-------------------------------------
lm การบริหารจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) รวมข้อมูล
-------------------------------------
iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
CT54 วางแผนวัสดุคงคลัง (Inventory planning) ด้วยการสร้างสมดุลในซัพพลายเชน (Demand supply balance)
ลิขสิทธิ์ สำนักโลจิสติกส์
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ปัญหาสินค้าสำเร็จรูปขาดมือ (Inventory Out of Stock) นับเป็นปัญหาที่องค์กรหรือสถานประกอบการหลายแห่งประสบบ่อยครั้ง สินค้าสำเร็จรูปขาดมือเกิดขึ้นเมื่อมีความต้องการสินค้าแต่ไม่มีสินค้าที่จะส่งมอบให้แก่ลูกค้า ส่งผลให้ขาดโอกาสในการขายสูญเสียโอกาสทำกำไร ความเชื่อมั่นของลูกค้าลดต่ำลง ในด้านต้นทุนที่เกิดขึ้นนั้น ได้แก่ การสูญเสียรายได้เนื่องจากลูกค้าไปซื้อที่อื่น หรืออาจจะเป็นค่าใช้จ่ายในการลดราคาสินค้าเพื่อจูงใจให้ลูกค้ารอสินค้า นอกจากนี้การสูญเสียความเชื่อใจ และความพึงพอใจของลูกค้า สามารถนับเป็นค่าใช้จ่ายเนื่องจาการขาดแคลนสินค้าได้ด้วย
การวางแผนวัสดุคงคลัง (Inventory planning) มีด้วยกันหลายวิธี สำหรับการสร้างสมดุลในซัพพลายเชน (Demand supply balance) เป็นวิธีหนึ่งที่นำมาช่วยในการวางแผนวัสดุคงคลัง
Demand supply balance เป็นวิธีการคำนวณขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเป็นกรอบของการวางแผนที่ทำให้มองเห็นภาพรวมของการจัดการซัพพลายเชน ได้แก่ ปริมาณนำออกจากระบบ ปริมาณที่นำเข้ามาในระบบ และปริมาณที่คงเหลืออยู่ในระบบ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งของการวางแผน สถานประกอบการควรจัดทำตาราง Demand supply balance ในหลายรูปแบบ ดังตัวอย่างที่แสดงในตารางที่ 1 ถึงตาราง 5
ตารางที่ 1 Demand Supply Balance ของผลิตภัณฑ์เป็นรายปี
(ชิ้น) |
ต้นปี 2551 |
ขายปี 2551 |
ผลิตปี 2551 |
ต้นปี 2552 |
ขายปี 2552 |
ผลิตปี 2552 |
ต้นปี 2553 |
สินค้า ก |
500 |
(6,900) |
7,400 |
1,000 |
(7,500) |
7,300 |
800 |
สินค้า ข |
500 |
(700) |
1,000 |
800 |
(700) |
100 |
200 |
สินค้า ค |
1,200 |
(9,000) |
8,000 |
200 |
(10,000) |
12,000 |
2,200 |
ตารางที่ 2 Demand Supply Balance ของผลิตภัณฑ์เป็นรายไตรมาส
(ชิ้น) |
ต้น Q1 2553 |
ขาย Q1 2553 |
ผลิต Q1 2553 |
ต้น Q2 2553 |
ขาย Q2 2553 |
ผลิตQ2 2553 |
ต้น Q3 2553 |
สินค้า ก |
800 |
(2,000) |
2,000 |
800 |
(1,600) |
2,000 |
1,200 |
สินค้า ข |
200 |
(60) |
100 |
240 |
(60) |
100 |
280 |
สินค้า ค |
2,200 |
(800) |
500 |
1,900 |
(1,000) |
500 |
1,400 |
ตารางที่ 3 Demand Supply Balance ของผลิตภัณฑ์เป็นรายเดือน
(ชิ้น) |
ต้น ม.ค. 2553 |
ขาย ม.ค. 2553 |
ผลิต ม.ค. 2553 |
ต้น ก.พ. 2553 |
ขาย ก.พ. 2553 |
ผลิต ก.พ. 2553 |
ต้น มี.ค. 2553 |
สินค้า ก |
800 |
(650) |
700 |
850 |
(600) |
600 |
850 |
สินค้า ข |
200 |
(20) |
35 |
215 |
(20) |
30 |
225 |
สินค้า ค |
2,200 |
(300) |
200 |
2,100 |
(250) |
200 |
2,050 |
ตารางที่ 4 Demand Supply Balance ของผลิตภัณฑ์เป็นรายสัปดาห์
(ชิ้น) |
ต้น W1 2553 |
ขาย W1 2553 |
ผลิต W1 2553 |
ต้น W2 2553 |
ขาย W2 2553 |
ผลิตW2 2553 |
ต้น W3 2553 |
สินค้า ก |
800 |
(150) |
160 |
810 |
(150) |
160 |
820 |
สินค้า ข |
200 |
0 |
10 |
210 |
(8) |
10 |
212 |
สินค้า ค |
2,200 |
(70) |
50 |
2,180 |
(80) |
50 |
2,150 |
ตารางที่ 5 Demand Supply Balance ของผลิตภัณฑ์เป็นรายวัน
(ชิ้น) |
ต้น 1 ม.ค. 2553 |
ขาย 1 ม.ค. 2553 |
ผลิต 1 ม.ค. 2553 |
ต้น 2 ม.ค. 2553 |
ขาย 2 ม.ค. 2553 |
ผลิต 2 ม.ค. 2553 |
ต้น 3 ม.ค. 2553 |
สินค้า ก |
800 |
(30) |
30 |
800 |
(30) |
33 |
803 |
สินค้า ข |
200 |
0 |
2 |
202 |
0 |
2 |
204 |
สินค้า ค |
2,200 |
(15) |
15 |
2,200 |
(18) |
15 |
2,197 |
และยังอาจลงรายละเอียดต่อไปอีกเป็นรายชั่วโมง ถ้าหากว่าการจัดทำดังกล่าวก่อให้เกิดประโยชน์ในการติดตามความเคลื่อนไหวของสถานะสินค้าคงคลัง และควบคุมการจัดการการผลิตและโลจิสติกส์ได้ละเอียดยิ่งขึ้น
นอกจากผลิตภัณฑ์หรือสินค้าสำเร็จรูปแล้ว ยังสามารถจัดทำ Demand supply balance ของวัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ อะไหล่ วัสดุทุกอย่างที่ต้องการการวางแผนซัพพลายเชน รูปแบบของการทำ Demand supply balance จะเหมือนกับผลิตภัณฑ์ แต่ตัวแปรที่นำเข้ามาในระบบ และนำออกจากระบบจะเปลี่ยนไป กล่าวคือการนำเข้าระบบมักเป็นการซื้อเข้า การนำออกจากระบบคือการนำไปใช้ ดังตัวอย่างในตารางที่ 6
ตารางที่ 6 Demand Supply Balance ของวัตถุดิบเป็นรายเดือน
(ชิ้น) |
ต้น ม.ค. 2553 |
ใช้ไป ม.ค. 2553 |
ซื้อ ม.ค. 2553 |
ต้น ก.พ. 2553 |
ใช้ไป ก.พ. 2553 |
ซื้อ ก.พ. 2553 |
ต้น มี.ค. 2553 |
วัตถุดิบ ก |
700 |
(600) |
700 |
800 |
(600) |
0 |
200 |
วัตถุดิบ ข |
500 |
(400) |
350 |
450 |
(400) |
400 |
450 |
วัตถุดิบ ค |
300 |
(150) |
200 |
350 |
(150) |
200 |
400 |
การจัดทำ Demand supply balance ทำให้สามารถมองเห็นสถานะและการเคลื่อนไหวของสินค้าหรือวัตถุดิบคงเหลือในระบบในแต่ละงวดเวลา ซึ่งเป็นผลจากการนำเข้าและจ่ายออกจากระบบ คำว่าระบบในที่นี้ อาจหมายถึง สินค้าคงคลังทั้งหมดของสถานประกอบการ หรือหน่วยผลิตหนึ่ง ๆ หรือคลังสินค้าหนึ่ง ๆ หรือคลังวัตถุดิบหนึ่ง ๆ ก็ได้
สมการในการทำ Demand Supply Balance ของผลิตภัณฑ์ คือ
ต้นงวด + ผลิต – ขาย = ปลายงวด
หรือ ต้นงวด + ผลิต = ปลายงวด + ขาย
ผลิต = (ปลายงวด – ต้นงวด) + ขาย
จากสมการ Demand supply balance ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า เวลาต้องการตัดสินใจว่าควรจะผลิตสินค้าเท่าไร ก็ต้องพิจารณาจากปริมาณที่ต้องการขาย ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสินค้าคงคลังด้วยเสมอ สมการอย่างง่ายที่มีการคำนวณเพียงบวกและลบเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง หลาย ๆ สถานประกอบการยังไม่ได้จัดทำ Demand supply balance เพื่อการวางแผนการผลิตและแผนสินค้าคงคลังปลายงวดอย่างเหมาะสม
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT54 เวลานำ (Lead Time) กับการวางแผน
ลิขสิทธิ์ สำนักโลจิสติกส์
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ตัวชี้วัดนี้เป็นตัวชี้วัดที่ทำได้ยาก เนื่องจากต้องประกอบไปด้วยองค์ประกอบ 2 อย่างด้วยกัน คือ ถูกจำนวน และถูกเวลา ปัญหาที่พบส่วนใหญ่ คือ การรับปากลูกค้าว่าจะส่งให้ในวันที่ xx โดยปราศจากข้อมูล และในที่สุดทำให้ไม่สามารถเติมเต็มคำสั่งได้ ทั้งในด้านจำนวน และเวลา แต่สำหรับในบริษัทชั้นนำระดับโลกมีการวัดอีกตัวชี้วัดหนึ่ง ซึ่งยากกว่า DIFOT คือ การตอบสนองคำสั่งซื้อของลูกค้าทุกประการ (Perfect Order) ที่เป็นการวัดความสามารถในการตอบสนองคำสั่งซื้อของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ทุกประการ จากความสามารถในการส่งมอบชนิดสินค้าและปริมาณที่ถูกต้อง สินค้าอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ตามที่กำหนด จัดส่งถึงสถานที่ลูกค้ากำหนดภายในเวลาที่ต้องการ พร้อมเอกสารกำกับให้ลูกค้าถูกต้อง ครบถ้วน ทั้งข้อมูลลูกค้า ราคา ปริมาณ
การตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบ (Perfect Order) ต้องไม่มีรายการใดนำกลับมาทำซ้ำอีก การวัดความสามารถในการตอบสนองคำสั่งซื้อของลูกค้าได้อย่างสมบูรณ์ทุกประการหรือไม่ ต้องสามารถตอบสนองได้ทุกปัจจัย ได้แก่
|
ปัจจัยในการวัด |
ได้ |
ไม่ได้ |
1 |
จัดส่งสินค้าให้ลูกค้าชนิดเดียวกับที่ลูกค้าสั่ง |
ü |
|
2 |
จัดส่งสินค้าให้ลูกค้าตรงตามปริมาณที่ลูกค้าสั่ง |
ü |
|
3 |
จัดส่งสินค้าในสภาพที่สมบูรณ์ตามที่ลูกค้ากำหนด |
ü |
|
4 |
จัดส่งสินค้าให้ลูกค้า ณ สถานที่ที่ลูกค้ากำหนดได้อย่างถูกต้อง |
ü |
|
5 |
จัดส่งสินค้าให้ลูกค้าได้ทันเวลาที่กำหนด |
ü |
|
6 |
จัดส่งเอกสารครบถ้วนและมีข้อมูลที่ถูกต้องทุกประการ |
ü |
|
หากไม่สามารถตอบสนองได้ในข้อใดข้อหนึ่งของปัจจัยดังกล่าว จะไม่นับว่าสามารถตอบสนองคำสั่งซื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบ และหากต้องการวัดความสามารถในการส่งมอบสินค้าทั้งหมด ให้พิจารณาจากอัตราส่วนของจำนวนคำสั่งซื้อที่สามารถตอบสนองได้อย่างสมบูรณ์แบบเปรียบเทียบกับจำนวนคำสั่งซื้อทั้งหมด เช่น มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าทั้งหมด จำนวน 256 คำสั่งซื้อในเดือนกันยายน สถานประกอบการสามารถตอบสนองคำสั่งซื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบจำนวนทั้งสิ้น 248 คำสั่งซื้อ ดังนั้น ประสิทธิภาพในการตอบสนองคำสั่งซื้อได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่ากับ 248/256 = 98.88% เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนที่เราจะทำการรับปากลูกค้า หรือแม้แต่การวางแผน เราจะต้องเริ่มมาจาก
เมื่อมีคำถามกับผู้ประกอบการว่า Lead Time ในการสั่งซื้อวัตถุดิบเป็นเท่าไร บ่อยครั้งได้รับคำตอบเป็นข้อมูลตายตัว เช่น 7 วัน สำหรับการซื้อวัตถุดิบภายในประเทศ และ 60 วัน สำหรับการซื้อวัตถุดิบจากต่างประเทศ และเมื่อถามต่อไปว่าแล้วที่จริงเป็นเท่าไร เจ้าหน้าที่ทั้งฝ่ายแผนและฝ่ายจัดซื้อจะเริ่มไม่แน่ใจ เพราะเคยใช้ข้อมูล Lead Time ที่ 7 วัน กับ 60 วัน มาตลอดตั้งแต่เริ่มทำงานที่โรงงานแห่งนี้ ทั้งนี้เนื่องจากไม่เคยตรวจสอบข้อมูลการส่งมอบวัตถุดิบจากประวัติการสั่งซื้อที่ผ่านมา
ระยะเวลาการส่งมอบวัตถุดิบเป็นข้อมูลเฉพาะของผู้ขายแต่ละรายและสำหรับวัตถุดิบแต่ละชนิด ตัวอย่างตาราง Lead Time ของวัตถุดิบแต่ละชนิดและจากผู้ขายแต่ละแหล่งดังตาราง
ตารางที่แสดงตารางระยะเวลาส่งมอบวัตถุดิบ
|
ประเภทวัตถุดิบ |
แหล่งวัตถุดิบ |
จัดการคำสั่งซื้อ (วัน) |
เตรียมสินค้า (วัน) |
จัดส่งสินค้า (วัน) |
รับสินค้า
(วัน) |
รวมระยะ เวลาส่งมอบ (วัน) |
1 |
Make to Stock |
ในประเทศ |
1 |
1 |
1 |
1 |
4 |
2 |
Make to Stock |
จีน |
3 |
1 |
7 |
7 |
18 |
3 |
Make to Stock |
ยุโรป |
3 |
1 |
20 |
7 |
31 |
4 |
Make to Order |
ในประเทศ |
7 |
30 |
1 |
1 |
40 |
5 |
Make to Order |
จีน |
7 |
30 |
7 |
7 |
51 |
6 |
Make to Order |
ยุโรป |
7 |
30 |
20 |
7 |
64 |
ตารางดังกล่าวเป็นเพียงตัวอย่างวัตถุดิบ 2 ประเภท คือ ประเภท Make to Stock และประเภท Make to Order จากแหล่งต่างๆ 3 แหล่ง ยังมีความแตกต่างของ Lead Time ในแต่ละประเภทเนื่องจากองค์ประกอบของ Lead Time มีรายละเอียดที่แตกต่างกัน สถานประกอบการควรวิเคราะห์รายละเอียดของ Lead Time ดังกล่าวทุกรายการ เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการบริหารจัดการเรื่อง Lead Time และสามารถเข้าใจและจัดทำโครงการลด Lead Time ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หากจัดทำสถิติของ Lead Time ของวัตถุดิบดังกล่าว ถึงแม้จะเป็นวัตถุดิบชนิดเดียวกัน และถูกส่งมาจากผู้ขายรายเดียวกัน อาจมี Lead Time ไม่เท่ากันในแต่ละคำสั่งซื้อ จึงจำเป็นต้องทำการวิเคราะห์ทางสถิติของ Lead Time เพื่อศึกษาระยะเวลาสูงสุด ต่ำสุด เฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนการสั่งซื้อ นำมาใช้กำหนดปริมาณวัตถุดิบสำรอง และนำมาจัดทำแผนปรับปรุงประสิทธิภาพการส่งมอบวัตถุดิบ ตลอดจนแผนการลด Lead Time
ตัวอย่างการวางแผนการผลิตที่มี Lead Time นานๆ ได้แก่ อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มซึ่งมีขั้นตอนในกระบวนการซัพพลายเชนและการผลิตหลายขั้นตอน และใช้ระยะเวลาแต่ละขั้นตอนค่อนข้างมาก ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของผลิตภัณฑ์และขนาดคำสั่งซื้อของลูกค้า กระบวนการซัพพลายเชนและการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มมีความยืดหยุ่นต่ำ การปรับเปลี่ยนขั้นตอนการผลิตให้รวดเร็วขึ้นทำได้ยากเนื่องจากขั้นตอนต่างๆ ถูกกำหนดแน่นอนและมีความต่อเนื่องกัน ตัวอย่างโรงงานสิ่งทอแห่งหนึ่งอาจมีระยะเวลาในการส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้านานถึง 60 วัน โดยมีขั้นตอนการปฏิบัติงานตั้งแต่การวางแผนซัพพลายเชนและการผลิตตามชนิดของด้าย สี และแบบของผลิตภัณฑ์ตามรายละเอียดที่กำหนดในคำสั่งซื้อของลูกค้า การวางแผนการผลิตต้องวิเคราะห์ตารางการผลิตของเครื่องจักรเพื่อจัดสรรเวลาให้กับคำสั่งซื้อที่เข้ามาใหม่ จากนั้นเริ่มกระบวนการผลิตในขั้นตอนต่างๆ เช่น การกรอด้ายที่เป็นวัตถุดิบ นำด้ายมาฟอกและย้อมสีตามที่กำหนด ผ่านกระบวนการอบ สืบ เตรียมแบบ เตรียมขึ้นเครื่องทอ ทอ ตัด เย็บ ตรวจสอบสอบคุณภาพและแบ่งบรรจุผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
ระยะเวลาส่งมอบให้กับลูกค้า (Customer Order Lead Time) สำหรับการผลิตแบบ Make to Order อาจไม่ใช่ระยะเวลาที่ตายตัวเสมอไป เช่น ฝ่ายขายของสถานประกอบการหลายแห่งยังมองว่าการกำหนด Customer Lead Time ที่เป็นมาตรฐานทำให้เกิดความมั่นใจกับลูกค้าในการตอบรับคำสั่งซื้ออย่างรวดเร็ว บางสถานประกอบการถึงกับตั้งเป็นโปรแกรมมาตรฐานให้ตอบรับลูกค้าทันที เช่น กำหนดการส่งมอบสินค้า 3 สัปดาห์ เมื่อรับคำสั่งจากลูกค้ามาตอนต้นเดือน ระบบจะแจ้งฝ่ายขายทันทีว่าให้แจ้งลูกค้าว่าสามารถส่งสินค้าได้ในราวกลางเดือน เป็นต้น ทั้งที่ในความเป็นจริง ระยะเวลาการผลิตและระยะเวลาการส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าประกอบด้วยหลายตัวแปรที่ทำให้ระยะเวลาแต่ละขั้นตอนไม่เท่ากัน ที่สำคัญได้แก่ ระยะเวลารอคอยเครื่องจักรว่างเพราะกำลังผลิตให้คำสั่งซื้อก่อนหน้า ช่วงที่มีคำสั่งซื้อเข้ามากๆ ระยะเวลารอคอยเครื่องว่างจะนานขึ้น นอกจากนี้ยังมีระยะเวลาในการผลิตซึ่งจะแปรผันตามจำนวนที่สั่งและแบบที่ผลิต ดังตัวอย่างตารางจองเครื่องจักรของโรงงานทอผ้าขนหนูแห่งหนึ่งที่แสดงไว้ในตาราง
ตารางแสดงตัวอย่างตารางจองเครื่องจักรของโรงงานสิ่งทอ
ดังตารางแสดงตัวอย่าง หากมีลูกค้าติดต่อเข้ามาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2552 ฝ่ายโรงงานได้ตรวจสอบคำสั่งซื้อที่มีอยู่ในรายการที่ต้องผลิตทั้งหมด 8 รายการ ซึ่งได้ลงเวลาจองเครื่องจักรสำหรับผลิตไว้แล้วดังนี้ เครื่องทอที่หนึ่งถึงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ เครื่องทอที่สองถึงวันที่ 17 กุมภาพันธ์ เครื่องทอที่สามถึงวันที่ 31 มกราคม และเครื่องทอที่สี่ถึงวันที่ 23 มกราคม เมื่อพิจารณาจากสถานะของเครื่องทอแต่ละเครื่องแล้ว พบว่าเครื่องทอที่สี่สามารถนำเข้ามารับผลิตคำสั่งซื้อที่เข้ามาใหม่นี้ได้เร็วที่สุด และพิจารณาแล้วเครื่องทอที่สี่สามารถผลิตสินค้าตามคำสั่งซื้อได้ ดังนั้นจึงได้วิเคราะห์ระยะเวลาผลิตด้วยเครื่องทอที่สี่ตามคำสั่งซื้อใหม่นี้ พบว่าจะใช้เวลาผลิตจนถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ซึ่งต้องผ่านกระบวนการขั้นสุดท้ายอีก 3 วันและสามารถส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ซึ่งรวมระยะเวลาส่งมอบสินค้านับจากวันที่พิจารณาแผนดังกล่าว (24 ธันวาคม 2552) จนถึงวันที่กำหนดส่งมอบสินค้า (วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2553) รวมเป็นเวลาทั้งสิ้น 48 วัน
หากเปรียบเทียบสถานประกอบการที่ฝ่ายขายและฝ่ายผลิตทำแผนการผลิตร่วมกัน โดยมีตารางดังตัวอย่างเพื่อประกอบการตัดสินใจ มีการประสานงานเพื่อตอบรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าและกำหนดระยะเวลาส่งมอบสินค้าตามสถานะที่เป็นจริงของโรงงานผลิตดังกล่าว ย่อมมีประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานและมีความมั่นใจในการสื่อสารกับลูกค้าได้ดีกว่า สถานประกอบการที่ฝ่ายขายตั้งมาตรการตายตัวเรื่อง Customer Lead Time ว่าถ้าลูกค้าสั่งสินค้าเข้ามาให้แจ้งว่าใช้เวลาประมาณ 3 สัปดาห์จะได้สินค้า และให้รับปากลูกค้าที่สั่งซื้อเข้ามาเมื่อวันที่ 24 ธันวาคมว่าประมาณกลางเดือนมกราคมจะได้สินค้า จากนั้นจึงแจ้งมายังฝายผลิตมีลูกค้าจะส่งคำสั่งซื้อเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งรายการต้องการสินค้าวันที่ 15 มกราคมให้จัดการให้เรียบร้อยด้วย ฝ่ายผลิตรู้ทันทีว่าทำให้ไม่ทัน การดำเนินการของฝ่ายต่างๆ ที่มีความเข้าใจในคำว่า Lead Time แตกต่างกันดังตัวอย่างนี้ ทำให้เกิดปัญหา ในที่สุดไม่สามารถส่งมอบสินค้าให้ลูกค้าตามที่ได้รับปากไว้ได้
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรมในการดำเนินภารกิจที่สำคัญ 3 ด้านได้แก่ การบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรแร่ การพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมเป็นภารกิจใหม่ที่ได้รับมอบหมายตั้งแต่ปี 2549 เพื่อมุ่งส่งเสริมให้ภาคการผลิตมีการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม 4 ประเด็นหลักประกอบด้วย
(1) การเชื่อมโยงระหว่างองค์กรตลอดโซ่อุปทาน
(2) การปรับปรุงประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภายในองค์กร
(3) การพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์
(4) การสร้างปัจจัยเอื้อเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจของภาคอุตสาหกรรม
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ,มีดำเนินกิจกรรมสำคัญที่เป็นรูปธรรม เช่น การกำหนดและเผยแพร่วิธีการจัดการที่ดีที่สุด (Best Practice) การจัดทำตัวชี้วัดโลจิสติกส์ ได้แก่ ต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งแสดงในรูปของต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขายและดัชนีต้นทุนโลจิสติกส์ การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ในสถานประกอบการ โดยให้คำปรึกษาแนะนำให้สถานประกอบการมีการจัดการโลจิสติกส์ที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้แก่บุคลากรด้านโลจิสติกส์โดยการฝึกอบรมและดูงาน การเสริมศักยภาพผู้ว่างงานภายใต้โครงการต้นกล้าอาชีพ นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยดำเนินโครงการพัฒนาเนื้อหาและองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์อุตสาหกรรม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมสาขาเป้าหมาย เพื่อให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์ โดยผลผลิตประการหนึ่งของโครงการคือ การจัดทำบทความเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้แก่ http://logistics.dpim.go.th และ http://www.industry4u.com ในหัวข้อต่างๆ ได้แก่
(1) การกระจายสินค้า
(2) การปรับปรุงประสิทธิภาพในองค์กร
(3) ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพ
(4) Reverse Logistics
(5) Green Logistics
(6) สารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศ
(7) แนวคิดโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 80 บทความ โดยจัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
CT54 National Single Window กลยุทธ์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
CT54 วางแผนวัสดุคงคลัง (Inventory planning) ด้วยการสร้างสมดุลในซัพพลายเชน (Demand supply balance)
CT54 การพยากรณ์ (Forecasting) เพื่อการจัดการซัพพลายเชนขององค์กร
CT54 การจัดการข้อมูลวัสดุคงคลังให้มีความแม่นยำ
CT54 เวลานำ (Lead Time) กับการวางแผน
CT54 ต้นทุนสินค้าคงคลังต่ำ ไม่จำเป็นต้อง Zero Stock เสมอไป
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
Important Causes for Change in the Future / สาเหตุสำคัญที่ต้องมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต
ในอนาคตทุกกิจกรรม ทุกองค์กรต้องมีความสามารถในการปรับเปลี่ยนตัวเองที่รวดเร็ว เนื่องการการที่โลกของเรามีเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมากขึ้น ในอนาคตเริ่มมีการนำเอาทิศทางต่างๆ มาช่วยในการกำหนดอนาคตของตัวเอง โดยจะพบว่ามีการกล่าวถึง เมกะเทรนด์ (Mega Trends) กันมาก เรามาดูว่ามีเรื่องราวอะไรที่จะเป็นสาเหตุที่สำคัญที่จะทำให้องค์กรต้องปรับตัวเอง ก่อนที่จะตกยุคไป
เทรนด์ (Trends) คือ การนำข้อมูลเชิงสถิติมาวิเคราะห์แนวโน้มต่างๆ ทำนายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
เมกะเทรนด์ (Mega Trends) คือ ข้อมูลเชิงสถิติที่เกี่ยวข้องกับผู้คนระดับประเทศและระดับโลก เป็นแนวโน้มสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่มีผลต่อชีวิตของผู้คนส่วนใหญ่บนโลก โดยสิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นหรือการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้วสามารถกำหนดทิศทางหรือชี้นำอนาคตของผู้คนบนโลกได้ หากไม่ปรับเปลี่ยนตนเองให้สอดคล้องตามกระแสก็จะกลายเป็นคนตกยุค ผลกระทบของเมกะเทรนด์เป็นระบบกลไกที่เกิดขึ้นแล้ว จะส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่การดำเนินธุรกิจ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและการใช้ชีวิตของผู้คนบนโลก ซึ่งในอนาคตสิ่งต่างๆ จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกสบายให้กับผู้คนได้มากยิ่งขึ้น เมื่อความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ถูกพัฒนาขึ้นได้อย่างรวดเร็วแบบก้าวกระโดด ทั้งในด้านการผลิตและการให้บริการมีประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ก็เพื่อการตอบสนองต่อความต้องการและการสร้างความพึงพอใจ ให้กับความคาดหวังของผู้บริโภคที่มีเพิ่มสูงขึ้น ทิศทางการเปลี่ยนแปลงที่มีขนาดใหญ่ เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ด้านประชากร ทรัพยากร และเทคโนโลยี ที่เราควรสนใจให้ความสำคัญน่าจับตามองทิศทางที่จะเกิดขึ้นในอนาคต สิ่งเหล่านี้จะมีผลและอิทธิพลต่อการกำหนดการตลาดในอนาคต ประกอบด้วย
- การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค (Consumer Behavior Changes) โลกที่มีการแบ่งกลุ่มและเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ในอนาคตจะมีคนสูงอายุมากกว่า 1.4 พันล้านคนทั่วโลก ในอนาคต มนุษย์จะมีอายุยืนยาวตามความสามารถทางด้านสาธารณะสุขที่เจริญก้าวหน้า คนจะมีโอกาสที่จะมีอายุเกิน 100 ปีมากขึ้น ผู้คนจะมีโอกาสเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียมกันดีขึ้น นอกจากนี้ในสังคมยุคใหม่จะเต็มไปด้วยคนหลายเจเนอเรชัน ทางองค์การสหประชาชาติคาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปมากถึง 1.4 พันล้านคน หรือ 16.5% ของประชากรโลกทั้งหมด 8.4 พันล้านคน โดยคนรุ่นนี้จะเป็นกลุ่มเบบี้บูมที่เป็นผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมาก การเปลี่ยนแปลงอายุจะส่งผลต่อธุรกิจด้านอุตสาหกรรมและบริการ ทิศทางด้านการตลาดและแรงงานในอนาคต
- การเริ่มมีความร่วมมือในการทำธุรกิจ (Network Business) โลกไร้พรมแดนกระแสโลกาภิวัตน์ มีอิทธิพลต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมายาวนานต่อเนื่อง การส่งออกจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือจีดีพี การรวมกลุ่มของประเทศในทางเศรษฐกิจจะมีมากขึ้นเช่น AEC APEC BRICS OPEC เป็นต้น
- การเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมโลก (Global Warming Concern) โลกมีปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้น Greening Economy ยุคเศรษฐกิจสีเขียว อนาคตธุรกิจต้องใส่ใจถึงผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายในการลงทุนลงได้อย่างเด่นชัด โลกเริ่มขาดแคลนทรัพยากรในอนาคตการขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติที่เริ่มลดน้อยลง เนื่องจากไม่สามารถที่จะมีการผลิตทดแทนไม่ได้ ในอนาคตจำนวนประชากรโลกจะพุ่งทะยานไปมากกว่า 8 พันล้านคน การเติบโตของชนชั้นกลางจะส่งผลให้ชุมชนกลายเป็นเมืองและเกิดการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว โลกจะมีคนเพิ่มมกาและต้องการที่อยู่อาศัยจะมีประชากรอยู่ในเขตเมืองมากกว่า 5 พันล้านคน โดยเฉพาะประชากรในทวีปแอฟริกาและเอเชีย ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของประชากร ต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าเดิมในทุกด้าน จนมีคำถามว่าเราจะมีทรัพยากรมากพอสำหรับความต้องการมหาศาลของโลกในอนาคต โลกอาจเสี่ยงต่อภาวะขาดแคลนน้ำ ไม่มีทรัพยากรเพื่อให้เพียงพอความต้องการ กว่าครึ่งหนึ่งของประชากรโลกจะอาศัยอยู่ในบริเวณที่มีทรัพยากรไม่เพียงพอโดยเฉพาะน้ำที่ใช้ในการบริโภคบางประเทศจะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำรุนแรง
- ความเจริญของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (New Information Technology & Communication) จากความเจริญก้าวหน้าเทคโนโลยีด้านไอที ทำให้ผู้ผลิตมีข้อมูลเชิงสถิติ เพื่อนำไปใช้ในการวิจัยและวิเคราะห์ความรู้สึกเชิงลึกของผู้บริโภคได้แม่นยำมากขึ้น ดังนั้นการตอบสนองผู้บริโภคที่มีความหลากหลายด้านความต้องการ จึงทำได้ดียิ่งขึ้น และนอกจากนี้ยังทำให้เกิดธุรกิจใหม่ๆมากมาย ตรงกันข้ามธุรกิจแบบเดิมๆ ก็จะได้รับผลกระทบและไม่สามารถแข่งขันได้ ธุรกิจที่กำลังทำอยู่จึงสิ้นสุดลงเช่น การพัฒนาฐานข้อมูลแบบอนาล็อกเป็นระบบดิจิตอล ซึ่งสามารถสื่อสารและการส่งข้อมูลในปริมาณมากๆ ในเวลาเพียงเสี่ยววินาที จึงส่งผลกระทบต่อธุรกิจบางอย่างได้ล่มสลายไปเช่น หนังสือนิตยสาร หนังสือที่เป็นรูปเล่ม หนังสือพิมพ์ วารสารต่างๆ จะเริ่มปิดตัว เพราะผู้บริโภคหันไปค้นคว้าหาข้อมูล ดูหนังสือ ชมบันเทิงทางอินเตอร์เน็ตมากยิ่งขึ้น
- การขนส่งที่มีมากขึ้นโลกไร้พรมแดนและมีขนาดเล็กลง (Facilitation for Transportation and Trade) โลกของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุค 4.0 เป็นการเปลี่ยนแปลงโลกที่มีมาก เทคโนโลยีล้ำสมัยอย่าง Nano Tech, Bio Tech, IoT และปัญญาประดิษฐ์ (AI) จะทำให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป มีการสร้างเครื่องมือเครื่องใช้เครื่องจักรเพื่อมาช่วยผ่อนแรงในการใช้ชีวิตหรือการผลิตมากขึ้น จะเป็นยุคที่เครื่องจักรและหุ่นยนต์ติดต่อสื่อสารสั่งงานกันได้เอง และสร้างระบบการผลิตเริ่มไม่ต้องมีการใช้แรงงานมนุษย์ เทคโนโลยีการพิมพ์สามมิติ จะผลิตสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเฉพาะกลุ่มในคราวเดียวหรือ Mass Customization ในแบบที่ Mass Production ทำไม่ได้ เครื่องจักรจะสร้างเครื่องจักรด้วยกันเอง และเป็นไปได้ว่าในอนาคตจะมีหุ่นยนต์ในการทำงานอุตสาหกรรมและในชีวิตประจำวันมากกว่าคน กิจกรรมและความเคลื่อนไหวบนโลกออฟไลน์จะถูกแปรเป็นโลกออนไลน์เป็นข้อมูลดิจิทัล ภาพเสมือนจริงจากเทคโนโลยี Virtual Reality จะทับซ้อนกับความเป็นจริงจนแทบแยกกันไม่ออก คนที่จัดการวิเคราะห์ข้อมูลบิ๊กดาต้าได้เหนือชั้นกว่า จะเป็นฝ่ายได้เปรียบในสมรภูมิทางการค้า ยานยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจะทำให้การขนส่งเดินทางและระบบโลจิสติกส์เป็นไปอย่างสะดวกราบรื่น อาจเรียกได้ว่านวนิยายวิทยาศาสตร์ที่ใครต่อใครต่างฝันถึงใกล้จะเป็นจริงในไม่ช้า แต่โลกอนาคตอันแสนสะดวกสบายอาจต้องแลกมาซึ่งภัยคุกคาม การก่อการร้ายรูปแบบใหม่ และการล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวโดยที่เราไม่รู้ตัว หรือแม้แต่ถูกหุ่นยนต์แย่งงานทำ
- กระแสในงานด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน (Logistics and Supply Chain Trends) ได้เข้ามามีส่วนในสังคมโลก ธุรกิจกำลังให้ความสนใจและมีความต้องการที่จะแลกเปลี่ยนความรู้กันมาก มีการพัฒนากระบวนการทำงานดีขึ้น และการเกิดนวัตกรรมใหม่ทางด้านโลจิสติกส์ มีการให้บริการส่งสินค้าแบบ Sharing Economy นอกจากนี้ยังมีนวัตกรรม การขนส่งสินค้าโดยใช้รถ Carpooling และหรือ Deliveroo บริการส่งอาหารถึงประตูบ้าน
โลกที่หมุนบนแกนของความยั่งยืนและความรับผิดชอบทางสังคม การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่โครงสร้างประชากร โลกาภิวัตน์ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศแบบสุดขั้ว การขาดแคลนทรัพยากร ความเท่าเทียมกันทางเพศ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การปฏิรูปการศึกษา สิ่งเหล่านี้นำไปสู่คำตอบที่ว่าการพัฒนาที่ยั่งยืนจะต้องครอบคลุมทั้งระดับสังคม เศรษฐกิจ และรัฐ/ประเทศ ขณะเดียวกันผู้บริโภคจะเรียกหาความเป็นธรรมมากขึ้น และยินดีสนับสนุนธุรกิจที่โปร่งใสและตรวจสอบได้ ไม่ว่าจะค้นคว้าข้อมูลเอง หรือทำงานร่วมกับผู้ผลิตท้องถิ่นโดยตรง ถ้าหากสินค้าและบริการมาจากการผลิตที่เอาเปรียบแรงงานและละเมิดสิทธิมนุษยชน ผู้บริโภคยุคใหม่ก็พร้อมจะตั้งคำถาม ตรวจสอบ ต่อต้าน หรือเลิกซื้อสินค้า/บริการแบรนด์นั้นๆ ทันที
ที่มา
-
รวมรวมข้อมูลภาพ
- www.iok2u.com
-------------------------------------
lm การบริหารจัดการโลจิสติกส์ (Logistics Management) รวมข้อมูล
-------------------------------------
KPI Warehousing Management การวัด KPI ในงานคลังสินค้า
KPIs หมายถึง ดัชนีตัวชี้วัดที่จะนำมาใช้ประเมินผลการปฏิบัติงาน สามารถวัดได้และแสดงบ่งชี้ถึงความสำเร็จของการดำเนินงาน การวัดผลที่ดีจะต้อง สามารถเฉพาะเจาะจงได้ สามารถทำการตรวจวัดได้ สามารถช่วยให้บรรลุผลสำเร็จของงานคลังสินค้าได้ มีข้อมูลที่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และมีระยะเวลาของการใช้งาน
KPI Warehousing Management การวัด KPI ในงานคลังสินค้า จะทำการวัดจากกิจกรรมที่มี ในงานคลังสินค้าได้แก่ การรับ การเก็บ การจัดเก็บ การหยิบ การจัดเรียง และการนำจ่ายหรือส่งออก โดยอาจเลือกทำการวัด KPI ในหลากหลายมิติเช่น ด้านการเงิน ศักยภาพประสิทธิภาพ คุณภาพของงาน รอบการจัดเก็บ
การกำหนดตัวชี้วัด (KPI) เป็นกลไกและเครื่องมือที่สำคัญทางด้านการจัดการ ที่จะใช้ช่วยในการติดตามประเมินผลการทำงาน เพื่อให้ได้ผลและนำการปฏิบัติไปสู้เป้าหมายได้ โดยจะอาศัยใช้การวัดหรือประเมิน (Measurement) มาช่วยทำให้องค์กรเกิดการประเมินที่มีความสอดคล้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีความสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร
----------------------------------------
@ ลงข้อมูล / เกียรติพงษ์ อุดมธนะธีระ
@ ที่มาข้อมูล
- Web: www.iok2u.com
เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward