณหาค่าความน่าจะเป็น (Probability) ของยอดขายของสินค้าแต่ละประเภท (5 ประเภท) โดยการนำข้อมูลยอดขายของดาวเทียม SPOT ของแต่ละเดือน ระยะเวลา 3 ปี มาทำการหาค่าเฉลี่ยรวม ได้ค่าดังนี้ 34%, 5%, 3%, 23% และ 35% ตามลำดับ
3. คำนวณหากำลังการผลิต โดยทดสอบในแบบจำลองสถานการณ์ด้วยโปรแกรม Awesim
5. ผลการวิเคราะห์
ผู้ศึกษาได้ทำการทดลองนำจำนวนภาพที่ต้องผลิตในแต่ละวันพร้อมกับค่าความน่าจะเป็นของสินค้าแต่ละประเภทมาลงโปรแกรม Awesim พบว่าบริษัทจะมีกำลังการผลิตได้สูงถึง 18 ภาพต่อวัน ใช้เวลาในการผลิตทั้งหมด 343 นาที (1 วัน ทำงาน 480 นาที) โดยหากผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 19 ภาพต่อวัน จะเกิดการรอคอยที่สินค้าประเภท E ที่ 13.64 นาที ใช้เวลาในการผลิต 352 นาที
การวางแผนทรัพยากร ด้านการผลิต
1) หากต้องผลิตภาพต่อวันมากขึ้น อาจต้องให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตทำงานล่วงเวลา (OT) เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละวัน
2) เพิ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิตอีก 1 คน เพื่อลดเวลาการรอคอยในสินค้าแต่ละประเภท E ลง
3) เตรียมของบประมาณ/ ร่างข้อเสนอโครงการเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
4) มีการพัฒนาบุคลากร โดยอาจส่งไปฝึกอบรมเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์กับนานาประเทศ
ข้อจำกัดในการศึกษาด้วยตนเองครั้งนี้
เนื่องจากผู้ศึกษาทำงานอยู่ในส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับฝ่ายบริการและฝ่ายผลิตมาก่อน ดังนั้น เพื่อให้ผู้ศึกษาเข้าใจในขั้นตอนการทำงานเมื่อต้องทำการศึกษาเรื่องนี้จึงต้องหาข้อมูลเป็นจำนวนมาก บางข้อมูลบริษัทสามารถให้ได้ บางข้อมูลเป็นความลับของบริษัทไม่สามารถให้ได้ บางข้อมูลไม่มีการบันทึกไว้ บางข้อมูลมีบ้างขาดบ้าง บางข้อมูลเพิ่งจะเริ่มเก็บ
ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ยอดขายของดาวเทียม SPOT เป็นข้อมูลจริงแต่เป็นรายเดือน ไม่มีเป็นรายวัน ผู้ศึกษาจึงใช้ยอดขายรายเดือนในระยะเวลา 3 ปี (ระหว่างปี 2549-2551) มาหาค่าเฉลี่ย นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ข้อมูลการผลิตจะมีการสั่งซื้อล่วงหน้า และฝ่ายผลิตจะมีการวางแผนการผลิตก่อน 1 วัน ซึ่งปัจจุบันการรอคอยจะเกิดเป็นช่วงๆ เท่านั้น
ข้อเสนอแนะ
ระยะสั้น
- มีบริการ call center บริการลูกค้า เพื่อแนะนำการใช้งานระบบและแนะนำระบบให้แก่ผู้ใช้ที่ยังไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับสั่งสินค้า
- มีเจ้าหน้าที่คอยแนะนำการใช้งานของระบบผ่านหน้าเวปไซท์
- มีการฝึกอบรมเกี่ยวกับระบบให้แก่เจ้าหน้าที่และผู้ใช้งานเป็นประจำทุกเดือน
- แจกแผ่นซีดีสาธิตการใช้งานระบบให้แก่ผู้ใช้
- ให้ส่วนลดกับผู้ใช้ที่สั่งซื้อสินค้าผ่านเวปไซท์ เพื่อกระตุ้นเข้าไปใช้งานและให้คุ้นเคยกับระบบ
ระยะกลางและระยะยาว
- หาเครือข่ายพันธมิตรเพื่อประชาสัมพันธ์และหาช่องทางการจัดจำหน่ายภาพถ่ายดาวเทียมให้แก่ผู้ใช้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ใช้การสื่อสารในเครือข่ายร่วมกัน เช่น ระบบ intranet
- สร้างการให้บริการแบบ one stop service โดยนำฝ่ายการเงิน บัญชี มาอยู่ร่วมกัน ณ จุดๆ เดียว เพื่อสะดวกในการติดต่อประสานงาน
.
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
--------------------------------
ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT52 การเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบน้ำตาลให้กับลูกค้ากรณีศึกษา บริษัท น้ำตาลอิสระ จำกัด
วันชัย รัตนวงษ์
สาขาวิศวกรรมโลจิสติกส์ คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
ถนนวิภาวดีรังสิต เขตดินแดง กรุงเทพฯ 10400
โทรศัพท์: 0-2697-6707, โทรสาร: 0-2275-4892, E-mail:
บทคัดย่อ
บริษัทน้ำตาลอิสระ เป็นผู้นำในการผลิต และจำหน่ายน้ำตาลทรายของประเทศไทย ทำให้มีลูกค้ากระจายอยู่ทุกภูมิภาคในประเทศ และในปัจจุบันภาวะการแข่งขันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงมากขึ้น ดังนั้นกระบวนการส่งมอบน้ำตาลทั้งในประเทศและต่างประเทศจึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง การศึกษาการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับส่งมอบให้กับลูกค้า เป็นการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับต้นทุนที่ใช้ในการส่งมอบ ตลอดจนข้อมูลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการส่งมอบโดยผู้วิจัยเริ่มทำการเก็บข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2549 ถึง ตุลาคม 2550 และได้ทำการศึกษาสาเหตุของการส่งมอบน้ำตาลที่ขาดประสิทธิภาพ จากการศึกษาพบว่าการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้า มีปริมาณทั้งสิ้น 304,144 ตัน โดยแบ่งเป็นการส่งมอบภายในประเทศทั้งสิ้น 102,387 ตัน และการส่งออกน้ำตาลไปต่างประเทศทั้งสิ้น 201,757 ตัน ซึ่งปัจจุบันยังไม่มีการกำหนดเส้นทางการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าที่ชัดเจน
ดังนั้นการศึกษานี้จึงเสนอให้เพิ่มประสิทธิภาพการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้า โดยการสร้างต้นแบบการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้า ปรับปรุงขั้นตอนการทำงานก่อนการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้า และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อใช้ในกระบวนการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้า และเมื่อทำการเปรียบเทียบข้อมูลการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าก่อนการปรับปรุงและหลังการปรับปรุงพบว่า ด้านต้นทุนการส่งมอบ สามารถลดต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าได้ 23,543,279.97 บาท คิดเป็นร้อยละ 13.94 ของต้นทุนการส่งมอบน้ำตาลทั้งประเทศ ด้านระยะเวลาการส่งมอบ สามารถลดระยะเวลาในการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าได้ 31,728.57 ชั่วโมง คิดเป็นร้อยละ 28.12 ของเวลาในการส่งมอบน้ำตาลทั้งประเทศ
คำสำคัญ : ต้นทุน, ต้นแบบการส่งมอบ, ประสิทธิภาพ
บริษัทน้ำตาลอิสระ จำกัด เป็นบริษัท ที่ทำการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล ประกอบด้วยโรงงานที่ทำการผลิตน้ำตาล 5 โรงงาน ซึ่งได้แก่
- โรงงานน้ำตาล MP ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองมะค่าโมง อำเภอด่านช้าง จังหวัดสุพรรณบุรี
- โรงงานน้ำตาล MK ตั้งอยู่ที่ ตำบลสมสะอาด อำเภอกุฉินารายณ์ จังหวัดกาฬสินธุ์
- โรงงานน้ำตาล UF ตั้งอยู่ที่ ตำบลโคกสะอาด อำเภอภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ
- โรงงานน้ำตาล UP ตั้งอยู่ที่ ตำบลหนองเรือ อำเภอหนองเรือ จังหวัดขอนแก่น
- โรงงานน้ำตาล SB ตั้งอยู่ที่ ตำบลไม้ดัด อำเภอบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี
เนื่องจากธุรกิจน้ำตาลทราย เป็นธุรกิจที่มีความจำเป็นต้องตั้งโรงงานในการผลิตใกล้แหล่งวัตถุดิบ ซึ่งบริษัทน้ำตาลอิสระ มีโรงงานผลิตน้ำตาลทรายมากถึง 5 โรงงาน อีกทั้งบริษัทน้ำตาลอิสระ เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายรายใหญ่ของประเทศไทย ทำให้มีลูกค้ากระจายอยู่ทุกภูมิภาคในประเทศ ซึ่งพบว่าต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ราคาจำหน่ายน้ำตาลภายในประเทศ กลับเป็นราคาควบคุมซึ่งกำหนดโดยรัฐบาล ทำให้ไม่สามารถปรับราคาขายให้สูงขึ้นตามต้นทุนการผลิตและจำหน่ายได้ จากปัญหาดังกล่าวการจัดกลุ่มลูกค้าให้เหมาะสมกับโรงงานที่ผลิตน้ำตาล จึงนับว่าเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญและบ่งบอกได้ถึงประสิทธิภาพในกระบวนการส่งมอบน้ำตาลให้กับลูกค้าซึ่งถือว่าเป็นภารกิจหลักที่สำคัญของบริษัท
การศึกษาในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาระบบการส่งมอบน้ำตาลให้กับลูกค้าในปัจจุบัน ค้นหาปัจจัยสำคัญที่ทำให้การขนส่งไม่มีประสิทธิภาพ ลดระยะเวลาการส่งมอบให้กับลูกค้า เพิ่มผลกำไรจากการดำเนินงานให้กับบริษัท สร้างต้นแบบการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้า และพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้มีการส่งมอบน้ำตาลมีประสิทธิภาพสูงสุด
ณกร อินทร์พยุง (2541) [3] แบบจำลองการเลือกพาหนะสำหรับการขนส่งสินค้า กรณีศึกษา การขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพมหานคร และภาคตะวันออก ของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ สำหรับใช้พยากรณ์พฤติกรรม การเลือกพาหนะในการขนส่งสินค้าของบริษัท ในพื้นที่การขนส่ง สินค้าระหว่างกรุงเทพมหานคร และภาคตะวันออกของประเทศไทย ในการศึกษาได้สำรวจบริษัทขนส่งสินค้าจำนวน 113 บริษัท ซึ่งขนส่งสินค้าที่สำคัญ 5 ประเภทได้แก่ ข้าว หินดินทราย ปูนซีเมนต์ น้ำมัน และคอนเทนเนอร์ เพื่อวิเคราะห์ถึงปริมาณการขนส่งสินค้าและวิเคราะห์ถึงตัวแปรที่มีผลต่อการตัดสินใจ ของบริษัทในการเลือกพาหนะในการขนส่งสินค้าซึ่งได้แก่ รถบรรทุก รถไฟและเรือ ผลจากการศึกษาพบว่า ตัวแปร ที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกพาหนะในการขนส่งสินค้าของบริษัท คือ กำลังการผลิต ระยะทางจากบริษัทไปยังสถานีขนส่งสินค้า จำนวนการเป็นเจ้าของรถบรรทุก ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้า เวลาในการขนส่งสินค้า และระดับการบริการสำหรับพาหนะแต่ละประเภท และผลจากการพัฒนาแบบจำลองพบว่า การ พยากรณ์การเลือกพาหนะสำหรับการขนส่งสินค้า สามารถทำได้โดยการใช้แบบจำลอง 2 แบบจำลองย่อย คือ 1) แบบจำลองจำแนกความสัมพันธ์ ใช้ในการพยากรณ์สัดส่วนสินค้า ของบริษัทที่จำเป็นต้องขนส่งสินค้าโดยพาหนะเพียงประเภทเดียว (Captive Firms) ซึ่งเป็นแบบจำลองที่มีความสัมพันธ์ ระหว่างปริมาณการขนส่งสินค้าด้วยรถบรรทุกซึ่งเป็นตัวแปรตามกับตัวแปรอิสระที่จำแนกออกเป็นหลายๆ ระดับ และ 2) แบบจำลอง Logic ใช้ในการพยากรณ์สัดส่วนสินค้า แยกตามพาหนะประเภทต่างๆ ในกรณีบริษัทที่มีการขนส่ง โดยพาหนะหลายประเภท (Non-Captive Firms) ซึ่ง เป็นแบบจำลองที่มีสมมุติฐานว่า บริษัทผู้ขนส่งสินค้าจะเลือกพาหนะที่ให้คุณประโยชน์สูงสุดท่ามกลางทางเลือกต่างๆ ที่มี ให้เลือก ผลจากการทดสอบแบบจำลองพบว่า แบบจำลองที่พัฒนาขึ้นสามารถพยากรณ์การเลือกพาหนะสำหรับการขนส่ง สินค้าต่างๆ ได้ในระดับความถูกต้องที่น่าพอใจ แบบจำลองดังกล่าวได้ถูกนำไปใช้ทดสอบผลกระทบของนโยบายด้านการขนส่งสินค้าบางประการ เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาระบบ การขนส่งสินค้าของประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
สญชัย เสงี่ยมวิบูล (2546) [1] ศึกษาการจำลองตัวแบบปัญหาการขนส่งในการจัดการโลจิสติกส์ และห่วงโซ่อุปทาน โดยมีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ เพื่อศึกษาหลักการเกี่ยวกับการจัดการโลจิสติกส์ และห่วงโซ่อุปทาน และเพื่อวิเคราะห์ต้นทุนค่าขนส่งรวม และปริมาณการกระจายสินค้าจากตัวแบบปัญหาการขนส่ง โดยการวิเคราะห์ต้นทุนค่าขนส่งรวม และปริมาณการกระจายสินค้า เป็นการศึกษาในส่วนที่เป็นกรณีของประมาณสินค้าที่จุดต้นทางรวมกันต้องเท่ากับปริมาณที่จุดปลายทางรวมกัน จากตัวแบบปัญหาการขนส่งมีการจำลองตัวแบบจากกรณีศึกษา เพื่อไปใช้ในการวิเคราะห์ คือ มีโรงงานอยู่ 3 แห่ง ต้องการขนส่งสินค้าไปยังศูนย์กระจายที่มีอยู่ 4 แห่ง โดยต้องการหาวิธีที่ทำให้ต้นทุนค่าขนส่งรวมต่ำที่สุด ซึ่งมีวิธีการวิเคราะห์เพื่อหาคำตอบเริ่มต้นอยู่ 3 วิธี คือ วิธี Northwest Corner , วิธี Least Cost และ วิธี VAM (Vogel’s Approximation Method) แล้วนำคำตอบที่ได้มาเปรียบเทียบเพื่อหาวิธีที่ให้ต้นทุนต่ำกว่า แล้วนำไปทดสอบแล้วปรับปรุงด้วยวิธี MODI (Modified Distribution Method) เพื่อให้ได้วิธีที่ให้ต้นทุนต่ำที่สุด ผลจากการศึกษาพบว่า การวิเคราะห์หาคำตอบเริ่มต้นด้วยวิธี Least Cost และวิธี VAM จะให้ต้นทุนที่ต่ำกว่าวิธี Northwest Corner โดยคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์ด้วยวิธี Least Cost และวิธี VAM มีค่าเท่ากัน เมื่อนำไปทำการทดสอบ ด้วยวิธี MODI แล้วดัชนีปรับปรุงไม่ติดลบ แสดงว่าเป็นคำตอบที่ให้ต้นทุนต่ำที่สุด
อาภรณี โรจนวิสิษฎ์ และวันชัย รัตนวงษ์ (2549) [2] การปรับปรุงระบบการขนส่งของศูนย์ขนส่งในภูมิภาค และศูนย์กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหาสถานที่ในการตั้งศูนย์กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่เหมาะสม และหาวิธีปรับปรุงระบบการขนส่งในภูมิภาคเพื่อให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยการศึกษาดังกล่าว ได้นำระเบียบวิธีการศึกษา คือ การศึกษาข้อมูลปฐมภูมิ และข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิได้ทำการสัมภาษณ์ผู้บริหารในบริษัทฯ และการศึกษาข้อมูลทุติยภูมิได้ทำการรวบรวมและเก็บข้อมูลจากเอกสารที่เกี่ยวข้องในบริษัทฯ จากการศึกษา เขตการตลาดที่ 3 มียอดจำหน่ายสินค้าประเภทเบียร์ จำนวน 10,883,658 กล่องต่อปี คิดเป็น 39% ของยอดจำหน่ายของภาคตะวันออกฉียงเหนือ ทำให้ต้องมีการขนส่งสินค้าเป็นจำนวนมาก และพบว่าบริษัทฯมีปัญหาเกี่ยวกับการขนส่งที่เกิดขึ้นเป็นประจำ ในเรื่องของการขนส่งสินค้าได้ไม่ทันตามความต้องการของลูกค้า เนื่องจากรถบรรทุกสินค้าของศูนย์ขนส่งมีจำนวน 150 คัน สามารถแบ่งได้คือ รถบรรทุก 10 ล้อ 100 คัน และรถบรรทุก 18 ล้อ 50 คัน ซึ่งไม่เพียงพอต่อการขนส่งสินค้า และรถบรรทุกมีการใช้งานอยู่ตลอดเวลา มีอายุการใช้งานมาก ซึ่งถ้ามีการชำรุดต้องหยุดซ่อมแซม จะไม่มีรถบรรทุกสำรองในการขนส่งสินค้าทดแทน จึงทำให้เกิดปัญหาการขนส่งเป็นลูกโซ่อย่างต่อเนื่อง ดังนั้น กรณีศึกษานี้ได้นำเสนอการตั้งศูนย์กระจายสินค้า ซึ่งจากเดิมบริษัทฯมีค่าใช้จ่าย 4,449,216 บาทต่อปี เมื่อได้ทำการศึกษาโดยการนำวิธีการประเมินปัจจัย (Factor Rating Method) มาใช้ในการตัดสินใจเลือกทำเล และสถานที่ตั้งศูนย์กระจายสินค้า ทำให้มีค่าใช้จ่ายลดลง 3,123,216 บาทต่อปี คิดเป็น 13% ของค่าใช้จ่ายในการเช่าคลังสินค้า และในเรื่องปรับปรุงระบบการขนส่ง ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การตั้งศูนย์กระจายสินค้าเพียงแห่งเดียว และการลดระยะทางในการขนส่งสินค้า ทำให้สามารถลดระยะเวลาในการขนส่งสินค้าไปยังเขตการตลาดที่ 3 ได้ลงถึง 11 ชั่วโมง 21 นาที และมีอัตราการหมุนเวียนของรถบรรทุกเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 5 รอบต่อสัปดาห์ จึงทำให้เพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าของศูนย์ขนส่งจังหวัดกำแพงเพชรให้ดียิ่งขึ้นต่อไป
ผู้วิจัยได้ทำการรวบรวมข้อมูลการส่งมอบจากแหล่งต่างๆ ซึ่งสามารถสรุปลักษณะการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าได้ดังตารางที่ 1 และพบว่าโรงงานต้นทางที่ทำการผลิตน้ำตาลนั้น มีความสามารถในการผลิตน้ำตาลที่แตกต่างกันซึ่งสามารถสรุปได้ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 1 สรุปลักษณะการส่งมอบ และสถานที่ส่งมอบรายช่องทางการขาย
ตารางที่ 2 รายละเอียดชนิดน้ำตาล และขนาดบรรจุที่แต่ละโรงงานสามารถผลิตได้
ชนิดน้ำตาล |
ขนาดบรรจุ |
โรงงาน |
||||
โรงงานMP |
โรงงานSB |
โรงงานUF |
โรงงานUP |
โรงงานMK |
||
น้ำตาลทรายดิบ |
เทกอง |
|
|
|
|
|
น้ำตาลทรายดิบไฮโพล์ |
50 กิโลกรัม |
|
|
|
|
|
น้ำตาลทรายขาว |
เทกอง |
|
|
|
|
|
1 ตัน |
|
|
|
|
|
|
50 กิโลกรัม |
|
|
|
|
|
|
น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ |
1 ตัน |
|
|
|
|
|
50 กิโลกรัม |
|
|
|
|
|
|
น้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์พิเศษ |
1 ตัน |
|
|
|
|
|
50 กิโลกรัม |
|
|
|
|
|
|
1 กิโลกรัม |
|
|
|
|
|
|
เล็กกว่า 1 กิโลกรัม |
|
|
|
|
|
จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์โดยใช้ แผนภูมิก้างปลา (Cause and Effect Diagram) จึงทำให้ทราบถึงสาเหตุที่ทำให้การส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าขาดประสิทธิภาพ ซึ่งสาเหตุด้านการจัดการเป็นสาเหตุที่สามารถควบคุมได้ จึงทำการแก้ไขดังนี้
เนื่องจากการจัดเส้นทางการส่งมอบในข้อ 3.1 นั้นมีความยุ่งยากในการทำงานเนื่องจากข้อมูลมีความซับซ้อนมาก ดังนั้นผู้วัจัยจึงทำการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อช่วยลดความยุ่งยากดังกล่าว โดยการใช้ Visual Basic For Application on Excel ในการพัฒนา โดย Add-ins ดังกล่าวมีลักษณะการทำงานดังนี้
ตรวจสอบเส้นทางที่เหมาะสม หน้าจอของ Add-ins รูปที่ 1 จะให้ผู้ใช้งานระบุรายละเอียดของจังหวัดปลายทางที่ลูกค้าต้องการให้ส่งสินค้าไปถึง และชนิดสินค้าที่ลูกค้าต้องการ หลังจากนั้นกดที่ปุ่ม Calculate เพื่อทำการค้นหาปลายทางที่เหมาะสมดังรูปที่ 2 โดยโปรแกรมจะหาโรงงานผลิตน้ำตาลที่เหมาะสมให้ 5 โรงงานซึ่งจะเรียงลำดับตามระยะทางที่สั้นที่สุด คือ Priority ที่1 จะหมายถึงระยะทางที่สั้นที่สุด จนถึง Priority ที่ 5 จะหมายถึงระยะทางที่ไกลที่สุด
รูปที่ 1 หน้าจอสำหรับการระบุรายละเอียดในการคำนวณ
รูปที่ 2 หน้าจอแสดงรายละเอียดหลังจากการคำนวณ
รูปที่ 3 ผลลัพธ์จากการใช้ Add-ins ในการตรวจสอบความถูกต้องของเส้นทาง
จากการศึกษาแนวทางการในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นโดยการจัดเส้นทางการขนส่งให้เหมาะสม ส่งผลให้ต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าลดลงโดย ภาคกลาง ต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาล ลดลง 22,601,689.28 บาท คิดเป็น 14.69 %, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาล ลดลง 213,272.65 บาท คิดเป็น 6.21 %, ภาคใต้ ต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาล ลดลง 207,503.49 บาท คิดเป็น 3.50 %, และภาคเหนือ ต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาล ลดลงน้อยที่สุด 520,754.54 บาท คิดเป็น 9.17 % เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมทั้งหมดสามารถลดต้นทุนในการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าได้ 23,543,279.97 บาท คิดเป็น 13.94 % ของต้นทุนการส่งมอบน้ำตาลทั้งประเทศ โดยสามารถสรุปได้ดังตารางที่ 3
ตารางที่ 3 การเปรียบเทียบต้นทุนการส่งมอบน้ำตาลก่อนและหลังการปรับปรุง
ภูมิภาค |
ก่อนการปรับปรุง |
หลังการปรับปรุง |
ลดลง (บาท) |
ลดลง % |
ภาคกลาง |
153,823,732.68 |
131,222,043.39 |
22,601,689.28 |
14.69% |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
3,435,427.92 |
3,222,155.27 |
213,272.65 |
6.21% |
ภาคใต้ |
5,932,595.07 |
5,725,091.57 |
207,503.49 |
3.50% |
ภาคเหนือ |
5,677,584.98 |
5,156,830.44 |
520,754.54 |
9.17% |
นอกจากนั้นผู้วิจัยยังศึกษาเพื่อลดระยะเวลาการส่งมอบให้กับลูกค้า จากตารางที่ 4 พบว่าภาคกลางใช้เวลาในการส่งมอบน้ำตาล ลดลงมากที่สุดถึง 31006.14 ชั่งโมง คิดเป็น 31% ภาคตะวันออกฉียงเหนือ ใช้เวลาในการส่งมอบน้ำตาล ลดลง 462.69 ชั่วโมง คิดเป็น 18.39 %, ภาคใต้ ใช้เวลาในการส่งมอบน้ำตาล ลดลง 230.40 ชั่วโมง คิดเป็น 4.16 %, และภาคเหนือ ใช้เวลาในการส่งมอบน้ำตาล ลดลงน้อยที่สุด 29.34 ชั่วโมง คิดเป็น 0.62 % เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมทั้งหมดสามารถลดระยะเวลาในการส่งมอบน้ำตาลไปยังลูกค้าได้ 31,728.57 ชั่วโมง คิดเป็น 28.12% ของเวลาในการส่งมอบน้ำตาลทั้งประเทศ โดยสามารถสรุปได้ดังตารางที่ 4
ตารางที่ 4 การเปรียบเทียบระยะเวลาการส่งมอบน้ำตาลก่อนและหลังการปรับปรุง
ภูมิภาค |
ก่อนการปรับปรุง |
หลังการปรับปรุง |
ลดลง (ชั่วโมง) |
ลดลง % |
ภาคกลาง |
100,033.48 |
69,027.34 |
31,006.14 |
31.00% |
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ |
2,515.76 |
2,053.07 |
462.69 |
18.39% |
ภาคใต้ |
5,539.74 |
5,309.33 |
230.40 |
4.16% |
ภาคเหนือ |
4,732.91 |
4,703.57 |
29.34 |
0.62% |
บรรณานุกรม
[1] สญชัย เสงี่ยมวิบลู, 2546 ศึกษาการจำลองตัวแบบปัญหาการขนส่งในการจัดการโลจิสติกส์ และห่วงโซ่อุปทาน. ขอนแก่น : วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยขอนแก่น
[2] อาภรณี โรจนวิสิษฎ์ และวันชัย รัตนวงษ์ 2549 การปรับปรุงระบบการขนส่งของศูนย์ขนส่งในภูมิภาค และศูนย์กระจายสินค้าในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย
[3] ณกร อินทร์พยุง, 2541 แบบจำลองการเลือกพาหนะสำหรับการขนส่งสินค้า กรณีศึกษา การขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพมหานคร และภาคตะวันออก ของประเทศไทย. กรุงเทพฯ : วิทยานิพนธ์ปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี
.
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
--------------------------------
ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT52 การวางแผนกลยุทธ์การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพกุญแจสำคัญสู่การเพิ่มกำไรผู้รับเหมาก่อสร้าง
ดร. พงษ์ธนา วณิชย์กอบจินดา
การก่อสร้างนั้นจัดได้ว่าเป็นการบริหารงานแบบโครงการซึ่งกำหนดระยะเวลาเริ่มต้นและมีจุดสิ้นสุดที่แน่นอน และมีช่วงเวลาในการดำเนินงานที่ยาวนาน อาจถึง 2 ถึง 3 ปี ซึ่งระยะเวลาที่ยาวนานดังกล่าวนั้นนับว่าเป็นอุปสรรคสำคัญในการสร้างผลกำไรของโครงการก่อสร้าง โดยทั่วไปในการบริหารก่อสร้างให้มีประสิทธิภาพ ผู้รับเหมานั้นมักคิดว่าการจัดการและควบคุมประสิทธิผลนั้นนับว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดของโครงการก่อสร้างที่จะส่งให้งานก่อสร้างนั้นสำเร็จตามกรอบระยะเวลา
อย่างไรก็ตามการจัดการและการควบคุมประสิทธิผลนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น และเป็นแค่ปัจจัยสำคัญภายในของการควบคุมภายในโครงการก่อสร้างเท่านั้นที่เป็นแค่กระบวนการสร้างผลิตผลภายในโดยมีปัจจัยเพียงแค่การควบคุมผลิตภาพของแรงงานก่อสร้าง พนักงาน และดำเนินงานให้เป็นไปตามข้อกำหนด และมาตรฐานเชิงวิศวกรรมเท่านั้น ซึ่งไม่ต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอก อันเนื่องมากปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งตัวแปรที่สำคัญที่จะมีอิทธิพลต่อความสามารถในการสร้างผลกำไรหรืออาจทำให้โครงการก่อสร้างนั้นขาดทุนนั้นก็คือ การวางแผนการจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการจัดซื้อนั้นจะเผชิญกับการผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างตลอดระยะเวลาการก่อสร้างที่ยาวนาน รวมถึงปริมาณที่เหมาะสมกับการจัดซื้อ และการจัดส่ง เพื่อลดปัญหาด้านสินค้าคงคลัง ณ สถานที่ก่อสร้าง และเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่งวัตถุดิบแบบ Just in Time (JIT) และ การสร้างพันธมิตรกับ Suppliers ดังนั้นการวางกลยุทธ์การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพนั้นจะสามารถลดความเสี่ยงที่เกิดมาจากการผันผวนของราคา รวมถึงลดต้นทุนในการจัดเก็บ สร้างความพึงพอใจให้กับ End-User และเพิ่มประสิทธิภาพของโครงก่อสร้าง
ปัญหาและแนวทางการปรับปรุงประสิทธิภาพของการจัดซื้อ
ในการวิเคราะห์การจัดการระบบจัดซื้อของโครงการก่อสร้างนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ การวิเคราะห์ภายใน และการวิเคราะห์ภายนอก
1. การวิเคราะห์การจัดซื้อภายในโครงการและแนวทางปฏิบัติ
การจัดซื้อที่ขาดประสิทธิภาพมักจะมาจากการขาดนโยบาย ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อราคาและคุณภาพ และหลักการที่ชัดเจน การจัดซื้อที่ชัดเจนของ ผู้รับเหมา เจ้าของกิจการ หรือ ผู้จัดการโครงการ ในระบบการจัดซื้อดังที่ได้กล่าวในข้างต้นนั้นว่า ราคารวมวัสดุก่อสร้างนั้นขึ้นอยู่กับ Suppliers ทั้งขนาดความสามารถในการให้บริการของ Suppliers และระยะทางในการจัดส่งและให้บริการ รวมถึงปริมาณการสั่งซื้อซึ่งมีผลต่อราคาเป็นอย่างมาก ซึ่งผู้บริหารในโครงการก่อสร้างนั้นจะต้องมีนโยบายการจัดซื้อที่ชัดเจน มีขั้นตอนในการพิจารณาทั้งในด้านราคา การเปลี่ยนแปลงของราคา (ดังแสดงในแผนภาพที่ 1) ตำแหน่งที่ตั้งของ Suppliers (ดังแสดงในแผนภาพที่ 2) กลุ่มพื้นที่การให้บริการโครงการ (ลูกค้า) (ดังแสดงในแผนภาพที่ 3) ซึ่งตัวแปรเหล่านี้มันมีผลต่อการเลือก Suppliers และราคาวัสดุ อันจะมีผลต่อการสร้างกำไรของโครงการก่อสร้าง
แผนภาพที่ 1 การวิเคราะห์ และการติดตามการเปลี่ยนแปลงของราคา
แผนภาพที่ 2 การระบุต่ำแหน่ง Suppliers
แผนภาพที่ 3 การกำหนดขอบเขตการให้บริการ ต่อความสามารถการให้บริการของ suppliers
2. การวิเคราะห์การจัดซื้อภายนอกโครงการและแนวทางปฏิบัติ
แผนภาพที่ 4 กลยุทธ์การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพ
ในระบบการจัดซื้อในอุตสาหกรรมก่อสร้างโดยส่วนใหญ่ผู้รับเหมานั้น มักมองเพียงแค่เป็นการซื้อวัสดุมาก่อสร้างเพียงเพื่อให้โครงการบรรลุวัตถุประสงค์และด้วยราคาหรือต้นทุนที่ถูกที่สุดเท่านั้น แต่ในความเป็นหากผู้รับเหมาพิจารณาและวิเคราะห์การจัดซื้อในรูปแบบของระบบโซ่อุปทานจะพบว่า การจัดซื้อนั้นเป็นหน่วยงานเพียงหน่วยเดียวที่จะสามารถสร้างมูลค่าให้กับโครงการก่อสร้าง ได้แก่ การสร้างสรรค์ออกแบบ และพัฒนาผลิตภัณฑ์ (Product Design and Development) ซึ่งทั้งผู้รับเหมาและ Suppliers สามารถร่วมกันและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าร่วมกันเพื่อตรงกันกับความต้องการของลูกค้า
จากแผนภาพที่ 4 แสดงให้ ตารางส่วนบน แสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ในการจัดซื้อในการร่วมมือเป็นพันธมิตร โดยเฉพาะในกรณีที่มี Supplier หลายราย และสภาวะการแข่งขันของตลาดนั้นสูง ผู้รับเหมาสามารถร่วมมือกับ Suppliers นั้นในการออกแบบผลิตสำหรับโครงการนั้นโดยเฉพาะ และสามารถร่วมกันสร้างมูลค่าเพิ่มของสินค้านั้น ๆ เช่น ในการปัจจุบันความต้องการของคนยุคใหม่ในการอยู่คอนโดมิเนี่ยมสูงขึ้น มีคอนโดมิเนี่ยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งคอนโดมิเนี่ยมเป็นห้องชุดที่เป็นที่พักอาศัยที่มีพื้นใช้สอยจำกัดดังการออกแบบเฟอร์นิเจอร์นั้นมีความจำเป็นจะต้องกะทัดรัดมีที่เก็บเยอะ เช่น ชุดโซฟา โดยมีโต๊ะรับแขกที่สามารถปรับเป็นโต๊ะคอมพิวเตอร์ได้ และยังเป็นเฟอร์นิเจอร์ Built-in ที่ทำสำหรับโครงการโดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามกลยุทธ์นี้จะสำเร็จได้จะต้องอาศัยการสร้างร่วมมือ และมีการรับผลประโยชน์ร่วมกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในลักษณะของ การเป็น Partner หรือ Joint-Venture
เมื่อพิจารณาแผนภาพที่ ในส่วนล่างของตาราง การจัดซื้อนั้นจะเป็นการจัดซื้อสินค้าประเภท Low Value Added Purchasing ไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มจากวัตถุดิบหรือวัสดุนั้น ๆ ได้มาก ดังการเจรจาต่อรองจะเน้นในด้านของราคา ซึ่งก็หมายถึง เน้นไปยังการซื้อด้วยปริมาณมาก ๆ เพื่อต้องการส่วนลดของสินค้า และสั่งซื้อโดยใช้ Suppliers น้อยรายแต่เน้นที่ปริมาณ ซึ่งการจัดซื้อนั้นโดยเฉพาะในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ต้องการปริมาณจำนวนมาก ๆ ควรเน้นลักษณะความร่วมไปในลักษณะของ Consortium
จากที่กล่าวมานั้นแสดงให้เห็นว่ากลยุทธ์การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพ และมีการวางแผนอย่างถูกต้องนั้นจะสามารถสร้างผลกำไรให้กับผู้ประกอบการก่อสร้างได้
.
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
--------------------------------
ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT52 การศึกษาผลกระทบของการประสานงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการออกแบบต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทาน
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.สถาพร อมรสวัสดิ์วัฒนา
ประสิทธิภาพของโซ่อุปทานและการจัดการโซ่อุปทานที่เป็นระบบจัดว่าเป็นปัจจัยสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันขององค์กร ซึ่งโดยทั่วไปแล้วตัววัดประสิทธิภาพของโซ่อุปทานจะใช้ต้นทุน ความสามารถในการตอบสนองต่อลูกค้า และเวลาในการดำเนินงาน เป็นตัวหลักในการวัดประสิทธิภาพของโซ่อุปทานของตนเอง และเทียบกับคู่แข่ง หรือค่าเฉลี่ยในอุตสาหกรรม
การใช้ต้นทุนในการวัดประสิทธิภาพของโซ่อุปทานนั้น ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายเนื่องจากสามารถนำไปใช้ได้ง่าย ไม่ซับซ้อน แต่อย่างไรก็ตามการวัดประสิทธิภาพของโซ่อุปทานโดยใช้ต้นทุนเป็นตัววัด อาจไม่สะท้อนถึงเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ขององค์กรได้ ดังนั้นตัววัดประสิทธิภาพของโซ่อุปทานอื่นๆ ที่บริษัทและองค์กรควรคำนึงถึงซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณานั้น ได้แก่ ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และ ผลลัพธ์จากการดำเนินงาน ซึ่งรายละเอียดของตัววัดประสิทธิภาพทั้ง 3 ตัวนี้ มีดังนี้
ต่อไปเราจะลงในรายละเอียดว่า บริษัทและองค์ทั่วไปจะทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพของโซ่อุปทานเพิ่มสูงขึ้นได้อย่างไร
การบูรณาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในโซ่อุปทาน
จากการศึกษาและวิจัยต่างๆ พบว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทานที่สำคัญนั้นคือ การบูรณาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลในโซ่อุปทาน เมื่อระดับการแลกเปลี่ยนข้อมูลของสมาชิกในโซ่อุปทานนั้นสูงขึ้น ผลสำเร็จในบูรณาการระหว่างกันในโซ่อุปทานมากขึ้น จะทำให้องค์กรสามารถลดต้นทุน และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดได้ ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นหรือ ก็เพราะว่า การแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เช่น ข้อมูลการขาย สต็อคสินค้า การวางแผนการผลิต การวางแผนการจัดส่งร่วมกัน ทำให้สินค้าคงคลังในระบบโซ่อุปทานลดลง การพยากรณ์ความต้องการสินค้ามีความแม่นยำถูกต้องมากขึ้น คุณภาพตรงความต้องการร่วมกัน และทำให้ต้นทุนโดยรวมในระบบลดลงด้วย
การออกแบบโซ่อุปทาน
ปัจจัยถัดไปคือ การออกแบบโซ่อุปทานซึ่งปัจจัยที่สำคัญในการกำหนดประสิทธิภาพของโซ่อุปทาน เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องจำนวนซัพพลายเออร์ ระยะทางจากซัพพลายเออร์ถึงองค์กร ระดับความสัมพันธ์กับซัพพลายเออร์ การประเมินซัพพลายเออร์ เงื่อนไขของการทำสัญญา สถานที่ขององค์กร เป็นต้น
ในบทความนี้จะนำเสนอการศึกษาของปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทานจากงานวิจัยของ Bulent และ SeZen เพื่อเป็นแนวทางการออกแบบโซ่อุปทานขององค์กรหนึ่งๆ โดยการศึกษาดังกล่าวนี้ ได้ศึกษาผลของการบูรณาการโซ่อุปทาน (Supply chain integration) การแลกเปลี่ยนข้อมูลในโซ่อุปทาน (Supply chain information sharing) และการออกแบบโซ่อุปทาน (Supply chain design) ต่อประสิทธิภาพในโซ่อุปทาน (ยืดหยุ่นในการดำเนินงาน ประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร และ ผลลัพธ์จากการดำเนินงาน) ซึ่งแสดงได้รูปที่ 1
ที่มา: งานวิจัยเรื่อง “Relative effects of design, integration and information sharing on supply chain performance” โดย Bulent Sezen ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 13 เล่มที่ 3 ปี 2008 หน้า 233-240.
แผนภาพที่ 1 ปัจจัยที่มีผลต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทาน
การเก็บข้อมูล
ในการเก็บข้อมูลของการศึกษานี้ ได้มีการเก็บข้อมูลจากผู้ประกอบการจำนวน 125 รายในประเทศตุรกี โดยผู้ประกอบการเหล่านี้มีการผลิตสินค้าที่หลากหลายไม่ว่าจะเป็น อาหาร สิ่งทอ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์ อิเล็กทรอนิกส์ ในกลุ่มการศึกษานี้มีขนาดพนักงานในระดับที่แตกต่างกันซึ่งอยู่ในช่วง 3-10 คน 11-100 คน 101-500 คน และมากกว่า 500 คน มีจำนวนซัพพลายเออร์ในระดับที่แตกต่างกัน เช่น 1-2 ราย 3-10 ราย 11-30 ราย และมากกว่า 30 ราย โดยที่ข้อมูลของผู้ประกอบการสามารถสรุปได้ดังตารางที่ 1
ที่มา: งานวิจัยเรื่อง “Relative effects of design, integration and information sharing on supply chain performance” โดย Bulent Sezen ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 13 เล่มที่ 3 ปี 2008 หน้า 233-240.
ตารางที่ 1 สรุปข้อมูลที่ได้จากการเก็บแบบสอบถาม
ผลการศึกษา
ผลการศึกษาจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 125 ราย ดังกล่าวนี้ พบว่า ประสิทธิภาพของโซ่อุปทานขึ้นอยู่กับการออกแบบโซ่อุปทาน การบูรณาการ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันของสมาชิกในโซ่อุปทาน โดยการออกแบบโซ่อุปทานที่เหมาะสมส่งผลต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทาน มากกว่าการปบูรณาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน ผลการศึกษานี้บอกอะไรกับเรา
ผลการศึกษานี้บอกเราว่าถ้าเราต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในโซ่อุปทาน เราควรออกแบบโซ่อุปทานของเราให้มีประสิทธิภาพ ด้วยการกำหนดจำนวนของซัพพลายเออร์ให้เหมาะสม ทราบถึงความสามารถของซัพพลายเออร์ ออกแบบช่องทางการจัดจำหน่ายที่ดี เลือกสถานที่ตั้งในโซ่อุปทานอย่างมีกลยุทธ์ สิ่งเหล่านี้นำมาวิเคราะห์ให้เหมาะสมตรงกับความต้องการของลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้ลดต้นทุนด้านสินค้าคงคลัง การขนส่งและการดำเนินงานแก่โซ่อุปทาน และสามารถเพิ่มความสามารถการแข่งขันให้กับองค์กรได้อีกด้วย
สำหรับบทบาทของการบูรณาการและแลกเปลี่ยนข้อมูลนั้น จากการศึกษานี้พบว่า มีความสำคัญต่อการสร้างความยืดหยุ่นให้กับองค์กรอย่างมาก ซึ่งหมายความว่า ยิ่งมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลยิ่งมากในโซ่อุปทาน จะทำให้เวลาการตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงยิ่งสั้นลง โซ่อุปทานมีการตอบสนองที่ดีมากขึ้น
ดังนั้นผลสรุปจากการศึกษานี้ได้ว่าถ้าองค์กรใดๆ ก็ตามที่อยากมีประสิทธิภาพโซ่อุปทานที่ดี องค์กรนั้นๆ ควรให้ความสำคัญของการออกแบบโซ่อุปทาน การบูรณาการและการแลกเปลี่ยนข้อมูลกันในโซ่อุปทาน องค์กรนั้นก็จะสามารถลดต้นทุน มีความยืดหยุ่นในการทำงาน สามารถตอบสนองลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ทำให้สร้างความได้เปรียบการแข่งขันแก่องค์กร
ที่มา: งานวิจัยเรื่อง “Relative effects of design, integration and information sharing on supply chain performance” โดย Bulent Sezen ในวารสาร Supply Chain Management: An International Journal ฉบับที่ 13 เล่มที่ 3 ปี 2008 หน้า 233-240.
.
สนใจบทความฉบับสมบูรณ์เพิ่มเติม ดาวน์โหลดที่เอกสารแนบด้านล่าง
--------------------------------
ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward