iok2u.com แหล่งรวมข้อมูลข่าวสารเรื่องราวน่าสนใจเพื่อการศึกษาแลกเปลี่ยนและเรียนรู้
CT52 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ ได้รับมอบหมายจากกระทรวงอุตสาหกรรมในการดำเนินภารกิจที่สำคัญ 3 ด้านได้แก่ การบริหารจัดการการใช้ทรัพยากรแร่ การพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐาน และการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม ซึ่งในส่วนของการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรมเป็นภารกิจใหม่ที่ได้รับมอบหมายตั้งแต่ปี 2549 เพื่อมุ่งส่งเสริมให้ภาคการผลิตมีการจัดการโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ ด้วยการดำเนินการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาระบบโลจิสติกส์อุตสาหกรรม 4 ประเด็นหลักประกอบด้วย
(1) การเชื่อมโยงระหว่างองค์กรตลอดโซ่อุปทาน
(2) การปรับปรุงประสิทธิภาพโลจิสติกส์ภายในองค์กร
(3) การพัฒนาขีดความสามารถด้านโลจิสติกส์
(4) การสร้างปัจจัยเอื้อเพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจของภาคอุตสาหกรรม
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้ขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง ดำเนินกิจกรรมสำคัญที่เป็นรูปธรรม เช่น การกำหนดและเผยแพร่วิธีการจัดการที่ดีที่สุด (Best Practice) การจัดทำตัวชี้วัดโลจิสติกส์ ได้แก่ ต้นทุนโลจิสติกส์ ซึ่งแสดงในรูปของต้นทุนโลจิสติกส์ต่อยอดขายและดัชนีต้นทุนโลจิสติกส์ การกำหนดเกณฑ์มาตรฐานโลจิสติกส์ของอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมพื้นฐาน การเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการโลจิสติกส์ในสถานประกอบการ โดยให้คำปรึกษาแนะนำให้สถานประกอบการมีการจัดการโลจิสติกส์ที่ได้มาตรฐาน ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้แก่บุคลากรด้านโลจิสติกส์โดยการฝึกอบรมและดูงาน การเสริมศักยภาพผู้ว่างงานภายใต้โครงการต้นกล้าอาชีพ นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยดำเนินโครงการพัฒนาเนื้อหาและองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์อุตสาหกรรม พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมสาขาเป้าหมาย เพื่อให้มีการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านโลจิสติกส์ โดยผลผลิตประการหนึ่งของโครงการคือ การจัดทำบทความเพื่อเผยแพร่ในเว็บไซต์ของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ได้แก่ http://logistics.dpim.go.th และ http://www.industry4u.com ในหัวข้อต่างๆ ได้แก่
(1) การกระจายสินค้า
(2) การปรับปรุงประสิทธิภาพในองค์กร
(3) ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพ
(4) Reverse Logistics
(5) Green Logistics
(6) สารสนเทศและเทคโนโลยีสารสนเทศ
(7) แนวคิดโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
สนใจบทความคลิกดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT52 การจัดการระบบภายในคลังสินค้าน้ำมันหล่อลื่น กรณีศึกษาคลังน้ำมัน AAA
CT52 การจัดการโซ่อุปทานในประเทศจีน: กรณีของบริษัทมัตสึชิตะ (บทความปี 2552)
CT52 แนวทางการลดต้นทุนการก่อสร้างและรักษาสิ่งแวดล้อม “Recycle Construction & Demolition Waste”
CT52 การวางแผนกลยุทธ์การจัดซื้อที่มีประสิทธิภาพกุญแจสำคัญสู่การเพิ่มกำไรผู้รับเหมาก่อสร้าง
CT52 การดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ย้อนกลับของอุตสาหกรรม
CT52 การเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบน้ำตาลให้กับลูกค้ากรณีศึกษา บริษัท น้ำตาลอิสระ จำกัด
CT52 การศึกษาผลกระทบของการประสานงาน การแลกเปลี่ยนข้อมูลและการออกแบบต่อประสิทธิภาพของโซ่อุปทาน
CT52 การจัดการความเสี่ยงในโซ่อุปทาน
CT52 ระบบโซ่อุปทานรูปแบบใหม่ กรณีศึกษาของอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศบราซิล
CT52 ดัชนีชี้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานของอุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลในประเทศไทย
CT52 การเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการข้อมูลภาพถ่ายดาวเทียม กรณีศึกษา บริษัท TTT
CT52 การจัดการโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมปูนซิเมนต์
CT52 โซ่อุปทานที่เป็นเลิศเริ่มต้นจากการผสมผสานที่ลงตัว
CT52 รู้จักระบบโลจิสติกส์ทั่วโลกเพื่อมุ่งสู่ตลาดสากล
--------------------------------
ดูบทความอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจจำนวน 15 บทความ จัดทำเป็นรูปเล่ม เพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2552
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT54 National Single Window กลยุทธ์เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
ลิขสิทธิ์ © พ.ศ.2551 กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ในกระบวนการนำเข้าส่งออกสินค้าและวัตถุดิบ ผู้ประกอบการต้องประสบปัญหาด้านเอกสารประกอบการขออนุญาต เนื่องจากมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกหลายหน่วยงาน และในขั้นตอนการยื่นคำขอยังต้องใช้ระบบเอกสารหลักฐานตามที่กฎระเบียบกำหนด รวมทั้งมีความซ้ำซ้อนของเอกสารที่ต้องแนบเพื่อยื่นให้หน่วยงานต่างๆ ทำให้ต้องใช้เวลาหลายวันในการเตรียมเอกสารจำนวนมาก ส่งผลให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย และมีต้นทุนสูง
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าส่งออกสินค้าและวัตถุดิบจึงได้นำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) ด้านโลจิสติกส์ที่ทันสมัยมาใช้ในการบริหารจัดการข้อมูลและเอกสารนำเข้าส่งออกในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Logistics) เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ผู้ประกอบการ เช่น ใบอนุญาตอิเล็กทรอนิกส์ (e-Licensing) หรือใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์ (e-Certificate) เป็นต้น ซึ่งเอกสารอิเล็กทรอนิกส์สามารถเชื่อมโยง แลกเปลี่ยน และใช้ร่วมกันได้ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยระบบ e-Logistics ของแต่ละหน่วยงานที่จะสามารถเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลกันได้ต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน อาทิเช่น มาตรฐาน ebXML เป็นต้น และต้องมีระบบกลางเพื่อเชื่อมโยงการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานให้เป็นแบบอัตโนมัติ ซึ่งระบบที่ว่าก็คือระบบ Single Window
1. หลักการของระบบ Single Window
ระบบ Single Window คือ ระบบที่เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงแลกเปลี่ยนข้อมูลเอกสารทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนำเข้าส่งออกสินค้า ซึ่งมีหลักการดังนี้
- ยื่นคำขอ (Centralized e-Form) ผ่านหน้าต่างบริการจากจุดเดียว (Single Window Entry)
- กรอกข้อมูลและแนบเอกสารที่เกี่ยวข้องตามข้อกำหนดเพียงครั้งเดียว
- เชื่อมโยงและแลกเปลี่ยนข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นไปโดยอัตโนมัติภายใต้มาตรฐานเดียวกัน
ด้วยระบบ Single Window ผู้ประกอบการจะได้รับบริการที่สะดวก รวดเร็ว โดยสามารถยื่นคำขอ เอกสาร หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องผ่านหน้าต่างบริการทางเครือข่ายอินเตอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ แทนการเดินทางไปติดต่อหน่วยงานต่างๆด้วยตัวเอง ระบบจะทำการรับส่งข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้มาตรฐานเดียวกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยอัตโนมัติ ทำการตรวจสอบเอกสารต่างๆ แล้วส่งข้อมูลให้กรมศุลกากรเพื่อการตัดสินใจในการตรวจปล่อยสินค้า ส่งผลให้ขั้นตอน ระยะเวลาและค่าใช้จ่ายที่ใช้ในกระบวนการเอกสารนำเข้าส่งออกของผู้ประกอบการลดลง นอกจากนี้การกรอกข้อมูล และการแนบเอกสารจะกระทำเพียงครั้งเดียว ทำให้ความผิดพลาดในการกรอกข้อมูลของผู้ประกอบการลดลง
รูปที่ 1 หลักการของระบบ Single Window
ที่มา UNDP‐UNESCAP Regional Consultation on issues in Trade Facilitation and Human Development, 2005
2. ประเทศไทยกับการพัฒนาระบบ National Single Window (NSW)
การพัฒนาระบบ National Single Window เพื่อการเชื่อมโยงข้อมูลใบอนุญาตและใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์สำหรับการนำเข้าส่งออกในประเทศไทย เกิดขึ้นเมื่อผู้ประกอบการภาคเอกชนประสบปัญหาด้านเอกสารประกอบการขออนุญาตนำเข้าส่งออกสินค้าและวัตถุดิบ เช่น ความซ้ำซ้อนของเอกสารประกอบการขออนุญาตที่ต้องยื่นให้แต่ละหน่วยงาน ความซ้ำซ้อนของข้อมูลในแบบฟอร์ม หรือจำนวนของแบบฟอร์มที่ต้องกรอก เป็นต้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องใช้เวลาในการเตรียมเอกสารนาน และมีต้นทุนสูง ซึ่งจำนวนของเอกสารส่งผลให้เกิดความผิดพลาดได้ง่าย
จากการศึกษาโดย สมนึก คีรีโต พบว่ามีหน่วยงานภาครัฐ 29 หน่วยงาน และภาคเอกชน 8 กลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องในกระบวนการนำเข้าส่งออกในประเทศไทย มีเอกสารกว่า 40 แบบฟอร์ม มีข้อมูลที่ต้องกรอกกว่า 200 รายการข้อมูล ผู้ประกอบการต้องกรอกรายการข้อมูลซ้ำเดิมประมาณ 60-70% และเอกสารส่วนใหญ่เป็นแบบฟอร์มกระดาษ
รูปที่ 2 ปัญหาการนำเข้าส่งออกของประเทศไทย
ที่มา ดร.สมนึก คีรีโต, เอกสารการบรรยาย ICT Competency Development for Data Harmonization Seminar, 31 ก.ค.-1 ส.ค. 2551
จากการศึกษาของ UNECE พบว่า เวลาที่ใช้ในการดำเนินการเพื่อการส่งออกของประเทศไทยในปี 2550 ใช้เวลา 17 วัน เป็นกิจกรรมเตรียมเอกสารถึง 9 วัน มีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้น 240 เหรียญสหรัฐ ในขณะที่ประเทศเยอรมนีใช้เวลาเตรียมเอกสาร 3 วัน และมีค่าใช้จ่ายเพียง 85 เหรียญสหรัฐ
---------------------------------------------------------
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT54 CT54 การจัดการข้อมูลวัสดุคงคลังให้มีความแม่นยำ
ลิขสิทธิ์ สำนักโลจิสติกส์
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
หลายโรงงานมักมีปัญหาเรื่องสต็อก เช่น ในบันทึกลงว่ามีวัตถุดิบ A 200 ชิ้น และในการผลิตต้องการ 180 ชิ้น แต่เมื่อถึงเวลาเบิกของออกมาใช้ กลับพบว่าวัตถุดิบ A มีไม่ถึง 180 ชิ้นส่งผลให้แผนการผลิตที่วางไว้ต้องหยุดชะงัก แล้วลองนึกถึงโรงงานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีวัตถุดิบมากมายหลายชนิด และเมื่อผลิตเป็นสินค้ายังมีความแตกต่างกันมากเช่นกัน เช่น ท่อทองแดงซึ่งเป็นชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศ มีเส้นผ่าศูนย์กลางหลายขนาด ความยาวและลักษณะความโค้งงอของท่อหลายแบบ เป็นต้น นอกจากเครื่องปรับอากาศแล้ว เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์ เป็นต้น ยังมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์แต่ละรุ่น ซึ่งใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกันมากมาย ท่านคิดว่าความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการขาดความแม่นยำของสินค้าคงคลังจะมากแค่ไหน โดยเฉพาะสินค้าที่มีมูลค่าสูง และสินค้าที่กระบวนการผลิตเป็นแบบต่อเนื่อง ดังนั้นการบริหารจัดการวัตถุดิบจึงมีความสำคัญ
ตัวอย่างจากประสบการณ์ในสถานประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์พบปัญหา เช่น
แนวทางการจัดการข้อมูลสินค้าหรือวัตถุดิบคงคลังให้ถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น ได้แก่
สถานประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์มีวิธีการจัดการเพื่อเพิ่มความถูกต้องของข้อมูลสินค้าคงคลังโดยใช้ตัวชี้วัด Inventory Accuracy ในทุกรายการสินค้าและวัตถุดิบ ในระดับ SKU โดยการเปรียบเทียบข้อมูลสต็อกในระบบกับข้อมูลที่ทำการตรวจนับจริงด้วย Cycle Count ซึ่งข้อดี คือ สามารถแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับความผิดพลาดของสต็อกได้อย่างทันที สามารถนับสต็อกได้โดยไม่ต้องหยุดการผลิต สามารถขจัดปัญหาที่สาเหตุได้
ตัวอย่างการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าคงคลังของโรงงานผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าแห่งหนึ่ง รายละเอียดดังตาราง
ตารางแสดงตัวอย่างการเปรียบเทียบข้อมูลสินค้าคงคลัง นับเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2553
ลำดับที่ |
ชนิดของสินค้า |
ปริมาณจากระบบ j |
ปริมาณที่นับได้จริง k |
ความคลาดเคลื่อน (%) ABS((k-j)/k)x100 |
คะแนน เกณฑ์0% |
คะแนน เกณฑ์1% |
1 |
สินค้า A |
688 |
690 |
0.29 |
0 |
1 |
2 |
สินค้า B |
27 |
27 |
0 |
1 |
1 |
3 |
สินค้า C |
124 |
125 |
0.80 |
0 |
1 |
4 |
สินค้า D |
303 |
301 |
0.66 |
0 |
1 |
5 |
สินค้า E |
47 |
46 |
2.17 |
0 |
0 |
6 |
สินค้า F |
700 |
700 |
0 |
1 |
1 |
|
รวมคะแนน |
2 |
5 |
|||
|
คำนวณ % Inventory Accuracy |
33% |
83% |
หมายเหตุ
เกณฑ์ 0% หมายถึง ไม่ให้มีความคลาดเคลื่อนในข้อมูลเปรียบเทียบ
เกณฑ์ 1% หมายถึง ให้มีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลเปรียบเทียบได้ 1%
วิธีการนี้ให้นำข้อมูลการนับสต็อกมาเปรียบเทียบกับข้อมูลในระบบ ณ เวลาเดียวกัน สินค้าหรือวัตถุดิบที่มีข้อมูลตรงกัน ได้ 1 คะแนน ถ้าไม่ตรงจะได้ 0 คะแนน นับจำนวนที่มีสต็อกถูกต้องจากจำนวนชนิดสินค้าทั้งหมด ก็จะสามารถคำนวณ Inventory Accuracy ได้ ดังในตัวอย่าง เกณฑ์ความคลาดเคลื่อน 0% มีข้อมูลที่ถูกต้องเพียง 2 รายการ จากสินค้าทั้งหมด 6 รายการ ดังนั้น Inventory Accuracy = 33%
สถานประกอบการบางแห่ง อนุญาตให้มีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลสต็อกแต่ละ SKU ได้ 1% ดังนั้นหากเปรียบเทียบแล้วมีความคลาดเคลื่อนไม่มากกว่า 1% จะได้ 1 คะแนน ถ้ามีความคลาดเคลื่อนมากกว่า 1% จะได้คะแนนเป็น 0 และนำมาคำนวณ Inventory Accuracy ดังในตัวอย่าง เกณฑ์ 1% มีข้อมูลที่มีความคลาดเคลื่อนไม่มากกว่า 1% จำนวน 5 รายการ จากสินค้าทั้งหมด 6 รายการ ดังนั้น Inventory Accuracy = 83%
แต่ละสถานประกอบการเป็นผู้กำหนดเกณฑ์การคำนวณ Inventory Accuracy เอง โดยพิจารณาจากผลกระทบของค่าความคลาดเคลื่อนที่ยอมรับได้ เช่น ใช้เกณฑ์ 1% แทนที่จะใช้เกณฑ์ 0% ซึ่งจะทำให้องค์กรสามารถจัดลำดับความสำคัญของการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้เนื่องจากกระบวนการสืบค้นเพื่อหาสาเหตุของความคลาดเคลื่อนของข้อมูลสินค้าคงคลังในแต่ละรายการ อาจใช้เวลานานและเกี่ยวข้องกับบุคลากรจากหลายหน่วยงาน เช่น ฝ่ายคลังสินค้า ฝ่ายผลิต ฝ่ายวางแผนการผลิต ฝ่ายบัญชี เป็นต้น
เมื่อสถานประกอบการมีประสบการณ์และทักษะในการสืบค้นหาสาเหตุของปัญหาและมีมาตรการแก้ไขในเบื้องต้นแล้ว สามารถทำให้มีความถูกต้องของข้อมูลสินค้าคงคลัง (Inventory Accuracy) สูงขึ้น สถานประกอบการอาจปรับเปลี่ยนเกณฑ์จาก 1% เป็น 0% ในอนาคตได้ หากต้องการให้การจัดการด้านความถูกต้องข้อมูลสินค้าคงคลังเป็น 100%
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT54 การพยากรณ์ (Forecasting) เพื่อการจัดการซัพพลายเชนขององค์กร
สำนักโลจิสติกส์
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
1.บทบาทเชิงกลยุทธ์ของการพยากรณ์ (The Strategic Role of Forecasting)
การจัดการซัพพลายเชน ในยุคปัจจุบัน การจัดการซัพพลายเชน ครอบคลุมถึงโรงงานสาธารณูปโภคพื้นฐาน หน้าที่ฝ่ายต่างๆในบริษัท กิจกรรมที่ผลิตสินค้าและบริการจากผู้ขายปัจจัยการผลิตรวมถึงผู้ขายปัจจัยการผลิตในทุกขั้นถัดไป ลูกค้าของลูกค้าในทุกระดับ รวมถึงกิจกรรมการจัดซื้อสินค้าคงคลัง การผลิต ตารางกำหนดการผลิต การกำหนดทำเลที่ตั้งโรงงานและคลังสินค้า การขนส่ง และการกระจายสินค้า ส่งผลกระทบในระยะสั้น คือ การจัดการอุปสงค์ของสินค้า ส่วนระยะยาวจะเกี่ยวกับการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ และกระบวนการผลิต ความล้ำหน้าทางเทคโนโลยี และการเปลี่ยนตลาด ซึ่งต้องมีการพยากรณ์ในส่วนที่ได้รับผลกระทบทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยระยะสั้นจะมองที่การพยากรณ์ที่แม่นยำ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้แนวทางในการเก็บสินค้าคงคลังที่กระจายอยู่ในจุดต่างๆ ในระยะยาวต้องมองการเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งทางเทคโนโลยี ตลาดในต่างประเทศ คู่แข่ง และปัจจัยภายนอกทั้งหมด ไม่ว่าเป็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ลูกค้า การเปลี่ยนแปลงตลาดใหม่
แนวโน้มในการออกแบบซัพพลายเชน คือ การเติมเต็มสินค้าอย่างต่อเนื่อง (Continuous Replenishment) ด้วยแนวคิด JUST IN TIME (JIT) และ Vendor Management Inventory (VMI) ซึ่งผู้ขายสินค้าใช้ยอดขายที่เชื่อมต่อผ่านอินเตอร์เน็ต เพื่อลดสินค้าคงคลัง และเพิ่มความเร็วในการส่งสินค้าให้ลูกค้า วิธีการนี้การตอบสนองลูกค้าอย่างรวดเร็ว และไม่เก็บสต็อก ฉะนั้นการพยากรณ์ต้องมีข้อมูลเป็นตัวเลข และหากมีตัวเลขในอดีตที่ผ่านมามาก ยิ่งทำให้การพยากรณ์แม่นยำมากขึ้น
การวางแผนเชิงกลยุทธ์ (Strategic Planning) ในการที่จะทำให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมาย และประสบความสำเร็จนั้น มีความจำเป็นอย่างยิ่งในการพยากรณ์อุปสงค์ในตลาดและผลิตภัณฑ์ในอนาคตที่แม่นยำ ต้องมองการพยากรณ์ทั้งระบบ ในการบริหารการผลิตมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ตัวเลขและข้อมูลเชิงปริมาณในการวางแผนและตัดสินใจดำเนินการตามหน้าที่ต่างๆ ทั้งระยะสั้นและระยะยาว ข้อมูลเชิงปริมาณอันหนึ่งซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งคือ อุปสงค์ของผลิตภัณฑ์ เพราะอุปสงค์ของลูกค้าเป็นตัวกำหนดเชิงปริมาณของกิจกรรม การบริหารการผลิตหลายประการ ทำให้สามารถจัดสรรทรัพยากรอันมีอยู่อย่างจำกัดขององค์การให้เหมาะสมกับปริมาณผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ การรู้อุปสงค์ในอนาคตมีผลในการวางแผนกิจกรรมการบริหารการผลิตในระยะสั้นและระยะยาวได้ถูกต้อง ใกล้เคียงกับผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งการพยากรณ์ขึ้นกับกรอบเวลา พฤติกรรมอุปสงค์ และสาเหตุที่เกิดขึ้นของแต่ละพฤติกรรม
การจัดการคุณภาพแบบสมบูรณ์ (Forecast Accuracy) เป็นแนวทางในการจัดหาคุณภาพและบริการที่ดีแก่ลูกค้า โดยให้บริการแก่ลูกค้าโดยสินค้าที่ถูกต้องทั้งคุณภาพและปริมาณส่งถึงในเวลาที่กำหนด สถานที่ที่ระบุ และราคาเป็นธรรม ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ก็ใช้ระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี
2.ความหมายและประโยชน์ของการพยากรณ์
การพยากรณ์ (Forecasting) เป็นการใช้วิธีการเชิงคุณภาพและเชิงปริมาณ เพื่อคาดคะเนอุปสงค์ของสินค้าและบริการในอนาคตของลูกค้าทั้งช่วงระยะสั้น ระยะปานกลาง และระยะยาว การพยากรณ์อุปสงค์ มีประโยชน์ในการวางแผนและการตัดสินใจต่อหลายฝ่ายขององค์การ คือ
การเงิน : อุปสงค์ที่ประมาณการจะเป็นข้อมูลพื้นฐานในการจัดทำงบประมาณการขายซึ่งจะเป็นจุดเริ่มต้นในการทำงบประมาณการเงิน เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้ทุกส่วนขององค์การอย่างทั่วถึงและเหมาะสม
การตลาด : อุปสงค์ที่ประมาณการไว้จะถูกใช้กำหนดโควตาการขายของพนักงานขาย หรือถูกนำไปสร้างเป็นยอดขายเป้าหมายของแต่ละผลิตภัณฑ์ เพื่อใช้ในการควบคุมงานของฝ่ายขายและการตลาด
การผลิต : อุปสงค์ที่ประมาณการไว้ถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลในการดำเนินการ ในฝ่ายการผลิต คือ
1. การบริหารสินค้าคงคลังและการจัดซื้อ เพื่อมีวัตถุดิบพอเพียงในการผลิต และมีสินค้าสำเร็จรูปพอเพียงต่อการขาย ภายใต้ต้นทุนสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม
2. การบริหารแรงงานโดยการจัดกำลังคนให้สอดคล้องกับปริมาณงานการผลิตที่พยากรณ์ไว้แต่ละช่วงเวลา
3. การกำหนดกำลังการผลิต เพื่อจัดให้มีขนาดของโรงงานที่เหมาะสม มีเครื่องจักรอุปกรณ์หรือสถานีการผลิตที่เพียงพอต่อการผลิตในปริมาณที่พยากรณ์ไว้ การวางแผนการผลิตรวม เพื่อจัดสรรแรงงานและกำลังการผลิตให้สอดคล้องกับการจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ต้องใช้ในการผลิตแต่ละช่วงเวลา
4. การเลือกทำเลที่ตั้งสำหรับการผลิต คลังเก็บสินค้า หรือศูนย์กระจายสินค้าในแต่ละแหล่ง ลูกค้าหรือแหล่งการขายที่มีอุปสงค์มากพอ
5. การวางแผนผังกระบวนการผลิตและการจัดตารางการผลิต เพื่อจัดกระบวนการผลิตให้เหมาะสมกับปริมาณสินค้าที่ต้องผลิต และกำหนดเวลาการผลิตให้สอดคล้องกับช่วงของอุปสงค์
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
CT54 ต้นทุนสินค้าคงคลังต่ำ ไม่จำเป็นต้อง Zero Stock เสมอไป
ลิขสิทธิ์ สำนักโลจิสติกส์
กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ผู้ประกอบการหลายท่านเมื่อได้ยินว่าภาครัฐประกาศเป้าหมายในการลดต้นทุนสินค้าคงคลังของภาคอุตสาหกรรมลง มักจะส่ายหน้าไม่เห็นด้วยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร และมักจะคิดหรือคิดดังๆ ว่า “เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะวัตถุดิบอาหารออกเป็นฤดูกาล ไม่เก็บสินค้าคงคลังได้อย่างไร”
ซึ่งสิ่งที่ท่านๆ คิดนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว เพราะการเก็บสินค้าคงคลังจำเป็นต้องมีให้เพียงพอต่อความต้องการในการผลิต แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านๆ อาจเข้าใจผิด คือ ภาครัฐต้องการผลักดันให้ลด “ต้นทุนสินค้าคงคลัง” ไม่ใช่ลด “ปริมาณสินค้าคงคลัง” ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ต่างกันอย่างมาก
ต้นทุนสินค้าคงคลังนอกจากจะประกอบไปด้วย ต้นทุนการถือครองสินค้าแล้ว ยังมีต้นทุนค่าเสียโอกาสในการขายอีกด้วย ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราดำเนินนโยบาย Zero Stock จนไม่มีวัตถุดิบมาผลิตสำหรับขายให้แก่ลูกค้า ผลที่ตามมาคือเกิดต้นทุนสินค้าคงคลังที่เกิดจากค่าเสียโอกาสในการขายอย่างมหาศาล ดังนั้นการบริหารต้นทุนสินค้าคงคลังจึงเป็นการบริหารให้เกิดความพอดีหรือ Optimize ระหว่างต้นทุนทั้ง 2 ส่วนได้ต่ำที่สุด ไม่ใช่ลดให้ปริมาณสินค้าคงคลังต่ำสุด ขอยกแนวทางของอุตสาหกรรมอาหารเพื่อการประยุกต์ใช้ดังนี้
ประเทศไทยเป็นผู้ผลิตปลาทูน่ากระป๋องรายใหญ่ของโลก มีโรงงานขนาดใหญ่อยู่ที่จังหวัดสมุทรสาครและสงขลา นอกจากนี้ยังดำเนินธุรกิจแบบเครือข่าย มีโรงงานและแหล่งวัตถุดิบอยู่ทั่วโลก การวางกลยุทธ์ธุรกิจในแนวนี้ เพื่อให้สามารถจัดหาวัตถุดิบคือปลาทูน่าได้ในปริมาณที่ต้องการในแต่ละปี กลยุทธ์ในการจัดหาปลาทูน่าสดมาป้อนสู่โรงงานไม่ใช่การจัดหาปลามาให้ได้มากที่สุด แต่เป็นการจัดหาปลามาให้เพียงพอกับแผนการผลิตและการขายในแต่ละปี เมื่อกำหนดแผนการตลาดแล้ว ปัจจัยของความสำเร็จ คือ การจัดหาวัตถุดิบมาให้เพียงพอ การจัดหาปลาทูน่ามีลักษณะเป็นฤดูกาล หมายความว่าไม่สามารถจัดหาวัตถุดิบแบบเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน ในช่วงฤดูกาลปลามีมากและราคาถูก ในช่วงนอกฤดูกาลกลับจัดหามาได้น้อยและราคาแพง วิธีการจัดการที่ดีที่สุดคือตั้งเป้าหมายปริมาณการถือครองวัตถุดิบในแต่ละช่วงว่าต้องมีสต็อกในปริมาณเท่าไร และกำหนดแผนการจัดหาและแผนการผลิตให้สอดคล้องกัน ดังนั้นวัฏจักรของการเคลื่อนไหวของสต็อกวัตถุดิบจึงเป็นปีละ 1 รอบเท่านั้น ถ้าไม่ได้ตามเป้าหมายของปริมาณจัดหาในช่วงเข้าฤดูกาล ต้องจัดหาเพิ่มในช่วงนอกฤดูกาลซึ่งจะมีราคาแพง หรือวัตถุดิบบางชนิดอาจหาไม่ได้เลยในช่วงนอกฤดูกาล
ตัวอย่างสถิติการจัดเก็บวัตถุดิบเพื่อผลิตเป็นปลากระป๋องของโรงงานแห่งหนึ่งของไทย แสดงให้เห็นการจัดหาวัตถุดิบได้จำนวนมากในช่วงฤดูกาล (ประมาณเดือนมีนาคม ถึง สิงหาคม) และลดลงในช่วงนอกฤดูกาล (ประมาณเดือนกันยายน ถึง กุมภาพันธ์)
ภาพแสดงสถิติการจัดเก็บวัตถุสำหรับผลิตปลากระป๋องในปี 2552
กรณีศึกษาอีกหนึ่งตัวอย่างเป็นการจัดหาวัตถุดิบของโรงสีข้าว สถิติการจัดเก็บสต็อกข้าวเป็นผลจากการจัดหาข้าวตามฤดูกาลการเพาะปลูก โรงสีเริ่มจัดหาและสะสมสต็อกข้าวประมาณเดือนสิงหาคม –กันยายน จนถึงประมาณเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ ดังภาพ
ภาพแสดงสถิติการจัดเก็บวัตถุสำหรับโรงสีข้าวในปี 2552
ดังนั้น วิธีการจัดการที่ดีที่สุดในการจัดหาวัตถุดิบให้เพียงพอสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร คือ
- จัดทำแผนและเป้าหมายความต้องการใช้ ตลอดจนปริมาณสต็อกเป้าหมายตลอดทั้งปี
- มีเป้าหมายระดับสต็อกรายเดือนหรือรายสัปดาห์เพื่อเป็นแนวทางในการจัดหา
- มีกลยุทธ์ในการจัดหาวัตถุดิบให้ได้ตามเป้าหมาย เช่น การขยายแหล่งวัตถุดิบ การสร้างพันธมิตรและเครือข่าย การพัฒนาผู้ผลิต เกษตรกร ประมง ปศุสัตว์ การใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสม เป็นต้น
- การจัดการเพื่อควบคุมคุณภาพและปริมาณวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร
แหล่งวัตถุดิบเพื่ออุตสาหกรรมอาหารมาจาก 3 แหล่งหลัก ได้แก่ การเกษตร การปศุสัตว์ และการประมง ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารต้องตระหนักว่า ปริมาณและคุณภาพของวัตถุดิบจากทั้ง 3 แหล่งหลักดังกล่าว อาจมีความแปรปรวนหรือขาดแคลนอันเนื่องมาจากภาวะโลกร้อน โรคระบาด ภัยธรรมชาติต่างๆ รวมถึงการจัดการที่ด้อยประสิทธิภาพในภาคเกษตร ปศุสัตว์ และประมง ดังตัวอย่างที่เกิดขึ้นหลายกรณี เช่น ผลผลิตมะพร้าวที่เคยจัดหาได้อย่างสม่ำเสมอกลับมีปริมาณลดลงในปี 2553 โดยมีปริมาณโดยรวมลดลงถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณในปี 2552 โรคระบาดที่เกิดขึ้นในสัตว์ปีก หรือการที่ปริมาณปลาในบริเวณอ่าวไทยลดลงอย่างมาก
นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์จากภาคการเกษตรซึ่งเคยเป็นวัตถุดิบให้กับอุตสาหกรรมอาหาร กลายเป็น วัตถุดิบป้อนเข้าสู่ภาคพลังงานและวัสดุทดแทนมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เช่น กากน้ำตาลและมันสำปะหลังนำไปผลิตสารเอทานอลเพื่อผสมเป็นน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ หรือ น้ำมันปาล์มนำไปผลิตไบโอดีเซล หรือ มันสำปะหลังนำไปผลิตไบโอพลาสติก เป็นต้น ส่งผลให้เกิดภาวะขาดแคลนวัตถุดิบสำหรับอุตสาหกรรมอาหารรุนแรงขึ้น
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมอาหารต้องมีการจัดการเพื่อควบคุมคุณภาพและปริมาณแหล่งวัตถุดิบ โดยมีตัวอย่างแนวทางดังนี้
พัฒนาความสัมพันธ์กับผู้ผลิตในภาคการเกษตรเพื่อจัดทำแผนการผลิตให้มีความสอดคล้องกับแผนการผลิตของโรงงานอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป เช่น การจัดทำ Contract Farming การจัดการพื้นที่และกำหนดเวลาเพาะปลูกและเก็บเกี่ยวร่วมกับเกษตรกร เป็นต้น
เพิ่มแหล่งจัดหาวัตถุดิบ จากเกษตรกรโดยตรงหรือผ่านตัวกลาง เพื่อเป็นทางเลือกในการจัดหาวัตถุดิบ ในกรณีที่ผู้ส่งมอบรายใดรายหนึ่งไม่สามารถส่งมอบได้ตามปริมาณที่ต้องการ
จัดหาวัตถุดิบซึ่งเป็นสินค้าเกษตรแปรรูปกึ่งสำเร็จรูป เพื่อลดความเสี่ยงของจัดหาสินค้าจากภาคเกษตรโดยตรง ปัจจุบันผู้ผลิตสามารถจัดหาสินค้าแปรรูปเกษตรกึ่งสำเร็จรูปทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ การจัดหาวัตถุดิบโดยการนำเข้าจากต่างประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบลงได้ เช่น ผู้ผลิตน้ำผลไม้ ซึ่งเคยซื้อผลไม้จากเกษตรกรหรือตัวแทนเกษตรกรในรูปของผลไม้ ปัจจุบันสามารถจัดหาในรูปของสินค้ากึ่งสำเร็จรูป เช่น น้ำผลไม้ความเข้มข้นสูง (Concentrate) และสามารถเลือกนำเข้าจากต่างประเทศได้หลายแหล่ง
--------------------------------
สนใจบทความดูได้ตามหัวข้อด้านล่าง
CT54 เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน ปี 2554” จึงเป็นการนำบทความดังกล่าวที่น่าสนใจ จัดทำเป็นรูปเล่มเพื่อเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สะดวกสำหรับผู้สนใจในการศึกษาความรู้ด้านโลจิสติกส์และโซ่อุปทาน หวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านให้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิผล
--------------------------------
ที่มา
เอกสารเผยแพร่เรื่อง “การจัดการโลจิสติกส์เพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างยั่งยืน” ปี 2554
โดย สำนักโลจิสติกส์ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่
ที่มาภาพและรวบรวมโดย www.iok2u.com
ดูข้อมูลเพิ่มเติมในเรื่อง คลังสินค้าและการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง คลิกที่นี่
WIM คลังสินค้าและการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง (Warehouse & Inventory management)
-------------------------------------------------
เว็บไซต์ www.iok2u.com นี้เกิดมาจาก แรงบันดาลใจในภาพยนต์เรื่อง Pay It Forward โดยมีเป้าหมายเล็ก ๆ ที่กำหนดไว้ว่า ทุกครั้งที่เข้าเรียนสัมมนาหรืออบรมในแต่ละครั้ง จะนำความรู้มาจัดทำเป็นบทความอย่างน้อย 3 เรื่อง เพื่อมาลงในเว็บนี้
ความตั้งใจที่จะถ่ายทอดความรู้ที่ได้รับมาทำการถ่ายทอดต่อไป และหวังว่าจะมีคนมาอ่านแล้วเห็นว่ามีประโยชน์นำเอาไปใช้ได้ หากใครคิดว่ามันมีประโยชน์ก็สามารถนำไปเผยแพร่ต่อได้เลย โดยอาจไม่ต้องอ้างอิงที่มาหรือมาตอบแทนผู้จัด แต่ขอให้ส่งต่อหากคิดว่ามันดีหรือมีประโยชน์ เพื่อถ่ายทอดความรู้และสิ่งดี ๆ ต่อไปข้างหน้าต่อไป Pay It Forward